ถาวจวินหลันตื่นตกใจ แต่สีหน้าท่าทางไม่ได้เปลี่ยนไป
หวังฮูหยินแม้จะใจน้อย แต่ก็ทำได้แค่ร้อนใจไปเท่านั้น
“ที่จริงข้าอยากถามหวังฮูหยินอีกเรื่อง” ถาวจวินหลันพูดออกมาช้าๆ แต่กลับเลี่ยงหัวข้อสนทนาไป “เรื่องของหงฉวี ไม่ทราบว่าหวังฮูหยินรู้เรื่องหรือไม่?”
หวังฮูหยินตะลึงไป คล้ายรับมือไม่ทัน นางเปลี่ยนเรื่องพูดเร็วเหลือเกิน อยู่ดีๆ ทำไมถึงพูดเรื่องนี้?
ถาวจวินหลันยิ้มแย้ม ยังอดทนรอคำตอบของหวังฮูหยิน ที่ถามเช่นนี้อย่างแรกก็เพื่อจงใจให้หวังฮูหยินตั้งตัวไม่ทัน อย่างที่สองเพื่อดูความจริงใจของหวังฮูหยิน
หวังฮูหยินค่อยๆ ได้สติกลับมา พยักหน้าอย่างไม่ลังเล “เรื่องนี้ข้ารู้ไม่เยอะ แต่ก็พอรู้อยู่บ้าง หงฉวีถูกฮองเฮาตลบหลัง นางไม่ได้ฆ่าตัวตายหนีความผิด แต่ถูกคนฆ่าปิดปาก”
คำพูดนี้ถือว่าสั่นสะเทือนเลือนลั่น ทว่าถาวจวินหลันกลับไม่ได้ตกใจมากนัก นางถอนหายใจ พูดว่า “ไม่ต่างจากที่ข้าเดาไว้สักเท่าไร แต่คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงจะปิดความจริงมิดขนาดนี้ แม้แต่ขันทีเป่าฉวนก็ยังถูกหลอกได้”
“แต่เดิมหงฉวียังไม่ควรตาย แผนการเดิมคือทำให้หงฉวีตายไปเงียบๆ โดยไม่มีใครรู้ เนียนจนไม่มีใครสงสัย แต่คิดไม่ถึงว่าขันทีเป่าฉวนจะสอดมือเข้ามายุ่ง เกือบจะสืบพบเบาะแสแล้ว จึงต้องลงมือก่อนเวลา” หวังฮูหยินหัวเราะ “แต่ชายารัชทายาทดูไม่แปลกใจเลย ท่านรู้เรื่องนี้อยู่แล้วหรือ?”
หวังฮูหยินถามมาเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ยิ้มให้อย่างแฝงนัยเช่นเดียวกัน ทั้งไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ยอมรับ
หวังฮูหยินก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก เพียงแค่ถามถาวจวินหลันกลับไป “เช่นนั้นทำไมชายารัชทายาทถึงไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมา? แต่อดทนมานานเช่นนี้” หากเป็นนาง นางไม่มีทางอดกลั้นนานเช่นนี้เป็นแน่
ถาวจวินหลันพูดเรียบๆ “ก็เพราะไม่มีหลักฐานมิใช่หรือ พูดไปแล้ว ฝีมือของหวังฮูหยินกับฮองเฮาช่างฉลาดเฉลียว แนบเนียนจนจับผิดและหาหลักฐานได้เลยแม้แต่น้อย”
เมื่อได้ยิน ‘คำชม’ ของถาวจวินหลัน หวังฮูหยินก็ละอายใจ เม้มปากไม่พูดอะไรอีก
“เมื่อก่อน คิดว่าหวังฮูหยินคงเข้ามายุ่งเรื่องของจวนตวนอ๋องไม่น้อยกระมัง? ข้าลองคิดดู อย่างเช่นครั้งที่ข้าถูกลอบทำร้ายกลางดึก? ครั้งนั้นอันตรายจริง หากไม่มีเหตุบังเอิญ วันนี้ข้าคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว” ถาวจวินหลันพูดไปหัวเราะไป แต่สีหน้าไม่ได้มีแววขบขันนัก ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายเฉียบคม
หวังฮูหยินอับอายจนทำตัวไม่ถูก “เป็นความคิดของฮองเฮาทั้งนั้น ข้าจนปัญญาจริงๆ อีกอย่างก็เพราะถาวจือยอมร่วมมือ…”
ถาวจวินหลันได้ยินชื่อ ‘ถาวจือ’ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพียงแค่ส่งเสียงสั่งหงหลัว “ไปตามถาวจือมา”
หวังฮูหยินมองถาวจวินหลันนิ่ง “ท่านคิดจะทำอะไร?”
