ตอนที่ได้พบอู่อ๋อง ถาวจวินหลันก็ลอบมองพิจารณาอู่อ๋องตั้งแต่หัวจรดเท้าเงียบๆ
จะต้องบอกว่าอู่อ๋องที่สวมเกราะทอง ถือโซ่ทองนั้นแลดูทรงอำนาจไม่น้อย อู่อ๋องเดินก้าวยาวมาถึงเบื้องหน้าหลี่เย่แล้วทำความเคารพ ปากพูดแค่ว่า “พี่รอง!”
พูดตามจริงแล้วถาวจวินหลันมองไม่ออกจริงๆ ว่าอู่อ๋องเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บ ตามหลักการแล้วบาดแผลของอู่อ๋องไม่น่าจะหายดีเร็วขนาดนี้ นอกจากว่าอู่อ๋องจะฝืนตนเองหรือว่าโกหกเรื่องได้รับบาดเจ็บ
ส่วนที่อู่อ๋องเรียกหลี่เย่ว่าพี่รองนั้น ก็ให้ถาวจวินหลันอดหรี่ตาลงไม่ได้ จากนั้นในใจก็คาดเดาความคิดของอู่อ๋อง จริงๆ แล้วอู่อ๋องต้องการตีสนิทให้มากขึ้น หรือคิดว่าหลี่เย่ไม่เหมาะจะเป็นองค์รัชทายาทกันแน่?
ตอนที่ถาวจวินหลันเหม่อนั่นเอง หลี่เย่ก็ประคองอู่อ๋องให้ลุกขึ้นมา “ลำบากเจ้าแล้ว! ช่วงที่เจ้าไปออกรบ พี่ชายอย่างข้าเป็นห่วงเจ้านัก ยังดีที่สุดท้ายเจ้าได้รับชัยชนะกลับมา! ไป วันนี้พี่จะทำพิธีปัดเป่าต้อนรับกลับมาให้เจ้า!”
หลี่เย่มีน้ำเสียงจริงใจ ไม่มีความลวงหลอกปั้นแต่งเลยแม้แต่น้อย แต่พอฟังดีๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลี่เย่ก็ดี หรืออู่อ๋องก็ดี ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดป็นเพียงสิงที่เห็นจากภายนอก ไม่ได้ส่องประกายออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาเพียงแสดงละครให้ดูเท่านั้นเอง
ตอนที่หลี่เย่กับอู่อ๋องกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ถาวจวินหลันก็สังเกตเห็นคนคนหนึ่งแต่งกายในชุดทหาร คิดว่าคงเป็นหวังฮ่วนจื้อแล้วแน่ ก็หัวเราะน้อยๆ “นี่คงจะเป็นแม่ทัพหวังกระมัง”
หลี่เย่ก็ฉวยโอกาสตอนนี้ตีตัวออกห่างจากอู่อ๋อง ยิ้มพลางก้าวขึ้นมาทักทายกับหวังฮ่วนจื้ออย่างเป็นมิตร แสดงความอบอุ่นและเป็นมิตรของเขาออกมาอย่างไม่กักเก็บ
หลังจากดื่มเหล้าแก้วน้อยแสดงความยินดีกับทหารทั้งสามแล้ว กลุ่มคนเหล่านั้นก็พากันกลับวังหลวง
ถาวจวินหลันนั่งรถคันเดียวกับหลี่เย่ รถล้อหมุนขององค์รัชทายาทย่อมหรูหราและใหญ่โตกว้างขวาง แม้แต่นอนอยู่ในนั้นก็ไม่มีปัญหา ส่วนอู่อ๋องนั่งคันเดียวกับหวังฮ่วนจื้อ
ถาวจวินหลันถามหลี่เย่เสียงเบา “หวังฮ่วนจื้อคนนั้น เกรงว่าคงไม่ใช่คนดีเพคะ ตอนที่เขามองท่านเห็นชัดว่าไม่ยอมอ่อข้อให้ ท่านต้องจับตาดูเขาให้มากนะเพคะ”
หลี่เย่หัวเราะ “อืม ข้าพอรู้”
ในเมื่อหลี่เย่รู้อยู่แล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่พูดอะไรมากอีก เพียงแค่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของอู่อ๋องขึ้นมา “หลังจากได้ออกไปข้างนอก ก็ดูแปลกไปจากเดิมมากเพคะ หม่อมฉันดูแล้วเห็นว่าทรงอำนาจกว่าจวงอ๋องเสียหน่อย อีกทั้งยังดูมีไหวพริบขึ้นไม่น้อยเพคะ”
