รอจนถาวจวินหลันเร่งเดินทางมาถึงบ้านตระกูลเฉิน สถานการณ์ภายในบ้านตระกูลเฉินก็ยังโกลาหลวุ่นวาย
แล้วถาวจวินหลันยังบังเอิญเจอสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินที่กำลังออกไปข้างนอกบริเวณหน้าประตู
สีหน้าของสะใภ้ใหญ่ไม่ค่อยน่ามองนัก หันหลังกลับไปมองข้างหลังหลายครั้ง คล้ายกลัวคนตามมา ด้วยเหตุนี้จึงเกือบจะชนเข้ากับถาวจวินหลันแล้ว
ถาวจวินหลันไม่ค่อยชอบสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินอยู่แล้ว แถมตอนนี้ยังจิตใจร้อนรุ่มดั่งไฟเผา นางจึงไม่อยากไปสนใจสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินอีก
แต่เมื่อสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินสังเกตเห็นถาวจวินหลันก็สะดุ้งตกใจ แม้แต่คำพูดก็เริ่มติดอ่าง “พระชายา พระชายาองค์รัชทายาทหรือ?”
ท่าทีตกใจเหมือนโดนเหยียบหางเช่นนี้ยิ่งชวนให้น่าสงสัย
ถาวจวินหลันหรี่ตาลง ไม่ปล่อยสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินไปง่ายๆ “สะใภ้ใหญ่รีบร้อนขนาดนี้ คิดจะไปที่ใดหรือ?”
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินปิดปากแน่นไม่ยอมพูด แต่ท่าทางดูลุกลี้ลุกลนยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังเผลอถอยหลังไป ท่าทีเช่นนี้ยิ่งทำให้คนที่เห็นสงสัยมากกว่าเดิม
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินไม่พูดอะไร ถาวจวินหลันก็ไม่ยอมปล่อยสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินไปเช่นกัน ทว่าจ้องสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินด้วยท่าทีคล้ายยิ้ม ถามว่า “สะใภ้ใหญ่รีบร้อนเช่นนี้ อยากหลบใครอย่างนั้นหรือ? เห็นข้าแล้วตกใจเช่นนี้ หรือว่าสะใภ้ใหญ่ทำเรื่องอะไรผิดต่อข้าอย่างนั้นหรือ?”
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินได้ยินเช่นนั้นก็รู้ว่าถาวจวินหลันรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว จึงตัวสั่นสะท้านอย่างไม่ควบคุมได้ รีบเอ่ยปฏิเสธ “ไม่ ข้าไม่ได้ทำ!”
“เห็นข้าแล้วยังไม่ทำความเคารพ สะใภ้ใหญ่ช่างรู้มารยาทเสียจริง” ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ แฝงความเย้ยหยันสะใภ้ใหญ่ แน่นอนว่าจงใจเปลี่ยนเรื่องพูดและเบนความความสนใจ
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินรีบทำความเคารพนางทันที แต่ท่าทีกลับดูร้อนรนจนทำผิดไปหมด จนอดส่ายหัวไม่ได้
“สะใภ้ใหญ่จะไปที่ใดหรือ?” ถาวจวินหลันเอ่ยถาม
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินนิ่งอึ้ง สร้างเรื่องหาข้ออ้างทันที “ท่านแม่ของข้าล้มป่วย ข้าต้องรีบกลับไปดู”
“รีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ ท่าทางจะป่วยหนักจริง” ถาวจวินหลันแสร้งยิ้ม “ต้องให้ข้าส่งหมอหลวงตามเจ้ากลับไปหรือไม่?”