“ขอหวังฮูหยินช่วยข้าไต่สวนสักครั้ง” ถาวจวินหลันยิ้มแย้มมองหวังฮูหยิน
หวังฮูหยินดีดตัวลุกขึ้นมา เอ่ยปฏิเสธตรงๆ “ไม่ได้ วันนี้ข้าแอบฮองเฮามาที่นี่ หากจะไต่ถามถาวจือ ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่า…“
ถาวจวินหลันหรี่ตาลง หัวเราะเยาะ ก่อนพูดเสียงแข็ง “หวังฮูหยิน ทำเลวแล้วยังอยากได้ป้ายบูชา ใต้หล้านี้มีเรื่องเช่นนั้นที่ใดกัน หากคิดว่าใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำก็เอาตัวรอดได้ เช่นนั้นคนที่ข้าต้องช่วยคงเยอะไปหมด”
นางให้หวังฮูหยินไต่สวนถาวจือ ก็ด้วยจุดประสงค์เดียวเท่านั้น นั่นคือให้หวังฮูหยินประมือกับฮองเฮา ให้พวกนางตั้งตนเป็นศัตรูกันเอง
พอมองผ่านๆ ก็เหมือนบีบคั้นผู้อื่นอยู่บ้าง แต่ความจริงแล้ว หากไม่ทำเช่นนี้นางจะกล้าเชื่อใจหวังฮูหยินได้อย่างไร? อย่างที่นางว่า ‘ทำเลวแล้วยังอยากได้ป้ายบูชา ใต้หล้านี้มีเรื่องเช่นนั้นที่ใดกัน’ หากหวังฮูหยินยังคิดจะประจบทั้งสองฝ่าย นางย่อมไม่รับปากหวังฮูหยิน
ในเมื่อต้องการร่วมมือ ก็ต้องแสดงความจริงใจออกมา
ถาวจวินหลันแย้มยิ้มมองหวังฮูหยิน รอหวังฮูหยินตัดสินใจ
หวังฮูหยินกัดฟันแน่น หลุบตาลงอย่างแค้นเคืองและไม่พอใจ หากองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อยังไม่สิ้นพระชนม์ ตอนนี้นางจะต่ำต้อยเช่นนี้ได้อย่างไร? แต่หงุดหงิดแล้วได้อะไร? สุดท้ายก็ยังต้องก้มหน้าอยู่ดี สุดท้ายแล้วหวังฮูหยินก็นั่งลงไปอย่างอับอาย ในใจขมขื่น คิดอีกครั้งว่าฮองเฮาไม่น่าให้ถาวจวินหลันไปอยู่ข้างกายหลี่เย่เลยจริงๆ ไม่ควรคิดจะหลอกใช้ถาวจวินหลันไปควบคุมหลี่เย่ และปล่อยให้ถาวจวินหลันมีโอกาสเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง
“หวังฮูหยินคงไม่ชอบข้ามากเลยสินะ” ถาวจวินหลันต้องยอมรับว่า พอนางเห็นหวังฮูหยินเป็นเช่นนี้ก็พอใจยิ่ง เมมื่อครั้งที่หวังฮูหยินยังเป็นพระชายาองค์รัชทายาท เคยสร้างความลำบากให้นางมากเท่าไร? เคยใช้วาจาทำร้ายนาง กดดันนางมากเท่าไร? แล้วยังตลบหลังนางมากี่ครั้ง? พอวันนี้สลับบทกัน ยิ่งนางได้กดดันฝ่ายตรงข้ามมากเท่าไร ก็ยิ่งได้ใจมากเท่านั้น
นางยิ้มมองหวังฮูหยิน พูดอย่างเนิบช้า “น่าเสียดาย บางครั้งโชคชะตาก็ล้อเล่นกับชีวิตคน“
หวังฮูหยินกัดฟันแน่นทันที
ถาวจือเข้าห้องมาในเวลานี้นี่เอง เห็นว่าหวังฮูหยินก็อยู่ด้วย สายตาของถาวจือดูเลิ่กลั่กทันที ไม่กล้ามองไปมากกว่านั้น รีบก้มหน้าทำความเคารพ “หม่อมฉันทำความเคารพพระชายาองค์รัชทายาท ทำความเคารพหวังฮูหยิน”
ถาวจวินหลันยิ้มมองแผ่นหลังแข็งเกร็งของถาวจือ พูดช้าๆ ว่า “ถาวจือ วันนี้หวังฮูหยินมาที่นี่เพื่อไต่สวนเจ้า เรื่องการตายของหงฉวี เรื่องที่เจ้ายุยงพระชายาหลิวให้หาเรื่องข้าหลายครั้งหลายครา แล้วยังมีเรื่องที่หลอกล่อบ่าวหญิงให้คิดลอบทำร้ายข้า เรื่องเหล่านี้เจ้ายอมรับหรือไม่?”
