บรรยากาศในห้องเงียบเชียบ
กู้ซีอยากจะพูดแต่ก็ต้องหยุดไปหลายครั้ง คล้ายกลัวอำนาจของฮ่องเต้จึงไม่กล้าพูดเสียที
สำหรับฮองเฮาและหวังฮูหยินยิ่งไม่ต้องคาดหวังเข้าไปใหญ่
ด้านนอกยังพอได้ยินเสียงกรีดร้องน่าเวทนาของกู่อวี้จือ ถาวจวินหลันแบ่งสมาธิมาคิดว่าบางทีกู่อวี้จือคงทนไม่ไหวแน่นอน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ถาวจวินหลันพลันได้ยินเสียงคุ้นเคย “เสด็จพ่อ ลูกมาช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นหลี่เย่นั่นเอง
ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าทำไมพอได้ยินเสียงของหลี่เย่ ก็สบายใจไปมาก จึงคลายกังวลลงทันที รู้สึกว่าไม่ต้องกลัวอีกแล้ว ต้องบอกว่านางเห็นหลี่เย่เป็นที่พึ่งมากไปแล้ว
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องเหล่านี้ เพราะหลี่เย่เอ่ยปากถามอย่างอ่อนโยนแล้วว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือถาวซื่อสร้างเรื่องให้เสด็จพ่อกริ้วหรือ? ทำไมถึงคุกเข่าเล่า” พูดจบก็ประคองถาวจวินหลันขึ้นมา
ไม่รอให้ถาวจวินหลันลุกขึ้นตามแรงดึง ก็ได้ยินเสียฮ่องเต้พูดว่า “หรือองค์รัชทายาทไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น? น้องเก้าของเจ้าตกอยู่ในขีดอันตราย ไม่รู้ว่าอาการเป็นเช่นไร เจ้ากลับทำหน้าทะเล้นเช่นนี้ เจ้าช่างเป็นคนเลือดเย็นไร้หัวใจเหลือเกิน”
ฮ่องเต้พูดทิ่มแทงหลี่เย่ แต่เดิมบรรยากาศอบอุ่นน้อยๆ พลันเปลี่ยนเป็นอึมครึมอีกครั้ง
ใครก็คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะฉวยโอกาสนี้มาสั่งสอนหลี่เย่ แล้วยังพูดตำหนิด้วยคำพูดรุนแรงว่า ‘เลือดเย็นไร้หัวใจ’ ร่างกายที่เพิ่งผ่อนคลายของถาวจวินหลัน ก็ต้องเกร็งขึ้นอีกครั้ง
หลี่เย่ขมวดคิ้ว มองฮ่องเต้อย่างฉงน “ไม่ได้บอกว่ากินของเสาะท้อง แล้วอาเจียนเล็กน้อยหรือพ่ะย่ะค่ะ? เหตุใดเสด็จพ่อทรงทำเหมือนรุนแรงนักพ่ะย่ะค่ะ?”
สิ้นเสียงหลี่เย่ ฮ่องเต้ก็ชะงักไป เพราะอย่างไรหลี่เย่ก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริงก็เป็นเรื่องปกติ แม้มีนางกำนัลถ่ายทอดคำพูดให้ฟัง แต่หลี่เย่ก็อาจจะไม่เข้าใจว่าความรุนแรงของเรื่องนี้มากนัก
หลี่เย่ทำเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการหักล้างคำพูดของฮ่องเต้ที่ว่าเขา ‘เลือดเย็นไร้หัวใจ’ แต่หลี่เย่พอใจเพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ? ย่อมไม่ใช่ หลี่เย่รีบพูดเสียงนิ่ง “ลูกมัวแต่ยุ่งเรื่ององค์หญิงเก้า จึงละเลยเรื่องภายในวังไป เมื่อวานนี้รีบร้อนกลับมา ยังไม่ทันได้มาดูองค์ชายเก้า คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันก็รับช่วงต่อ รีบรับผิดอย่างจริงใจ “ต้องโทษหม่อมฉันที่ดูแลไม่รอบคอบเพคะ ขอองค์รัชทายาทลงโทษด้วยเถิด”
