พอเห็นฮองเฮาโมโหขึ้นมาจริงๆ ถาวจวินหลันก็ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “หม่อมฉันเพียงยกตัวอย่างเท่านั้นเพคะ ไม่ได้จะกระทบใคร ขอฮองเฮาเหนียงเหนียงอภัยหม่อมฉันด้วยเพคะ แต่นี่ก็อธิบายได้ว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้มิใช่หรือเพคะ”
ฮองเฮาพูดอย่างโกรธขึ้ง “เป็นไปไม่ได้ ข้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร? หากพบว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในวังหลวง ไม่ต้องให้คนอื่นลงมือ ข้าจะต้องลงโทษอย่างไม่มีผ่อนปรนแน่นอน”
ถาวจวินหลันก้มหน้าลงไปอย่างเชื่อฟัง แสดงท่าทีลุแก่โทษ “ฮองเฮาเหนียงเหนียงถูกต้องยุติธรรมมาโดยตลอด ย่อมไม่อาจเข้าข้างปกป้องใครเป็นแน่เพคะ”
นางพูดเช่นนี้ย่อมทำเพื่อองค์ชายเก้าเท่านั้น มิเช่นนั้นหากว่าฮองเฮาต้องการให้หยดเลือดพิสูจน์ องค์ชายเก้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ที่จริงจากคำพูดของฮองเฮา พูดง่ายๆ ก็เพราะต้องการชีวิตองค์ชายเก้าเท่านั้นเอง
ฮองเฮาต้องการให้องค์ชายเก้าเป็นแพะรับบาปของอาอู่ อย่างไรอี๋เฟยก็ตายไปแล้ว หากองค์ชายเก้าตายไป เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จะเงียบไปโดยสิ้นเชิง หลังจากนี้จะไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้อีก และยิ่งไม่มีใครสงสัยอาอู่และองค์ชายเก้าอีก ใช้ชีวิตคนหนึ่งคนแลกกับความสบายของหลานตนเอง ฮองเฮาย่อมต้องยินยอมเป็นแน่
ถาวจวินหลันครุ่นคิด ถ้าหากเป็นนาง นางเองก็คงยอม
แต่นางไม่ใช่ฮองเฮา ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นนางยังสามารถเลือกสงสารองค์ชายเก้าได้ และแอบช่วยองค์ชายเก้ารักษาชีวิตเอาไว้ได้
เด็กเล็กขนาดนั้นถูกลากเข้ามาเกี่ยวก็ถือว่าไม่รู้อีโหน่อีเหน่อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดว่าต้องมาตายเพราะเรื่องนี้ ต่อให้อี๋เฟยไม่ได้ขอร้อง ถาวจวินหลันก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้
กักบริเวณทั้งชีวิตถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ยังเสพสุขสำราญได้ แต่หากเอาถึงตายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มดยังรักชีวิตตนเอง แล้วคนเล่า?
ถาวจวินหลันคิดในใจ ถือเสียว่าทำดีสั่งสมบุญแทนซวนเอ๋อร์และหมิงจูก็แล้วกัน อีกอย่างเรื่องนี้นางก็ไม่ต้องเสียเวลาลงแรงเท่าไรนัก
ขณะที่กำลังครุ่นคิด กู้ซีก็พูดขึ้นมาอีก “ฮ่องเต้เพคะ หม่อมฉันคิดว่าพระชายาองค์รัชทายาทพูดถูกเพคะ องค์ชายเก้าเป็นลูกชายของพระองค์ พระองค์เองก็โปรดปรานมาโดยตลอด แล้วทำไมจะต้องพาลถึงองค์ชายเก้าเพียงเพราะอี๋เฟยด้วยเพคะ?”