ถาวจือหน้าซีดเผือดไปตั้งแต่ถาวจวินหลันยกเรื่องการตายของหงฉวีมาพูดแล้ว รอจนถาวจวินหลันพูดจบ ใบหน้าของนางก็ยิ่งซีดเผือดไร้สีเลือด แม้ใบหน้ายังสงบนิ่งจนแทบจะด้านชา แต่ความจริงแล้วดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่อย่างไรก็ปิดไม่มิด
แต่ถาวจือกลับไม่คิดจะยอมรับ นางนั่งคุกเข่าลงไปทันที อีกทั้งยังพูดอย่างหนักแน่นว่า “หม่อมฉันไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงพูดเรื่องพวกนี้ แต่หม่อมฉันไม่เคยทำ พระชายาองค์รัชทายาทได้โปรดกระจ่างด้วยเถิดเพคะ!”
ถาวจวินหลันไม่ได้พูดอะไร มองไปยังหวังฮูหยิน
สีหน้าของหวังฮูหยินก็ไม่ได้น่ามองไปกว่ากัน มองถาวจืออย่างเย็นชา หรี่ตาลงเล็กน้อย พูดชื่อออกมา
ถาวจือหน้าซีดขาวลงอย่างถึงขีดสุด
เรื่องราวชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว หลังจากหวังฮูหยินพูดชื่อเหล่านี้จบ สีหน้าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร หากฮองเฮารู้เรื่องนี้เข้า คงแตกสะบั้นจากฮองเฮาโดยสิ้นเชิงแล้ว
ถาวจวินหลันให้คนลากถาวจือออกไป มองไปยังหวังฮูหยิน ยิ้มพลางจิบชาให้ชุ่มคอ แล้วถึงพูดว่า “คิดว่าหวังฮูหยินคงไม่ติดใจที่ข้าจะจัดการถาวจือกระมัง?”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ หวังฮูหยินก็พูดได้แค่ว่าไม่ติดใจ มิเช่นนั้นเล่า? หวังฮูหยินหัวเราะขมขื่นพลางลุกขึ้นขอตัว ไม่ยินยอมรั้งตัวอยู่นานกว่านี้
ถาวจวินหลันย่อมไม่รั้งไว้ แต่หลังจากส่งหวังฮูหยินกลับไปแล้ว ก็สั่งหงหลัวเสียงเบา “ให้คนคอยตามหวังฮูหยินในระยะไกล สอดส่องความเคลื่อนไหวของหวังฮูหยินในระยะนี้ให้มากขึ้น”
หลังจากกลับเข้าห้องไป ถาวจวินหลันก็ให้คนไป ‘เชิญ’ ถาวจือมาพูดคุย
ครั้งนี้พอถาวจือเข้าห้องมาก็คุกเข่าลงทันที ถึงขั้นเดินคลานเข่ามาเบื้องหน้าถาวจวินหลัน น้ำตาไหลอาบหน้าพูดร้องขอ “พระชายาองค์รัชทายาทเพคะ พระองค์ปล่อยหม่อมฉันไปเถิดเพคะ หม่อมฉันยอมเป็นวัวเป็นควายให้พระชายาองค์รัชทายาท ขอแค่ครั้งนี้พระชายาองค์รัชทายาทยอมปล่อยหม่อมฉันไป”
ถาวจวินหลันเก็บชายกระโปรงของตนเองขึ้นอย่างรังเกียจ พูดสั่งสอน “ลุกขึ้นมายืนดีๆ! ทำแบบนี้ทำไม? ในเมื่อกล้าทำเรื่องเช่นนั้น ทำไมถึงไม่กล้ายอมรับ?”