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินรีบส่ายหน้าคล้ายตีกลองป๋องแป๋ง เอ่ยปฏิเสธเสียงหลง “ไม่ต้อง ไม่จำเป็น” พอได้สติกลับมา ก็นึกขึ้นได้ว่าถาวจวินหลันไม่ได้มีฐานะเช่นเดิมอีกแล้ว จึงรีบพูดด้วยน้ำเสียงยำเกรง “ขอบพระทัยพระชายาองค์รัชทายาท แต่ไม่จำเป็นจริงๆ เพคะ”
“พูดเช่นนี้แสดงว่าไม่รุนแรงแล้วอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันยังถามยิ้มๆ ต่อไป “ถ้าเช่นนั้นทำไมสะใภ้ใหญ่ต้องรีบร้อนด้วยเล่า? เหมือนเกิดเรื่องใหญ่ก็มิปาน จริงสิ อาการของน้องสาวข้า…”
ถาวจวินหลันจงใจลากเสียงยาว มองสะใภ้ใหญ่อย่างเคลือบแคลง
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินกดดันอย่างมาก เข่าทรุดลงไปกับพื้น โขกหัวยอมรับผิดทันที “หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันไม่ควรผลักนาง พระชายาองค์รัชทายาท หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ…”
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินตกใจจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่ถาวจวินหลันยังเป็นแค่ชารองของจวนชินอ๋อง นางไม่กลัวแล้วยังกล้าหาเรื่องอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ถาวจวินหลันเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ไม่ใช่คนที่นางหาเรื่องได้อีกต่อไป
พอคิดว่าถาวจวินหลันจะใช้วิธีเช่นใดจัดการนาง สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินก็ตกใจจนขดตัวเป็นก้อน ความจริงแล้ว ตอนที่นางยื่นมือออกไปผลัก ก็คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะรุนแรงถึงเพียงนั้น นางก็แค่อยากระบายอารมณ์เท่านั้นเอง
หากมีโอกาสอีกครั้ง นางไม่กล้ายื่นมือไปผลักถาวซินหลันเป็นแน่
แต่น่าเสียดาย บนโลกใบนี้ไม่มีคำว่า ‘หาก’ หรือย้อนกลับมาทำอีกครั้ง นางผลักถาวซินหลัน ทำให้ถาวซินหลันคลอดยาก บางทีอาจจะกลายเป็นหนึ่งศพสองชีวิตเลยก็ได้
แต่เดิมสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินคิดจะฉวยโอกาสตอนที่ในจวนยุ่งเหยิงวุ่นวายหนีกลับบ้าน เช่นนี้ต่อให้ตระกูลเฉินโมโหอย่างไรก็ไม่กล้าทำอะไรนางเป็นแน่ อย่างน้อยก็ไม่ไปจับตัวนางกลับมาบ้านตระกูลเฉิน มากสุดก็เพียงเขียนหนังสือปลด ไม่มีทางเอาถึงชีวิตเป็นแน่
แต่คิดไม่ถึงว่านางจะโชคร้ายถึงเพียงนี้ กลับมาบังเอิญเจอถาวจวินหลันที่หน้าประตูใหญ่
พูดไปแล้ว นี่คงถือเป็นลิขิตสวรรค์
ถาวจวินหลันมองสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา ที่นางจงใจสนทนาเช่นนี้กับสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินย่อมต้องเป็นเพราะสงสัย จะต้องรู้ว่าทั้งบ้านตระกูลเฉินนั้นมีเพียงสะใภ้ใหญ่และถาวซินหลันเท่านั้นที่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันมาก่อน แล้วสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินยังเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ บวกกับการกระทำน่าสงสัยตอนนี้ ทำให้นางอดสงสัยไม่ได้
และเมื่อลองเชิงดูถึงรู้ว่าเป็นฝีมือของสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินจริงๆ
ถาวจวินหลันสับสนวุ่นวาย ถ้าเป็นไปได้นางก็อยากจะสับสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินให้เป็นชิ้นๆ เสียเดี๋ยวนี้ แต่ต่อให้นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ก็ยังไม่มีอำนาจสั่งเอาชีวิตฮูหยินมียศได้ตามใจชอบ อย่างไรสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินก็ไม่ใช่นางกำนัล และยังไม่ใช่บ่าวไพร่ แต่เป็นสะใภ้ใหญ่ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
อีกทั้งตระกูลเฉินก็ยังทำเรื่องช่วยตระกูลถาวไว้มากมาย นับว่ามีบุญคุณต่อตระกูลถาว เพื่อหน้าตาของตระกูลเฉิน นางยิ่งไม่อาจทำเช่นนั้นได้
แต่ถ้าจะปล่อยสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินไปเช่นนี้ นางย่อมไม่ยินยอม จึงมองสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินอย่างเย็นชา พูดสั่งเสียงเย็น “ในเมื่อเจ้าทำร้ายน้องสาวข้า ข้าย่อมไม่อาจปล่อยเจ้าไปง่ายๆ เช่นนี้ก็แล้วกันเจ้าไปคุกเข่าสวดมนต์ขอพรให้น้องสาวข้าต่อหน้าพระพุทธองค์เถิด หากนางไม่เป็นอะไร เจ้าย่อมรอดชีวิตอยู่ได้ แต่หากนางเป็นอะไรไป เจ้าจะต้องรับแทนกว่าสิบเท่า”
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินคิดว่าตนเองต้องตายแล้วเป็นแน่ พอได้ยินว่าให้ไปคำนับสวดมนต์ขอพรก็สบายใจไปเฮือกหนึ่ง แต่พอได้ยินประโยคหลังแล้ว ก็ต้องสั่นสะท้านหนาวเหน็บอีกครั้ง
แต่เดิมสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินคาดหวังให้ถาวซินหลันต้องทุกข์ทรมาน แต่ตอนนี้นางกลับเริ่มสวดมนต์ขอพรให้ถาวซินหลันแม่ลูกปลอดภัย และไม่ต้องทนทรมานอีกทันที
“หงหลัว เจ้าให้คนคอยไปตามจับตาดูสะใภ้ใหญ่ จำไว้ ไม่ให้หยุดแม้แต่วินาทีเดียว และทุกครั้งจะต้องโขกหัวเสียงดัง มิเช่นนั้นไม่นับว่าจริงใจ” ถาวจวินหลันทิ้งท้ายเอาไว้อย่างเย็นชา ไม่มองสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินอีก เดินตรงเข้าไปยังประตูใหญ่บ้านตระกูลเฉิน พุ่งตรงไปยังเรือนของถาวซินหลัน
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินย่อมคิดว่าบทลงโทษเช่นนี้ง่ายดาย แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ที่เหลือรอให้ถาวซินหลันปลอดภัยก่อนค่อยมาคิดบัญชีทีหลัง ถาวจวินหลันคิดว่าครั้งที่แล้วนางไม่ควรเก็บสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินให้มาขัดคอกับถาวซินหลันเลยจริงๆ!
พอมาถึงเรือนของถาวซินหลัน เฉินฮูหยินได้รับข่าวก็เดินออกมารับ พอเห็นถาวจวินหลัน น้ำตาของเฉินฮูหยินก็ไหลพราก แทบจะนั่งคุกเข่าลงไป “พระชายาองค์รัชทายาท หม่อมฉันขออภัยเพคะ!”
เฉินฮูหยินก็หงุดหงิดโทษตัวเอง คิดว่าตนเองดูแลถาวซินหลันไม่ดีพอ ถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ถาวจวินหลันอยากจะตำหนิเฉินฮูหยินอยู่บ้าง แต่พอเห็นเฉินฮูหยินมีสภาพเช่นนี้ นางก็กลืนคำพูดบนริมฝีปากกลับลงคอไป นางจุกจนพูดไม่ออก ด้วยเพราะเห็นใบหน้าหงุดหงิดโทษตัวเองและเป็นกังวลของเฉินฮูหยิน
เฉินฮูหยินโทษตัวเองมากพอแล้ว
สุดท้ายถาวจวินหลันก็ถอนหายใจ เข้าไปประคองเฉินฮูหยินเอาไว้ พูดแค่ว่า “อย่าพูดเช่นนี้เลย เรื่องนี้ไม่อาจโทษเฉินฮูหยินได้ ข้าจะเข้าไปดูซินหลันก่อน”
เฉินฮูหยินได้ยินเช่นนั้น น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมา
ถาวจวินหลันเพิ่งเข้าห้องไปก็เห็นคนอยู่เต็มห้อง นอกจากใต้เท้าเฉินที่ไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว พี่ชายของเฉินฟู่ก็อยู่กันครบ โดยเฉพาะเฉินฟู่ ดวงตาของเขาเอาแต่จับจ้องไปที่ประตูห้อง คล้ายเพ่งสมาธิไปไว้ที่ท่อนไม้นั้น ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง นอกจากถาวซินหลันแล้ว เฉินฟู่ก็ไม่สนใจใครหรืออะไรอีก
แม้แต่ถาวจวินหลันมาถึง เฉินฟู่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร
ถาวจวินหลันมองไปทางลูกชายคนโตและลูกชายคนรองของตระกูลเฉินที่ทำความเคารพตนเองด้วยท่าทีสับสน โดยเฉพาะลูกชายคนโตของตระกูลเฉิน นางพาลโกรธเขาเล็กน้อย เรื่องนี้มีส่วนที่เฉินจิ่งต้องรับผิดชอบ ด้วยถือว่าเขาดูแลผู้หญิงของตนไม่ดี ถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
แต่นางกลับพูดไม่ออกสักคำ สุดท้ายก็สั่งว่า “พวกท่านออกไปก่อน” แม้จะบอกว่าเป็นญาติ แต่อย่างไรก็ยังเป็นบุรุษ มายืนคอยอยู่ด้านนอกห้องคลอดของน้องสะใภ้ก็ดูไม่ค่อยดีนัก อีกอย่างนางก็ยังอยู่ด้วย นางไม่ควรพบบุรุษภายนอกตามใจชอบ แม้ว่าบังเอิญพบ หลังจากทำความเคารพแล้วอีกฝ่ายก็ควรเลี่ยงไป
เฉินฮูหยินได้ยินถาวจวินหลันเอ่ยเตือนเช่นนี้ ก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ จึงรีบไล่ลูกชายทั้งสองคนของตนเองออกไป เหลือเพียงเฉินฟู่คนเดียวเท่านั้น ไม่ว่านางจะลากอย่างไร เขาก็ไม่ยอมขยับแม้แต่น้อย
สุดท้ายถาวจวินหลันก็ทนมองต่อไปไม่ไหว พูดเสียงเบาว่า “ช่างเถิด ปล่อยเฉินฟู่ไว้ ตอนนี้เขาห่วงถาวซินหลัน อย่าไปรบกวนเขาเลย” ไล่เฉินฟู่ออกไปตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเฉินฟู่จะร้อนรนจนเป็นเช่นไร แม้แต่ถาวซินหลันเองคิดว่าก็คงต้องการแรงสนับสนุนของเฉินฟู่จากด้านนอกด้วยเช่นกัน
“ข้าจะเข้าไปดูในห้องคลอด” ถาวจวินหลันตั้งใจมาดูถาวซินหลัน ย่อมไม่คิดจะรออยู่ด้านนอกห้องคลอด ดังนั้นจึงเดินตรงเข้าไปภายในห้อง
หงหลัวได้สติก็รีบห้ามเอาไว้ อยากพูดว่าภายในห้องคลอดนั้นไม่สะอาด แต่คิดแล้วก็พูดแค่ว่า “บ่าวจะเข้าไปกับท่านเพคะ” จากความผูกพันที่ถาวจวินหลันมีต่อถาวซินหลัน นางต้องไม่ยอมรออยู่ข้างนอกเป็นแน่ อีกทั้งไม่ไปดูให้เห็นกับตา เกรงว่านางคงไม่มีทางวางใจ โดยเฉพาะคิดถึงตอนที่ถาวจวินหลันสะอึกสะอื้นวอนขอไทเฮาออกมาดูถาวซินหลัน ไม่ว่าอย่างไรนางก็พูดห้ามไม่ได้จริงๆ
ภายในห้องคลอดนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ถาวจวินหลันเพิ่งเข้าไปก็ได้กลิ่นเหม็นคลุ้งชวนให้คลื่นไส้ แต่ถาวจวินหลันคล้ายไม่รู้สึกก็มิปาน นางเพ่งสมาธิทั้งหมดไปทางถาวซินหลันที่นอนร้องครวญครางอยู่บนเตียงเล็ก
ก่อนที่นางจะมาไม่รู้ว่าถาวซินหลันทนทรมานนานเพียงใดแล้ว เสียงตอนนี้ช่างไร้เรี่ยวแรงและปวกเปียกอย่างบอกไม่ถูก ถาวจวินหลันเพียงแค่ได้ยินก็รู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มแทงใจของตนเอง
“ซินหลัน” ถาวจวินหลันเอ่ยปากเรียกชื่อนาง เหมือนตอนเด็กๆ ที่ถาวซินหลันป่วย “พี่มาหาเจ้าแล้ว”
ถาวซินหลันได้ยิน ก็ฝืนยกหัวของตนเองขึ้นมามอง ในดวงตาทอประกายยินดีและตกใจ ก่อนขยับริมฝีปากตอบรับว่า “ท่านพี่” จากนั้นความเศร้าสุดบรรยายก็เอ่อล้น ร้องไห้ออกมาอย่าควบคุมไม่ได้ “ท่านพี่ ข้าเจ็บเหลือเกิน”