“ไม่อย่างนั้นเขาจะพูดกันได้อย่างไรว่าในกองทัพเป็นสถานที่ลับคมคนมากที่สุด?” หลี่เย่พูดเสียงแผ่ว นวดหว่างคิ้วเบาๆ เหมือนว่าเหนื่อยล้าแล้ว พลางหลับตาลงพักผ่อน แต่ปากก็ยังพูดต่อไป “อีกครู่หนึ่งเจ้ากลับไปก่อนเถิด ไม่ว่าอย่างไรเจ้าไปงานเลี้ยงก็ได้แต่นั่งนิ่ง ไม่มีอะไรน่าสนใจ”
แน่นอนว่าเหตุผลหลักก็เพราะหลี่เย่เป็นห่วงถาวจวินหลัน
ถาวจวินหลันก็ไม่คิดจะอยู่นาน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็เห็นด้วย
เมื่อกลับมาถึงวังหลวง งานเลี้ยงในวังก็ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว วันนี้ถาวจวินหลันกับหลี่เย่เป็นตัวแทนของฮ่องเต้และฮองเฮา ย่อมต้องนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน อู่อ๋องนั่งรองลงมา หวังฮ่วนจื้อรองลงอีกขั้นหนึ่ง และอีกข้างก็เป็นจวงอ๋องและองค์ชายเจ็ด
บาดแผลขององค์ชายเจ็ดเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แม้ยังขยับขาและเท้าไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ก็เดินได้แล้ว วันนี้เขาจึงมาด้วย
ก่อนหน้านี้พระชายาอู่อ๋องไม่ได้ติดตามไปรับขบวนทหารด้วย ดังนั้นพอได้พบอู่อ๋องก็รีบแสดงละครแสดงท่าทีรักใคร่ให้ทุกคนเห็น
หลี่เย่เอนกายมาใกล้ถาวจวินหลันมากขึ้น สีหน้าท่าทางไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ริมฝีปากนั้นขยับเล็กน้อย “ที่จริงอู่อ๋องหาสาวงามไว้ที่นั่นหลายคน ตอนที่เขาบาดเจ็บ ก็ได้ผู้หญิงเหล่านั้นคอยดูแล”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น ก็เลิกคิ้วตกใจ ไม่ใช่เพราะแปลกใจมากเท่าไร อู่อ๋องจากไปหลายเดือน ข้างกายจะไม่มีสตรีเลยก็ดูแปลก แต่พอรู้เรื่องนี้แล้ว ยังได้เห็นท่าทาง ‘ความรักใคร่ลึกซึ้ง’ ของอู่อ๋องกับพระชายาอู่อ๋อง นางก็อยากหัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล
องค์ชายเจ็ดกลับหลุดหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ แกล้งจงใจพูดเย้าแหย่ “พี่ชายกับพี่สะใภ้จะพูดคุยกันตามประสาคนรักก็ควรกลับไปพูดที่เรือนนะพ่ะย่ะค่ะ จงใจมาอวดต่อหน้าน้องชายเช่นนี้ อยากให้น้องชายอิจฉาหรืออย่างไร?”
องค์ชายเจ็ดขัดขึ้นมาเช่นนี้ แต่เดิมที่ ‘แสดงความรักใคร่ลึกซึ้ง’ อยู่ก็กลายเป็นกระอักกระอวนแทน อู่อ๋องถลึงตามององค์ชายเจ็ดทีหนึ่งอย่างไม่ค่อยพอใจ “เจ้าเจ็ดก็ควรไปสู่ขอใครได้แล้ว กลับไปพี่จะช่วยเจ้าหา เจ้าชอบสตรีแบบไหน ขอแค่บอกพี่มา อย่าน้อยใจไปเลย”
องค์ชายเจ็ดไม่กลัว แต่กลับหัวเราะรับคำ แล้วยังหันไปขอบคุณอู่อ๋อง “น้องก็คิดเช่นนั้นขอรับ ต้องขอบพระทัยเสด็จพี่แล้ว”
อู่อ๋องชะงักไปทันที ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ถึงจะผ่อนคลายลงมาได้
หลี่เย่ดูเหมือนจะจงใจร่วมมือกับองค์ชายเจ็ด หัวเราะพูดว่า ”เจ้าเจ็ด ข้าได้ยินว่าอู่อ๋องมีสตรีสวยๆ อยู่ด้านนอกมากมาย เจ้าก็ลองไปเลือกเอาสักคนสิ”
องค์ชายเจ็ดดวงตาเป็นประกาย มองไปยังอู่อ๋องตาละห้อย “เสด็จพี่อย่าซ่อนไว้เองนะพ่ะย่ะค่ะ!”
