ถาวจือไร้คำพูดจะตอบโต้ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ยอมพูดอึกอัก “บอกไม่ได้ว่าหม่อมฉันทำนี่เพคะ”
ถาวจวินหลันเบื่อจะถกเถียงให้เปลืองน้ำลายอีก โยนตัวเลือกสองอย่างให้ถาวจือ “อย่างแรกเจ้าจะยอมรับเอง แล้วเชื่อฟังคำพูดของข้าอย่างว่าง่าย บางทีข้าอาจจะปล่อยเจ้าไป หรืออยากเอาที่เจ้าสบายใจก็ได้เช่นกัน อย่างที่สองเจ้าปฏิเสธต่อไป พอข้าหาหลักฐานเจอ ก็จะไปรายงานองค์รัชทายาท ให้เขาจัดการเจ้า”
หลี่เย่ในสายตาของถาวจือนั้นไม่ใช่คนมีเมตตาหรือจิตใจดีอะไร
ดังนั้นถาวจือไม่คิดว่าหากตนเองตกอยู่ในมือของหลี่เย่แล้วจะเป็นผลดี ดังนั้นสุดท้ายนางจึงเลือกตัวเลือกแรกอย่างรู้งาน ชีวิตย่อมมาก่อน ถาวจือไม่สนใจเรื่องอับอายขี้หน้าอะไรอีก และยิ่งไม่กล้าบิดพลิ้ว พูดออกมาว่า “หม่อมฉันเลือกอย่างแรกเพคะ พระชายาองค์รัชทายาทไม่ได้ใส่ร้ายหม่อมฉัน”
ถาวจวินหลันปอกเม็ดบัว หัวเราะฮ่าๆ สองที “เจ้าดูสิ เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงเอาแต่ปฏิเสธ ต้องให้ข้าพูดถึงขั้นนี้จึงยอมรับ? ถาวจือ ไหนเจ้าบอกเรื่องที่เคยทำสิ หากพูดดีข้าจะเว้นโทษไม่ให้เจ้าตาย แต่หากกล้าปิดบังอีก อย่าโทษว่าข้าไม่เปิดโอกาสให้เจ้า”
ถาวจวินหลันทำตัวตามสบาย แต่ถาวจือก็ไม่ได้ประมาทเลินเล่อแม้แต่น้อย นางรู้ดีแก่ใจว่าถาวจวินหลันคงรู้เรื่องนี้นานแล้ว เพียงแค่อดกลั้นเอาไว้ไม่เปิดเผยเท่านั้นเอง
ถาวจือยิ่งไม่กล้าโกหก อย่างไรนางก็ไม่รู้จริงๆ ว่าถาวจวินหลันรู้เรื่องอะไรบ้าง หากถาวจวินหลันรู้เรื่องที่นางไม่พูดอยู่แล้วเล่า?
ถาวจือไม่คิดว่าถาวจวินหลันจะกล้าเล่นงานนางถึงตาย ใครก็พูดกันว่าถาวจวินหลันใจดีมีเมตตา แต่พูดตามจริงแล้ว นางไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน ตอนที่หลี่เย่เกือบจะพิการ มีขันทีและคนบังคับรถม้าของจวนเพ่ยหยางโหวคนไหนตายดีบ้าง? แล้วทุกครั้งที่จัดการหลิวซื่อ มีครั้งไหนไม่โหดร้ายบ้าง?
ถาวจือยอมรับทุกอย่าง และถาวจวินหลันก็รับฟังด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ พลางปอกเปลือกเม็ดบัว แต่ถึงดูเหม่อลอย แต่ความจริงแล้วถาวจวินหลันกำลังตั้งใจฟัง ไม่หลุดไปแม้เพียงคำเดียว
ไม่ฟังยังดีกว่า พอได้ยินถาวจวินหลันก็ยิ่งอยากยิ้มเย็น เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตวนชินอ๋อง ไม่มีครั้งไหนเลยที่ถาวจือไม่เกี่ยวข้อง! ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหงฉวี หรือเจียงอวี้เหลียนแย่งความโปรดปราน หรือบางเรื่องของหลิวซื่อ ถาวจือเข้าไปเสี้ยมทั้งนั้น อีกทั้งยังร่วมมือเต็มที่เสียด้วย!