หลี่เย่มองถาวจวินหลันทีหนึ่ง พูดว่า “เจ้ากังวลเรื่ององค์หญิงเก้าทั้งวันทั้งคืน และยังต้องไปหาไทเฮาบ่อยครั้ง เจ้าละเลยก็พอให้อภัยได้ แต่เหตุใดนางกำนัลถึงสะเพร่าเช่นนี้? บอกว่าไม่ได้เปลี่ยนคนรับใช้ขององค์ชายเก้ามิใช่หรือ?”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ “หม่อมฉันคิดว่า ในเมื่อเป็นนางกำนัลและแม่นมที่ดูแลรับใช้องค์ชายเก้ามาโดยตลอด ย่อมต้องพึ่งพาได้เป็นแน่ ใครจะรู้ว่า ไม่มองไม่ถามแค่ไม่นานจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น กู่ซื่อเองก็เลอะเลือน เห็นว่าองค์ชายเก้าน่ารัก จึงไปหยอกเล่นด้วย แล้วยังป้อนของว่างให้องค์ชายเก้าอีก ไม่มีใครรู้ว่าองค์ชายเก้าจะเสาะท้อง นางกลัวพวกเรากล่าวโทษถึงได้บอกให้แม่นมปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ ทั้งยังไม่เชิญหมอหลวงมาทันที อาการถึงได้รุนแรงขึ้นเพคะ พูดไปแล้ว แม้ว่านางป้อนของว่างให้องค์ชายเก้า แต่ก็ใช่ว่าของว่างนั้นจะมีปัญหานะเพคะ ทำไมนางถึงได้เลอะเลือนเช่นนี้”
แต่เดิมนางกำลังรอเวลาสมควรพูดเรื่องนี้ออกมา เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการออกตัวแทนกู่อวี้จือและตัวเองได้บ้าง แต่เมื่อครู่นี้ไม่มีโอกาสเหมาะเจาะ ย่อมไม่อาจพูดออกมาได้ ตอนนี้หลี่เย่อยู่ด้วย นางพูดจึงเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งแต่เดิมเรื่องเหล่านี้ก็เป็นความจริง องค์ชายเก้าเสาะท้องเพราะอะไรก็ไม่มีใครทราบ ของว่างในวังหลวงล้วนถูกส่งมาจากห้องเครื่อง ขององค์ชายเก้าก็ไม่เป็นข้อยกเว้น หากพูดเรื่องวางยา นั่นก็ไม่ใช่ยาของกู่อวี้จือ
ดังนั้นจึงพูดได้ว่า กู่อวี้จือช่างโง่เง่าเสียจริง
หากกู่อวี้จือไม่ได้โง่เง่า เรื่องคงไม่มาถึงขั้นนี้เป็นแน่
หลี่เย่ฟังคำพูดของถาวจวินหลันจบ ก็ขมวดคิ้วมุ่น “ตอนแรกเจ้าควรฟังข้า แล้วไล่คนพวกนั้นออกไปเสีย”
ถาวจวินหลันยังก้มหน้ายอมรับผิด “เป็นเพราะหม่อมฉันใจอ่อนไปชั่วครู่ และคิดว่าเป็นคนที่อี๋เฟยเหลือไว้ให้องค์ชายเก้า…หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ข้าต้องเปลี่ยนพวกนางออกไปนานแล้วเพคะ องค์ชายเก้าจะได้ไม่ต้องลำบากไปด้วย”
สองสามีภรรยาเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย กลับเป็นการปัดความรับผิดชอบของถาวจวินหลันไปได้อย่างใสสะอาด หลี่เย่เห็นว่าพอสมควรแล้วก็หันไปขอร้องฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ ถาวซื่อไม่ได้มีความผิดใหญ่ กลับไปลูกต้องสั่งสอนนางแน่นอน ตอนนี้ให้นางลุกขึ้นก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่งเสียงฮึดฮัด ไม่ได้พูดอะไรออกมา กู้ซีก็อธิบายอย่างขลาดกลัว “ฮ่องเต้ไม่ได้ลงโทษพระชายาองค์รัชทายาทเพราะเหตุนี้ แต่เพราะพระชายาองค์รัชทายาทกล้าต่อปากต่อคำกับฮ่องเต้ พระชายาองค์รัชทายาทถึงได้…”
ต่อปากต่อคำอย่างนั้นหรือ? หลี่เย่มองถาวจวินหลันอย่างฉงน ถาวจวินหลันไม่อยากให้หลี่เย่ลำบากใจ จึงไม่ได้อธิบายเรื่องนั้นกับเขา เพียงแค่พูดขอร้องฮ่องเต้อีกครั้ง “ขอฮ่องเต้ถอนคำสั่งด้วยเถิดเพคะ ให้อภัยกู่ซื่อด้วยเถิดเพคะ!”