สีหน้าพระชายาอู่อ๋องเปลี่ยนไปในทันใด
สรุปก็คืองานเลี้ยงในวังดีๆ มื้อหนึ่งสุดท้ายบรรยากาศก็ไม่ได้ดีนัก ยังไม่ทันให้ถาวจวินหลันได้หาข้ออ้างปลีกตัวไปก่อน อู่อ๋องก็ลุกขึ้นมา “ข้าเหนื่อยแล้ว อยากจะขอตัวไปก่อน ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทจะอนุญาตหรือไม่”
อู่อ๋องเอ่ยขอตัวแล้ว หวังฮ่วนจื้อย่อมต้องขอตัวทูลลาเช่นเดียวกัน
หลี่เย่ยิ้มแย้มเอ่ยรับคำ จากนั้นก็มองไปทางจวงอ๋องและองค์ชายเจ็ด “ข้าก็เริ่มเหนื่อยแล้ว ว่าจะขอตัวไปก่อน พวกเจ้าทั้งสองคนเล่า?”
องค์ชายเจ็ดชิงพูดขึ้นมาก่อน “ข้าไปกับพี่รอง พี่รองจะต้องไปส่งข้าสักรอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จวงอ๋องยังพูดอะไรได้อีก? ย่อมไม่อาจพูดอะไรได้ ได้แต่พาพระชายาจวงอ๋องกลับไปช้าๆ
องค์ชายเจ็ดหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ แอบแลบลิ้นปลิ้นตาใส่แผ่นหลังของจวงอ๋อง
ถาวจวินหลันเห็นอย่างชัดเจน พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ พูดเตือนว่า “เจ้าเป็นเช่นนี้ไม่กลัวสู่ขอไม่ได้หรืออย่างไร!”
องค์ชายเจ็ดตัวแข็งทื่อ ส่ายหัวเบาๆ “แต่งงานมีอะไรดีพ่ะย่ะค่ะ? ข้าไม่เห็นอยากแต่งงานสักนิด” ท่าทีดูจริงจังไม่น้อย
ถาวจวินหลันหัวเราะแต่ไม่พูดอะไร และไม่เตือนว่าเขาตัดสินใจเรื่องนี้เองไม่ได้ ความจริงแล้วอี้กุ้ยเฟยได้เลือกคู่ครองเอาไว้แล้ว แต่…พอเห็นนางกำนัลข้างกายองค์ชายเจ็ดคนนั้น นางก็ต้องลอบถอนหายใจ แล้วเบือนสายตาหนี
ที่จริงองค์ชายเจ็ดรู้จักการเสพสุขในชีวิตเป็นอย่างดี โชคชะตาก็ค่อนข้างดี ได้นางกำนัลจงรักภักดีซื่อสัตย์ขนาดนี้ แต่ไม่รู้ว่านางกำนัลคนนั้นมีความรู้สึกเช่นนี้เป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่
แต่เรื่องเหล่านี้นางไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้ ดังนั้นนางจึงทำได้แต่ทอดถอนรำพึงรำพันอยู่ในใจเท่านั้น
ระหว่างทางกลับวังตวนเปิ่น หลี่เย่หลับตาแอบงีบอยู่ครู่หนึ่ง พอจะลงจากเกี้ยวจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมาพูดกับถาวจวินหลันว่า “ละครใกล้เริ่มแล้ว หลังจากนี้คิดว่าฮองเฮาต้องตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับจวงอ๋องแน่”
ถาวจวินหลันครุ่นคิดท่าทีของฮองเฮาตอนที่รู้เรื่องนี้ ก็ต้องพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนหน้านี้นางยังคิดว่าทำไมฮองเฮาถึงไม่ลงมือกับจวงอ๋องสักที ตอนนี้ถึงได้เข้าใจ ฮองเฮากำลังรอจังหวะอยู่นั่นเอง
คิดว่าตอนนี้จวงอ๋องคงรู้สึกไม่พอใจมาก ข้างบนมีหลี่เย่คอยข่ม ด้านหลังก็ยังมีอู่อ๋องไล่บี้ รู้ได้เลยว่าคนที่ถูกบีบอยู่ตรงกลางอย่างเขารู้สึกอย่างไร
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหลี่เย่เป็นถึงองค์รัชทายาท และอู่อ๋องก็สร้างผลงานครั้งใหญ่ มีเพียงเขาคนเดียวที่ดูไม่โดดเด่นหรือน่าชื่นชมเลย อีกทั้งก่อนหน้านี้อู่อ๋องก็เป็นแค่ลูกไล่ของเขา ลู่ลมตามเขาไปตลอด แต่ตอนนี้เล่า? ท่าทีของอู่อ๋องวันนี้ได้อธิบายคำถามทุกอย่างหมดแล้ว