“ที่จริงแล้ว ครั้งที่หลิ่วฮูหยินมาหาเรื่องพระชายาองค์รัชทายาทถึงเรือน เป็นเจียงเหลียงตี้วางแผนเองเพคะ“ ถาวจือพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ แอบมองพิจารณาท่าทีของถาวจวินหลัน กลัวว่าพอยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดแล้วถาวจวินหลันจะโกรธจนอยากกำจัดนาง อย่างไรนี่ก็ถือเป็นเรื่องขายหน้าอับอายน้อยครั้งของถาวจวินหลัน ย่อมต้องไม่ยอมให้คนยกขึ้นมาพูด
โดยเฉพาะเรื่องที่ถูกหลิ่วฮูหยินตบหน้า
แต่เดิมถาวจวินหลันไม่ได้เป็นอะไร แต่พอถูกถาวจือมอง นางก็หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนนั้นได้ พอนึกได้แล้วก็โกรธยิ่ง แต่เรื่องในอดีตก็คืออดีต นางจึงข่มความโกรธลงไปอย่างรวดเร็ว
อดหัวเราะท่าทีของถาวจือไม่ได้
ถาวจือเห็นรอยยิ้มของถาวจวินหลันก็ตัวสั่นเบาๆ คิดว่าถาวจวินหลันไม่อยากฟังเรื่องนี้ จึงรีบหุบปากทันที
ถาวจวินหลันกลับพูดสบายๆ “เช่นนั้นใครตลบหลังจวงผิน เจ้ารู้หรือไม่?”
ถาวจืออยากส่ายหน้าพูดว่าไม่รู้ แต่เพราะสัมผัสได้ถึงแววตาคล้ายเข้าใจเรื่องทุกอย่างของถาวจวินหลัน ก็ต้องรีบเปลี่ยนความคิดทันที พูดออกมาอย่างขมขื่น “ที่จริงเจียงเหลียงตี้มาหาหวังฮูหยินเพคะ พวกนางร่วมมือกัน”
ได้ยินถึงตรงนี้ ถาวจวินหลันก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างแจ่มแจ้ง จึงหัวเราะเสียงเย็น จนถาวจือตกใจสะดุ้ง
ถาวจวินหลันกลอกตามองถาวจือทีหนึ่ง เอ่ยเรียบๆ “พูดต่อไป” นางอดคิดไม่ได้ ตอนนั้นพวกเขาเคยลองเดากันมาก่อน เรื่องนี้จะต้องมีคนในวังหลวงเข้ามาเอี่ยวด้วยเป็นแน่ แต่หลังจากนั้นฮ่องเต้สืบไม่พบ สุดท้ายเรื่องก็จบไปตามนั้น นางก็ทำได้แค่ปล่อยไป
หวังฮูหยินกับกู้ซีไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ไม่แปลกที่คนอื่นจะไม่สงสัย ส่วนเจียงอวี้เหลียนเข้าไปมีส่วนด้วยนั้น ก็ยิ่งเข้าใจได้ง่าย เจียงอวี้เหลียนใจกล้า ตนเองไม่อย่างให้กู้ซีเข้าจวนมา ทั้งยังฉวยโอกาสโยนความผิดมาให้นาง นั่นยิ่งเป็นสิ่งที่เจียงอวี้เหลียนนิยมชื่นชอบ
อย่างไรตอนนั้นก็มีคนสงสัยนางหลายคน แม้แต่ไทเฮาก็เช่นกัน ในสถานการณ์เช่นนั้นไม่ว่าตระกูลกู้หรือไทเฮา แม้แต่ทางด้านฮองเฮา ก็ไม่อยากให้นางเป็นพระชายาตวนชินอ๋องเพราะเหตุนี้
หลิวซื่อตายไป นางก็ถูกตลบหลังเช่นนี้ไปรอบหนึ่ง เช่นนั้นคนในจวนที่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งเป็นพระชายาตวนชินอ๋องมากสุด ก็มีเพียงเจียงอวี้เหลียนเท่านั้น
ครั้งนี้เจียงอวี้เหลียนตลบหลังได้อย่างชาญฉลาด แต่น่าเสียดายที่คนลิขิตไม่สู้ฟ้าลิขิต สุดท้ายเรื่องนี้ก็ไม่สำเร็จ
ด้วยเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ นางจึงไม่ค่อยได้ฟังเรื่องที่ถาวจือพูดต่อจากนั้น แต่ยังดีที่เป็นเรื่องไม่สำคัญเท่าไรแล้ว อีกอย่าง ตอนนั้นถาวจือก็ไม่กล้าทำตัวล้ำเส้นเกินไป
พอถาวจือยอมรับผิดทุกอย่างจนหมดแล้ว ย่อมต้องหวาดกลัวจนสงบใจไม่ได้ แม้แต่ความกล้าจะมองสีหน้าท่าทางของถาวจวินหลันก็ยังไม่มี