อยู่ต่อหน้าหลี่เย่ ฮ่องเต้ไม่อาจออกคำสั่งส่งให้กู่อวี้จือไปเป็นโสเภณีกองทัพได้อีก โดยเฉพาะเมื่อเห็นดวงตาละม้ายคล้ายกับกู้กุ้ยเฟย
แต่หลี่เย่ไม่คิดจะปล่อยไป เพราะเขาพูดเสนอมาว่า “กู่ซื่อทำผิดหนัก ได้รับโทษก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล”
ถาวจวินหลันรีบหันไปมองหลี่เย่ทันที เห็นเขามีสีหน้าเรียบนิ่ง จึงไม่ค่อยมั่นใจความคิดของเขานัก ในเมื่อไม่ค่อยมั่นใจความคิดของเขา ย่อมไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อไปดี พอคิดไปคิดมานางก็ตัดสินใจเงียบไว้ก่อน
ฮองเฮากลับเอ่ยปากพูดด้วยความ ‘หวังดี’ “ต้องลงโทษเป็นแน่ ฮ่องเต้ทรงสั่งไปแล้ว ประทานไม้โบยสามสิบไม้ให้กู่ซื่อ หากกู่ซื่อไม่ตาย ก็ให้ส่งกู่ซื่อไปเป็นโสเภณีกองทัพที่ชายแดน”
สิ้นเสียงของฮองเฮา บรรยากาศพลันก็อึมครึมเย็นเยียบ
ทุกคนอดหันไปมองหลี่เย่ไม่ได้ อยากดูว่าหลี่เย่จะมีปฏิกิริยาเช่นไร
แต่กลับมองความรู้สึกของหลี่เย่ผ่านสีหน้าไม่ได้เลย ด้วยเพราะเขายังนิ่งเงียบเหมือนเดิม
ฮ่องเต้มองใบหน้าของหลี่เย่ ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา พอเขาสัมผัสได้ถึงความใจฝ่อของตนเอง ก็โมโหจนพูดไม่ออก เขาจะกลัวไปทำไม? หรือว่าเป็นบิดา แม้แต่ลูกชายก็ยังต้องกลัว?
อย่างนี้คนอื่นจะไม่หัวเราะจนฟันหลุดหรืออย่างไร
ฮ่องเต้กำลังคิดฟุ้งซ่าน หลี่เย่ก็เอ่ยปากพูดนิ่งๆ “ขอถามเสด็จพ่อ กู่ซื่อทำผิดอะไรถึงต้องลงโทษเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ?”
หลี่เย่มีท่าทีนิ่งสงบยิ่ง จนไม่เหมือนกำลังพูดเรื่องอนุภรรยาของเขา แต่เหมือนกำลังพูดเรื่องคนอื่น แต่เพราะเขาใจเย็นเช่นนี้ และพูดเชิงเค้นถาม ก็ยิ่งให้ฮ่องเต้อึดอัดใจ
ฮ่องเต้คิดว่า ตอนแรกที่บอกว่าหลี่เย่เลือดเย็นไร้หัวใจไม่ได้ผิดเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ผู้หญิงของตนเองก็ยังมีท่าทีเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นอีก
ในใจคิดเช่นนี้ แต่ฮ่องเต้ก็ต้องสงวนท่าที “กู่ซื่อทำร้ายองค์ชายเก้าเช่นนี้ ให้ปล่อยไปได้อย่างไร?”
“อย่างนั้นลูกขอเสนอ ประทานความตายให้กู่ซื่อ เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่พูดเรียบๆ แล้วสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นไม่เห็นด้วย “แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่สมควรให้ไปเป็นโสเภณีกองทัพ ตั้งแต่โบราณมา นอกจากฮูหยินทำผิดฐานสำส่อน หรือคนทรยศตระกูลแล้ว ก็ใช้บทลงโทษเ**้ยมโหดเช่นนี้ไม่ได้ แม้กู่ซื่อมีความผิด แต่ก็ยังไม่ได้ร้ายแรงจนน่ารังเกียจ โทษเช่นนี้จึงไม่สมควรพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าทำเพื่อตักเตือนคนอื่น ไม่เข้มงวดบ้าง แล้วพวกเขาจะกลัวได้อย่างไร?” ฮ่องเต้กัดฟันแน่นไม่ยอมถอยให้
หลี่เย่มองฮ่องเต้นิ่ง ไม่พูดอะไรไปครู่ใหญ่
ฮ่องเต้ถูกมองจนเริ่มอึดอัด