ไม่ต้องให้ถาวจือขยับตัว ชุนฮุ่ยก็ก้าวเข้ามา ‘ประคอง’ ถาวจือลุกขึ้น
ถาวจือลุกขึ้นยืนตรง ทั้งตัวสั่นสะท้าน ไม่อาจปิดบังท่าทีหวาดกลัวและสายตาอ้อนวอนได้
ถาวจวินหลันมองไปทางถาวจือ รู้สึกสะอิดสะเอียนเป็นที่ยิ่ง คิดว่าน่าตลกนัก สุดท้ายนางก็หยิบดอกบัวบานขึ้นมาเลือกเม็ดบัวสดใหม่ แม้มีท่วงท่าสบาย แต่พอเอ่ยปากพูด บรรยากาศสบายก็หายไปโดยพลัน คล้ายตกลงไปในน้ำแข็ง “เจ้ายังเสแสร้งอีกหรือ? ถาวจือ เจ้าคิดว่าข้าโง่อย่างนั้นหรือ? เจ้าแสดงละครเก่งนัก แสดงมาตั้งนานแล้ว ไม่เหนื่อยบ้างหรือ?”
ถาวจืออธิบายตะกุกตะกัก “หม่อมฉันไม่เข้าใจที่ท่านพูดเพคะ”
“ข้าก็หลงคิดว่าเจ้าเป็นคนจิตใจลึกล้ำ” ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา วางเม็ดบัวที่ปอกเรียบร้อยแล้วในถ้วยเคลือบขาว เตรียมเอาไปทำเม็ดบัวทอดให้หลี่เย่ นับว่านางกำลังทำสองสิ่งในเวลาเดียวกัน แต่นี่ก็ไม่ขัดขวางสิ่งที่นางจะพูด “ตั้งแต่เจ้ามาอยู่ข้างกายองค์รัชทายาท คำพูดที่เจ้าเอ่ยกล่อมข้าตอนนั้น ข้าก็คิดว่าเจ้าคงไม่ใช่คนดี ถึงปัดแข้งปัดขากันบ้าง แต่เจ้าก็ไม่ควรคิดทำร้ายคนอื่น ตอนที่หงฉวีตาย นางได้มองเจ้าหรือไม่ นอนตายตาหลับหรือไม่? ทั้งที่นางเชื่อใจเจ้าขนาดนั้น…”
พูดมาถึงตรงนี้ ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจอีกครั้ง ไม่อยากพูดต่อไปอีก ที่จริงหงฉวีนับเป็นคนโง่เขลาที่แท้จริง ถาวจือให้นางอุ้มท้อง นางก็เชื่อฟัง และปฏิบัติตาม แต่ใครจะคิดว่านางอุ้มท้องเพราะเชื่อฟังคำของถาวจือครั้งนั้น นำมาสู่จุบจบน่าอนาถของตนเอง
“เจ้าเห็นหงฉวีเป็นอะไร? สิ่งของอย่างนั้นหรือ? เป็นของที่คลอดลูกแทนเจ้าอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ กวาดตามองถาวจือที่ตัวสั่นสะท้านด้วยสายตาเย็นยะเยือก “หงฉวีต่างหากที่น่าสงสาร เจ้ายังมาแสร้งทำตัวน่าสงสารอีกทำไม? เจ้าว่าทำไมข้าถึงไม่ให้เจ้าเลี้ยงกั่วเจี่ยเอ๋อร์? เพียงเพราะข้าลำเอียงไปทางจิ้งหลิงเท่านั้นหรือ? ต้องรู้ว่า มองจากมุมไหน เจ้าก็ดูเหมาะสมที่สุด แต่ทำไมข้าถึงไม่ให้เจ้าเลี้ยง? ก็เพราะจิตใตต่ำทรามของเจ้า!”
“มาโทษหม่อมฉันได้อย่างไร หม่อมฉันเคยทำร้ายหงฉวีหรือ…การตายของนาง ก็เพราะนางฆ่าตัวตายหนีความผิด…” ถาวจืออธิบายด้วยเสียงอึกอัก ก่อนเงียบเสียงหายไปด้วยเพราะถูกถาวจวินหลันจ้อง
ถาวจวินหลันจ้องถาวจือ พูดเสียงเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำ “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าสิ เหตุใดหงฉวีต้องทำเรื่องเหล่านั้น? นางก็มีลูกแล้ว ท่านอ๋องก็ทำอะไรนางไม่ได้ นางไม่ได้รับความโปรดปราน แต่จำเป็นต้องทำเรื่องเช่นนั้นหรือ? มีประโยชน์อะไรกับนาง? อีกทั้งเรื่องที่นางคลอดยาก เป็นเรื่องที่นางทำขึ้นมาเหมือนกันหรือ? นางกล้าเอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่นอย่างนั้นหรือ?”