ถาวจวินหลันย่อมไม่ปล่อยถาวจือไปง่ายๆ เช่นนี้ สุดท้ายก่อนลงโทษ นางก็แกล้งให้ถาวจือตกใจกลัวเล่นๆ ไม่พูดอะไรออกมา แต่บอกให้ถาวจือกลับไป
ถาวจือจากไปอย่างหวาดระแวง แต่ก็ไม่กล้าถามถาวจวินหลัน พอถาวจวินหลันเห็นท่าทางตกใจน่าสงสารของถาวจือ ก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย นางรู้ว่าถาวจือเข้าไปยุ่งหลายเรื่อง แต่นางคิดไม่ถึงว่าถาวจือจะเหิมเกริมได้มากเช่นนี้ มีบางเรื่องที่เดาได้ แต่ก็ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ไม่เคยสะกิดใจเลย
คิดไม่ถึงว่าจวนตวนชินอ๋องที่นางคิดว่าถือไว้ในมือ แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น เรื่องมืดมนหลายอย่างก็ยังคงเกิดขึ้นในบริเวณที่นางมองไม่เห็นเหมือนเดิม
นางรู้สึกล้มเหลวอยู่ลึกๆ แต่ก็รู้ว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ ต่อให้นางควบคุมได้ดี ก็ไม่อาจดูแลครอบคลุมได้ทุกสิ่งอย่าง ดังนั้นหลังจากอารมณ์ดิ่งไปพักหนึ่ง นางก็ค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา
พอนึกถึงฮองเฮา หวังฮูหยิน และถาวจือ ทั้งสามคน ถาวจวินหลันก็หัวเราะเสียงเย็น “ให้พวกนางรอดูก็แล้วกัน” ต้องมีสักวันที่บัญชีเหล่านี้จะถูกชำระอย่างหมดจด
หงหลัวได้ยินชัดเจน พอเห็นประกายเย็นเยียบในดวงตาของถาวจวินหลัน ก็เรียกเสียงเบา “พระชายาองค์รัชทายาทเพคะ?”
ถาวจวินหลันได้สติกลับมา รีบออกคำสั่งหงหลัว “ตั้งแต่วันนี้ไป ให้ถาวจือปิดประตูสำนึกตนอยู่ในห้อง ห้ามให้ออกจากห้องแม้เพียงครึ่งก้าว! อีกอย่างให้คนไปกระจายข่าวทางด้านฮองเฮา ให้ฮองเฮารู้เรื่องที่หวังฮูหยินมาหาข้าและเรื่องที่ข้าลงโทษถาวจือวันนี้”
หงหลัวรับใช้ถาวจวินหลันมานานหลายปี ได้ยินแบบนี้ก็พอเข้าใจความคิดของถาวจวินหลัน รีบไปจัดการโดยไม่ได้ถามอะไรอีก
ถาวจวินหลันเริ่มปอกเปลือกเม็ดบัวอีกครั้ง พอใกล้เต็มถ้วยเครื่องเคลือบขาวแล้ว นางถึงค่อยๆ ลุกขึ้น เดินตรงไปที่ห้องครัวเล็ก นางคิดจะลงมือทำของว่างให้หลี่เย่ชิมด้วยตนเอง
ตอนนี้ใกล้ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เป็นช่วงกินเม็ดบัวสดใหม่พอดี
ตอนบ่ายหลี่เย่กลับมา เม็ดบัวทอดก็เสร็จพอดี ด้านนอกของเม็ดบัวทอดเหมือนกับฝักบัว แม้แต่สีก็เหมือนกันมาก แต่เมื่อกัดเข้าไปคำหนึ่งแล้วจะรู้ว่าไม่ใช่ ด้านนอกกรอบอร่อย เม็ดบัวอ่อนภายในห่อด้วยน้ำตาล ทั้งสดใหม่หอมกรุ่น รสชาติสองอย่างผสานเข้าด้วยกัน อร่อยจนหยุดทานไม่ได้
พอทานเม็ดบัวทอดกรอบหมดแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้เล่าเรื่องวันนี้ให้หลี่เย่ฟัง หลี่เย่ไม่มีอย่างอื่นจะพูด แค่บอกว่า “เจ้าจัดการเองเถิด”
ถาวจวินหลันกลอกตามองเขา “ข้าคิดแล้วว่าท่านต้องให้ข้าจัดการ” ออดอ้อนก็แล้วไป แต่นางรู้ดีแก่ใจ ถ้าหลี่เย่ไม่ไว้ใจนางก็คงไม่ทำเช่นนี้
ยังมีเวลาก่อนถึงอาหารเย็น ถาวจวินหลันคิดว่าช่วงนี้หลี่เย่มักจะอ่านฎีกาเขียนหนังสืออยู่ทั้งวัน จึงเสนอขึ้นมาว่า “ยกพู่กันเขียนหนังสือทั้งวันไหล่แข็งพอดีเพคะ ตอนนี้ข้ายังไม่มีเรื่องต้องทำ ข้านวดให้ดีหรือไม่?”