สุดท้ายกู้ซีก็พูดแทรกว่า “ฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้ทำไมหรือเพคะ แม้ว่ากู่ซื่อทำความผิด แต่อย่างไรก็เป็นสตรีขององค์รัชทายาท หากต้องการไว้หน้าองค์รัชทายาท ก็ไม่ควรทำเรื่องเช่นนี้เพคะ เมื่อครู่พระองค์ตรัสด้วยเพราะกริ้วโกรธ หรือต้องการระบายใส่องค์รัชทายาท ถึงอย่างไรก็ไม่รู้ว่าองค์ชายเก้ามีอาการเช่นไร หากทรงลงโทษกู่ซื่อเช่นนั้นจริง ยิ่งให้องค์ชายเก้ามีบาปนะเพคะ จากที่หม่อมฉันดูแล้ว ไม่สู้สร้างบุญให้องค์ชายเก้าดีกว่า เพียงแค่โบยตีกู่ซื่อก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องเอาถึงชีวิตเลยเพคะ”
กู้ซีเอ่ยกล่อมเสียงหวาน ท่าทีของฮ่องเต้ก็ดูผ่อนคลายลงไปบ้าง อีกทั้งทำเช่นนี้ก็ไม่สมควรจริงๆ จึงได้ยอมลงจากหลังม้า “ช่างเถิดๆ ทำตามที่จวงผินพูดก็แล้วกัน ให้เจ้าเก้าปลอดภัยก็พอ”
พอฮ่องเต้พูดเช่นนี้ก็หมายความว่ารักษาชีวิตของกู่อวี้จือเอาไว้ได้แล้ว
ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจเบาๆ แต่ก็ยังไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี คิดว่าฮ่องเต้เป็นคนเลือดเย็นไร้หัวใจตัวจริง เขาไม่เห็นว่าหลี่เย่เป็นลูกชายของตนเองเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งไม่ได้มีท่าทีของบิดาผู้เมตตาเลยด้วยซ้ำ
หากวันนี้นางไม่พูดห้าม และหลี่เย่กลับมาไม่ทันเวลา เกรงว่ากู่อวี้จือต้องเจอจุดจบน่าเวทนาเป็นแน่ อีกทั้งหน้าตาของวังตวนเปิ่นและหน้าตาของหลี่เย่คงถูกกวาดหายไปจนเกลี้ยง
ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ไฉนเลยจะคิดอยากเชือดไก่ให้ลิงดู? เห็นชัดว่าเป็นการฉวยโอกาสลดอำนาจของหลี่เย่ ให้หลี่เย่ตกที่นั่งลำบากเท่านั้นเอง
ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจแทนหลี่เย่ พลางมองใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาทีหนึ่ง ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม
และในตอนนี้หมอหลวงก็เคี่ยวยาขององค์ชายเก้าเสร็จแล้ว หมอหลวงมาส่งด้วยตนเอง พร้อมกับคิดจะไปป้อนยาให้องค์ชายเก้าด้วย
แต่เดิมถาวจวินหลันคิดจะไปป้อนเอง แต่ก็ถูกคนแย่งไปก่อนก้าวหนึ่ง เบนหน้าไปมอง ที่แท้ก็เป็นกู้ซี
กู้ซีส่งยิ้มให้ถาวจวินหลัน พูดเสียงอ่อนว่า “ข้าขอป้อนให้องค์ชายเก้าเถิด”
ท่าทางป้อนยาของกู้ซีนั้นดูไม่เลว แม้จะบอกว่าหกไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ยังป้อนลงไปได้ อีกทั้งตอนที่ป้อนยังมีใบหน้าอ่อนโยนอย่างพูดไม่ถูก
พอป้อนยาลงไป ผ่านไปไม่นานองค์ชายเก้าก็ไม่ได้อาเจียนอีก ฮ่องเต้ดีใจในฉับพลัน หัวเราะเอ่ยชมกู้ซี “จวงผินมีเมตตาคล้ายคนเป็นมารดายิ่งนัก”
กู้ซีได้ยินก็หน้าแดงระเรื่อ
ฮองเฮากลับก้มหน้าไปจับกำไลหยกบนข้อมือ
ถาวจวินหลันก็รู้สึกเกร็งไปหมด ฮ่องเต้ไม่ปิดบังความโปรดปรานและหลงใหลต่อกู้ซีเลยแม้แต่น้อย แต่อยู่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้เหมาะสมอย่างนั้นหรือ?
กู้ซีเขินอายอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดถึงเรื่องอะไรขึ้นมา เอ่ยปากพูดช้าๆ ว่า “ที่จริงแล้ว หม่อมฉันคิดได้เรื่องหนึ่งเพคะ ไม่ทราบว่าฮ่องเต้จะคิดเช่นไร”
ฮ่องเต้จดจ้องใบหน้าของกู้ซี เสียงก็อ่อนโยนลงหลายส่วน “ว่ามาเถิด”