สิ่งที่น่าหงุดหงิดมากที่สุดคืออู่อ๋องร่วมมือกับฮองเฮาแล้ว
ถาวจวินหลันคิดถึงพลทหารแสนนายที่ตระกูลหวังถือครอง และคิดถึงสิ่งที่หวังฮูหยินพูด ตอนนี้อู่อ๋องกลับเมืองหลวงมาแล้ว เรื่องนี้ย่อมต้องได้ข้อสรุปแล้ว
ถึงเวลาใครพูดจริง ใครโกหก มองเพียงปราดเดียวก็รู้
แต่นางรับประกันได้ว่า พลทหารแสนนายจะต้องตกอยู่ในมือของหลี่เย่
เป็นไปตามที่ถาวจวินหลันกับหลี่เย่คาดการณ์ไว้ วันรุ่งขึ้นพระชายาอู่อ๋องก็ส่งเทียบเชิญขอเข้ามาทำความเคารพฮองเฮาในวังหลวง
ถาวจวินหลันไม่อาจไปขวางเรื่องนี้ได้ ดังนั้นพระชายาอู่อ๋องจึงตรงไปพบฮองเฮา ช่วงนี้ฮองเฮาสงบลงไม่น้อย ไม่ได้มีท่าอะไรมาตลอด แทบจะใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ อย่างสงบสุขเรียบง่าย
จุดประสงค์ที่พระชายาอู่อ๋องเข้าเฝ้าฮองเฮาคืออะไร ถาวจวินหลันย่อมรู้ดีแก่ใจ
หากไม่ใช่เพราะกำลังตั้งครรภ์ นางก็อยากจะเข้าไปร่วมเหตุการณ์วุ่นวายนี้เช่นเดียวกัน แต่จะได้เข้าไปยุ่งหรือไม่ก็ไม่สำคัญ นางเรียกชุนฮุ่ยเข้ามา “เจ้าไปส่งของให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงเถิด ส้มโอที่เพิ่งส่งมาใหม่กำลังดี เจ้าเอาไปให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงกระบุงหนึ่ง แล้วถือโอกาสให้พระชายาอู่อ๋องเอากลับไปชิมด้วย”
ผ่านไปไม่นานชุนฮุ่ยก็ตรงไปที่วังของฮองเฮา ส่วนถาวจวินหลันพาเด็กทั้งสองคนไปทำความเคารพไทเฮา
เมื่อเข้ามาในห้องภายในวังหย่งโซ่ว ถาวจวินหลันก็สัมผัสได้ถึงลมร้อนที่พุ่งเข้ามา แม้ไม่นับว่าหนาวมาก แต่ในวังหย่งโซ่วก็เริ่มวางเตาไฟกันแล้ว แน่นอนว่าเป็นเพราะไทเฮา
ถาวจวินหลันเห็นว่าไทเฮาผ่ายผอมลงเรื่อยๆ ก็ต้องลอบถอนหายใจ แต่เดิมไทเฮากำลังพักสายตา พอได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวถึงได้ลืมตาขึ้นมา ตอนนี้ดวงตาของไทเฮาดูไม่เป็นประกายชัดเจนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทว่าเริ่มขุ่นหมอง
ภายในห้องยังมีกลิ่นยาตลบอบอวล ไทเฮาเห็นซวนเอ๋อร์กับหมิงจู ก็ให้คนพาพวกเขาสองพี่น้องออกไปก่อน ถึงตำหนิถาวจวินหลัน “ทำไมถึงมาอีก?”
“หม่อมฉันว่างจึงอยากมาหาไทเฮา ทั้งยังได้ถือโอกาสพาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูมาหาเซิ่นเอ๋อร์ด้วยเพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มแย้ม ตั้งใจไม่พูดเรื่องมาทำความเคารพไทเฮา แต่ใช้เพียงเหตุผลอื่นแทน
ไทเฮายิ้ม “เหตุใดยังต้องหาข้ออ้างอีก? เจ้าทำเพื่ออะไร ใจของข้านั้นรู้ดี แต่เจ้ามาก็ดีแล้ว ที่จริงข้ามีเรื่องอยากปรึกษาเจ้า”
ถาวจวินหลันนิ่งไป รู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย นานแล้วที่ไทเฮาไม่ได้พูดคุยกับนางเช่นนี้ บ่อยครั้งที่นางมา ไทเฮามีท่าทีไม่ค่อยดีนัก พูดคุยแค่สองสามประโยค ถามเรื่องเด็กๆ แล้วก็ปล่อยนางกลับไป
สิ่งที่ไทเฮาพูดบ่อยกว่าก็คือไม่ต้องให้นางมาอีก วันนี้จู่ๆ ไทเฮาพูดเช่นนี้ ย่อมทำให้ถาวจวินหลันอดแปลกใจไม่ได้
แต่นางก็ยังยิ้มแย้มตอบกลับไป “ไทเฮาตรัสมาเถิดเพคะ ขอเพียงหม่อมฉันทำได้ ย่อมพยายามจนถึงที่สุดเป็นแน่”