หลี่เย่ไม่ปฏิเสธเรื่องดีเช่นนี้อยู่แล้ว เห็นด้วยอย่างยินดี แล้วยังให้ความร่วมมือด้วยการนั่งตัวตรงผ่อนคลายบ่าไหล่เตรียมตัวเสพสุข
ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่เป็นแบบบนี้ก็หัวเราะ แต่ไม่ได้จับไปมั่วซั่ว ออกแรงช่วยบีบนวดบ่าให้หลี่เย่ เป็นไปตามคาด บ่าขวาของเขาแข็งเกร็งอย่างเห็นได้ชัด
นางขมวดคิ้วตำหนิหลี่เย่ “เหนื่อยก็ต้องให้คนมานวดให้นะเพคะ เป็นเช่นนี้ต่อไป แก่ตัวลงจะทำเช่นไร?”
หลี่เย่หัวเราะพลางถอนหายใจ “ไฉนจะมีเวลามาสนใจ” ถึงฮ่องจะถืออำนาจอยู่ในมือ แต่ก็ไม่ทุ่มเท เรื่องในราชสำนักทั้งหมด ก็ยกให้เขาทำแทน แต่เพราะในมือไม่มีอำนาจที่แท้จริง ไม่สามารถตัดสินใจได้ และไม่รู้ว่ามีเรื่องจุกจิกสลับซับซ้อนอีกมากมายเพียงใด แต่แค่เท่านี้เขาเองก็จนปัญญาเช่นเดียวกัน
“เช่นนั้นพอท่านกลับมา หม่อมฉันนวดให้ทุกวันแล้วกันเพคะ” ถาวจวินหลันรู้สึกสงสาร จึงพูดเช่นนี้ออกมา
ริมฝีปากของหลี่เย่กระตุกขึ้น ตอบรับในทันใด “ดี“ คิดได้ว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้จะมาถึงแล้ว จึงถามถึงเรื่องเทศกาลไหว้พระจันทร์
ถาวจวินหลันออกแรงช่วยนวดบ่าให้หลี่เย่ ตอบออกมาอย่างหอบน้อยๆ ว่า “ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เหมือนทุกๆ ปีก่อนหน้านี้ แต่พูดไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันเข้าร่วมงานสมโภชเทศกาลไหว้พระจันทร์ในวังหลวง ได้ยินว่าถึงเวลานั้นเส้นทางหลักทุกสายจะประดับด้วยโคมไฟแขวน ต้องใช้โคมไฟมากเท่าไรกัน? จะทำทันหรือเพคะ?”
หลี่เย่ไม่อยากให้ถาวจวินหลันเหนื่อยมาก จึงดึงนางลงมานั่งข้างๆ หัวเราะตอบว่า “เรื่องใหญ่ที่ไหนกัน? เพียงแค่เอาโคมไฟจากเทศกาลโคมไฟมาตบตาคนในวังเท่านั้นเอง ตอนเทศกาลโคมไฟก็แขวนโคมไฟเหมือนกันมิใช่หรือ? รอจนถึงตอนนั้นใช้เสร็จแล้วก็เอาไปเก็บ คัดเอาของพังที่เก่าแล้วออกมา ตอนสิ้นปีก็ค่อยเสริมให้เต็มจำนวนแล้วนำออกมาใช้อีก หากทำใหม่ทุกครั้ง ไฉนจะทำทัน? อีกทั้งไม่ได้มีเงินให้ฟุ่มเฟือยนัก”
ถาวจวินหลันคิดตามแล้วก็เห็นจริงตามนั้น จึงอดหัวเราะกับความคิดเลอะเทอะของตนไม่ได้
กลับเป็นหลี่เย่ที่เอ่ยเตือน “หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ เรื่องตระกูลถาวคงน้ำลดตอผุดบ้างแล้ว รอเรื่องทางนี้จบลง ทางด้านอู่อ๋องก็คงมาถึงเมืองหลวงพอดี”