ฮ่องเต้มองกู้ซีอยู่ครู่หนึ่ง และนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจ “ช่างเถิด คิดแล้วว่าอี๋เฟยเองคงไม่กล้าเล่นตุกติกกับเรื่องนี้ และคงทำเรื่องนี้ไม่ได้ด้วย”
แม้จะบอกว่าฮ่องเต้ไม่กระทำเกินกว่าเหตุ แต่ก็ยังรู้สึกโกรธอยู่ในใจ อดเอ่ยปากก่นด่าไม่ได้ “ประกาศคำข้าออกไป ปลดพระราชทินนามอี๋เฟยผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้น แล้วโยนออกนอกวังไปให้สุนัขกิน!”
คำพูดของฮ่องเต้นั้นโหดเ**้ยมเป็นที่ยิ่ง
พระสนมขี้ขลาดไม่น้อยได้ยินก็ตัวสั่นสะท้าน พากันนั่งขดตัว ล้วนพูดกันว่าเป็นสามีภรรยากันค่ำคืนเดียว ความสัมพันธ์เป็นร้อยวัน แต่ไม่อาจเอามาใช้กับฮ่องเต้ได้ อี๋เฟยปรนนิบัติฮ่องเต้มานานเพียงใด แล้วยังให้กำเนิดลูกชายคนหนึ่ง ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าจะมีจุดจบเช่นนี้ แล้วคนอื่นเล่า?
แต่ก่อนทุกคนต่างก็หวังว่าจะเป็นคนได้ปรนนิบัติข้างเตียง ฉับพลันในใจของทุกคนก็หวาดหวั่นพรั่นพรึงมาแทน อย่างไรตอนนี้ฮ่องเต้จะรักมากเท่าไรก็ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้อีก แล้วยังต้องไปแย่งชิงกันอีกทำไม ไม่มีความหมายแล้วมิใช่หรือ
ฮ่องเต้ย่อมไม่รู้ความคิดของบรรดาสตรีเหล่านี้ มิเช่นนั้นคิดว่าอารมณ์คงย่ำแย่มากขึ้นไปอีก
และกู้ซีก็เอ่ยปากขอร้องอีกครั้ง “หม่อมฉันอาจหาญขอพูดเพคะ ที่จริงแล้วหม่อมฉันว่าทรงอย่าตรัสเรื่องนี้ออกไปจะดีกว่านะเพคะ ปลดพระราชทินนามจะต้องมีเหตุผล แต่ความจริงไม่อาจพูด จะหาเหตุผลอื่นมาก็ไม่เหมาะสม ไม่สู้ว่าไม่ประกาศ ถือว่าเห็นแก่หน้าองค์ชายเก้าด้วยเพคะ รักษาหน้าตาให้อี๋เฟย แค่เพียงไม่ต้องเข้าสุสานหลวงก็พอแล้วเพคะ”
คำพูดของกู้ซีทั้งมีเหตุผลและเห็นใจ นางพูดเสียงอ่อนโยนยิ่งทำให้นางดูใจดีอ่อนน้อม
ถาวจวินหลันยืนมองอยู่ข้างๆ ก็ทั้งอึดอัดและทอดถอนใจ ที่อึดอัดเพราะนางคิดว่ากู้ซีไม่เหลือทางเลือกให้ตนเอง จนถึงขั้นไม่กลัวทำให้ฮ่องเต้กริ้ว ช่างอาจหาญเกินไป ที่ทอดถอนเป็นเพราะว่าสุดท้ายแล้วกู้ซียังเข้าวังมาไม่นาน จึงยังพอมีจิตใจเมตตา เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว ยังดูมีชีวิตชีวามากกว่า
แต่สิ่งที่ทำให้ถาวจวินหลันอึ้งตะลึงก็คือหลังจากฮ่องเต้นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็ปล่อยไปตามนั้น “ทำตามที่จวงผินบอกเถิด”
ฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ ทุกคนก็อดหันไปมองกู้ซีไม่ได้ ภายในดวงตาประกายความตื่นตะลึงและหวาดระแวง นอกจากกู้ซี สามารถเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ตอนกริ้วโกรธได้ แล้วยังเปลี่ยนความคิดของฮ่องเต้ เพียงเท่านี้ก็พอมองออกแล้วว่าฮ่องเต้ให้ความสำคัญและโปรดปรานกู้ซีมากเพียงใด
ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากู้ซีเข้าวังหลวงมาได้ไม่นาน มีอำนาจน้อยเกินไป และยังไม่อาจให้กำเนิดลูกได้ มิเช่นนั้นแล้วคงมีคนเป็นปฏิปักษ์ด้วยไม่น้อย อีกทั้งสถานการณ์ตอนนี้ กลายเป็นว่าทุกคนเห็นแล้วกลับผ่อนคลายยิ่งขึ้น แล้วยังมีคนอดคิดไม่ได้ว่าควรสานสัมพันธ์กับกู้ซีดีหรือไม่ เช่นนี้หากต่อจากนี้ฮ่องเต้กริ้ว อย่างน้อยก็ยังมีคนคอยขอร้องให้ อีกทั้งยังมีประโยชน์
ถาวจวินหลันกลับคิดว่า ในเมื่อตอนนี้อี๋เฟยตายไปแล้ว ตำแหน่งเฟยทั้งสี่ก็ว่างไปหนึ่งคน คิดว่ากู้ซีน่าจะได้ขึ้นไป แต่ไม่รู้ว่าจะฉวยโอกาสครั้งนี้เลื่อนตำแหน่งให้อิงผินได้บ้างหรือไม่…เรื่องที่รับปากองค์หญิงแปดเอาไว้ดึงรั้งเอาไว้นานขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดี นางรู้สึกไม่ดีอยู่จริงๆ
อีกทั้งพอนึกถึงเรื่องน้ำมันตะเกียงที่หลี่เย่พูดถึง ถาวจวินหลันก็ยิ่งคิดว่าควรทำเรื่องนี้ให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด ที่จริงแล้วในตอนนี้ต่อให้ไม่สำเร็จ หลี่เย่ก็ยังต้องจัดการรายชื่อร่วมหลุมศพ หลี่เย่เอาชื่ออิงผินออกไปก็ได้แล้ว
แต่สุดท้ายนางก็ยังคิดว่าควรทำเรื่องนี้ให้สำเร็จถึงจะมองหน้าองค์หญิงแปดได้
ตอนที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่นั้น ฮองเฮากลับพูดอย่างคาดไม่ถึง “ช่วงนี้หม่อมฉันร่างกายไม่ค่อยดีเท่าไรเพคะ ไม่อาจดำเนินการเรื่องงานศพของอี๋เฟยได้ เพื่อรับประกันว่าจัดการเรื่องอย่างเหมาะสม หม่อมฉันคิดว่าควรจะมอบให้คนอื่นไปจัดการดีหรือไม่ ฮ่องเต้คิดว่าใครเหมาะสมเพคะ?”
“การจัดการกิจในวังหลวงที่ซูเฟยและจิ้งเฟยทำแทนไม่ใช่ว่าดีอย่างนั้นหรือ? ก็ให้พวกนางไป” ฮ่องเต้มองฮองเอานิ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมามาก เพียงแค่ตอบเรียบๆ เช่นนี้
สีหน้าของซูเฟยและจิ้งเฟยเปลี่ยนไปในทันใด แทบจะพูดปฏิเสธพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย “หม่อมฉันประสบการณ์น้อย และไม่เคยจัดการเรื่องเช่นนี้มาก่อน เกรงว่าจะไม่อาจรับได้เพคะ”
ฮ่องเต้กวาดตามองทั้งสองคนอย่างเย็นชา แต่จิ้งเฟยและซูเฟยก็ยังคงยืนหยัด ไม่กล้าหลุดปากออกมา เรื่องนี้พูดตามจริงแล้วก็ไม่มีใครกล้ารับเอาไว้ทั้งนั้น อย่างไรฮ่องเต้ก็รังเกียจอี๋เฟยเพียงนี้ หากหลังจากจบเรื่องไปแล้วคิดเสียดายขึ้นมา พาลโกรธโมโหคนที่จัดการธุระไปด้วยจะทำอย่างไร?
เตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา เพราะเรื่องไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้เสมอ
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไป บรรยากาศก็เริ่มกดดันขึ้นมา
สุดท้ายคนที่เอ่ยปากก็ยังเป็นกู้ซี “หม่อมฉันมีความเห็นเพคะ ไม่ทราบว่าฮ่องเต้ทรงคิดเช่นไร หากจะให้หม่อมฉันพูด ที่จริงแล้วพระวรกายของฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่ค่อยดี แทนที่จะให้อี๋เฟยและซูเฟยเหนียงเหนียงทั้งสองคนดำเนินการเรื่องงานศพของอี๋เฟยเหนียงเหนียง ไม่สู้ให้พระชายาองค์รัชทายาทำแทนเล่าเพคะ อย่างไรพระชายาองค์รัชทายาทก็จะต้องรับดูแลกิจในวังหลวง ถ้าจะฝึกเอาไว้ก่อนก็ถือว่าสมเหตุผล อีกทั้งยังถูกต้องตามทำนองคลองธรรมด้วยเพคะ”
ถาวจวินหลันมองกู้ซี ในใจอดคิดไม่ได้ว่า กู้ซีกำลังช่วยนางหรือทำร้ายนางกันแน่? แต่ไม่ทันที่นางจะคิดมาก ฮองเฮาก็พยักหน้าพูดเสริม “ความคิดของจวงผินนั้นดีเป็นอย่างมาก เมื่อครู่นี้หม่อมฉันคิดไม่ถึงเพคะ ตอนนี้คิดว่าวิธีนี้ถึงจะถูกต้องตามทำนองคลองธรรมที่สุด ฮ่องเต้ว่าอย่างไรเพคะ?”
ฮ่องเต้พยักหน้า พูดอย่างขอไปที “ก็ทำเช่นนั้นเถิด เรื่องนี้มอบให้พระชายาองค์รัชทายาทจัดการ”
พอพูดจบ ฮ่องเต้ก็ถามว่า “ยามอะไรแล้ว?”
นางกำนัลรีบตอบ กู้ซีก็เอ่ยเตือนฮ่องเต้ว่า “ฮ่องเต้ควรเสด็จกลับไปเสวยโอสถได้แล้วเพคะ หม่อมฉันปรนนิบัตฮ่องเต้เสด็จกลับดีหรือไม่?”
ฮ่องเต้พยักหน้า ลุกขึ้นมา กู้ซีก็รีบลุกไปประคองฮ่องเต้ บอกว่าประคองไม่สู้พูดว่าฮ่องเต้ดึงมือของกู้ซีเอาไว้จะเหมาะสมกว่า อีกทั้งท่าทีเอ็นดูรักใคร่ของฮ่องเต้ก็ยิ่งทำให้พระสนมทุกคนคิดอิจฉาริษยาเป็นอย่างมาก
แต่พูดจากใจจริงแล้ว ถาวจวินหลันกลับคิดว่ากู้ซีที่เป็นหญิงสาวอายุน้อยงดงามยืนอยู่ข้างฮ่องเต้ก็ยิ่งทำให้ความแก่ชราของฮ่องเต้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแค่รูปลักษณ์ที่เ**่ยวย่น แม้แต่ผมหงอกขาวทั้งศีรษะก็ชัดเจนอย่างมาก โดยเฉพาะที่ทั้งสองคนจับมือกัน มือข้างหนึ่งขาวใสดั่งหยก อีกข้างหนึ่งกลับมีเส้นเลือดปูดโปน ผิวหนังหย่อนคล้อย และยังมีรอยด่างดำปรากฏให้เห็นชัด
ไม่รู้ว่าตอนที่ฮ่องเต้ก้มหน้าลงมามองภาพนี้จะรู้สึกหงุดหงิดเป็นพิเศษหรือไม่?
ฉับพลันนั้น ถาวจวินหลันก็เข้าใจว่าทำไมฮ่องเต้ถึงได้มัวเมาไปกับเรื่องยาอายุวัฒนะนัก นอกจากเรื่องอำนาจแล้ว ก็ยังไม่ยินยอม ไม่ยอมชราไปเช่นนี้ โดยเฉพาะบรรดาสตรีของเขาแต่ละคนยังหน้าตางดงามราวกับดอกไม้
ไม่ว่าเป็นใครก็คงไม่ยอมแก่ชราไปเช่นนี้
ทันใดนั้น ถาวจวินหลันก็ได้สติขึ้นมา ที่กู้ซีบอกว่าทานยา บางทีอาจจะหมายถึงยาอายุวัฒนะ ก็แปลว่ากู้ซีรู้เรื่องที่ฮ่องเต้ใช้ยาอายุวัฒนะ แต่กู้ซีไม่ได้พูดกล่อมฮ่องเต้ แล้วยังปรนนิบัติฮ่องเต้เสวยโอสถอีก
ไม่แปลกที่ไทเฮาจะผิดหวัง มีท่าทีเช่นนั้นต่อกู้ซี กู้ซีรู้ว่าไทเฮาได้ลงทุนลงแรงไปมากเท่าไรเพื่อจะพูดกล่อมฮ่องเต้ แต่ว่า…
ถาวจวินหลันไม่รู้แล้วว่าจะพูดเช่นไรดี ดังนั้นนางจึงคิดเก็บความรู้สึกลงไป เริ่มครุ่นคิดว่าจะจัดการงานศพของอี๋เฟยอย่างไรดี
สำหรับตำแหน่งเฟย พิธีงานศพนั้นย่อมมีกำหนดเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้ปวดหัวเท่าไรนัก
แต่ที่สำคัญคือท่าทีของฮ่องเต้ที่มีต่ออี๋เฟย จะทำให้ดีก็ไม่ถูก ทำไม่ดีก็ไม่ถูกต้อง จะทำอย่างไรให้พอดีกลับเป็นเรื่องยากที่สุด
ถาวจวินหลันกำลังครุ่นคิด ฮองเฮาก็พูดขึ้นมา “แยกย้ายกันไปเถิด พระชายาองค์รัชทายาทไปจัดการเรื่องนี้ให้ดี ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ค่อยมาถามข้า ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าแยกย้ายไปกันเถิด เรื่องนี้ไม่อนุญาตให้เอาไปพูดคุยกันเอง และไม่อนุญาตให้ป่าวประกาศออกไป!”
ทุกคนตอบรับโดยพร้อมเพรียง ในใจนั้นคิดรำพัน เรื่องเช่นนี้ใครจะกล้าเอามาพูด? อย่าได้ลากตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง!
ถาวจวินหลันออกมาจากวังของฮองเฮา คิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งนางกำนัลเสียงเบา “ไปดูสถานการณ์ที่วังของอี๋เฟย” ในเมื่อจะต้องจัดการเรื่องนี้ เช่นนั้นนางต้องทำให้เร็วที่สุด อากาศร้อนเช่นนี้อี๋เฟยไม่ควรถูกวางไว้ที่นั่นนาน แล้วยังไม่รู้ว่าองค์ชายเก้าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว
พูดไปแล้ว นางก็เป็นห่วงองค์ชายเก้า ไม่มีอี๋เฟย ก็ไม่รู้ว่าเขาจะถูกจัดการอย่างไร เด็กยังเล็กอยู่แท้ๆ เพิ่งจะพูดคำว่าแม่เป็น ก็รู้จักความเสียใจ อี๋เฟยจากไปกะทันหันก็ไม่รู้ว่าองค์ชายเก้าต้องเสียใจมากเพียงใด