หงหลัวเหมือนยังไม่ได้สติ พอได้สติกลับมาแล้วก็หน้าซีดเผือด รีบคุกเข่าลงไป “บ่าวยอมอยู่ปรนนิบัติท่านไปทั้งชีวิต ไม่แต่งงานออกไปแน่เพคะ”
ถาวจวินหลันได้ยินก็ขบขัน ประคองหงหลัวลุกขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี แต่วังหลวงเป็นสถานที่ดีเสียเมื่อไร? อีกอย่างปรนนิบัติรับใช้คนไปทั้งชีวิตดีตรงไหนกัน?”
หงหลัวยังคงดื้อรั้นไม่ยอมลุกขึ้นมา “บ่าวไม่ออกจากวังเพคะ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนอื่นพูดถึงเจ้าอย่างไร?” ถาวจวินหลันถอนหายใจ ก่อนชักมือกลับมา “พวกนางพูดกันว่าเจ้าชอบองค์รัชทายาท ก็เลยไม่สนใจมองคนอื่น คิดว่าต้องเข้าตาองค์รัชทายาทสักวัน”
นางหลุบตามองกระหม่อมของหงหลัว มองดูผมสีดำเงางามก็นึกเสียดาย แม้ว่าหงหลัวไม่ได้เป็นหญิงหน้าตางดงาม แต่ก็ถือว่าเป็นสตรีบริสุทธิ์และสง่างาม ต้องแต่งงานออกไปในตระกูลดีได้แน่ แต่ดันมาติดแหง็กอยู่แต่ในวังเช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก
เหมือนกับจางหมัวหมัว ตอนนี้ไทเฮาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว จางหมัวหมัวก็เหมือนโดนสูบเรี่ยวแรงไปเช่นเดียวกัน แก่ชราและโทรมลงไปมาก แต่ตอนนี้นอกจากตั้งใจรำลึกถึงไทเฮาแล้ว คนอื่นไฉนเลยจะยังใส่ใจจางหมัวหมัวเล่า?
บางทีตัวจางหมัวหมัวเองอาจจะไม่คิดว่าน่าเวทนา แต่คนอื่นไม่ได้คิดแบบเดียวกัน นางเองก็คิดแบบนั้น
หงหลัวจากซีดเผือดเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ ตวงตามอดไหม้เป็นประกายไฟ กัดฟันพูด “บ่าวไม่ทราบว่าคนสกปรกแมลงเจาะลิ้นตนไหนพูดเช่นนี้ แต่หม่อมฉันกล้าสาบานต่อสวรรค์ ว่าไม่เคยคิดเลยเถิดกับองค์รัชทายาทเพคะ! ทั้งยังไม่กล้าแม้แต่คาดหวัง! บ่าวอยากปรนนิบัติรับใช้เพียงพระชายาเท่านั้นเพคะ!”
ถาวจวินหลันยื่นมือไปประคองนางขึ้นมา ถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร แต่คำพูดคนนั้นน่ากลัว เกรงว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปชื่อเสียงของเจ้าจะเสียหาย หลังจากนี้คงออกเรือนลำบากแล้ว” หงหลัวรับใช้นางมานานหลายปี ตอนนี้ก็เริ่มอายุเยอะขึ้นแล้ว หากนางไม่ปล่อยออกไป หงหลัวก็ต้องเสียเวลาชีวิตไปทั้งชาติ แม้ว่านางตัดใจไม่ลง แต่ก็จำใจถามออกไป
หงหลัวส่ายหน้า พูดอย่างหัวเด็ดตีนขาด “บ่าวขอรับใช้พระชายาไปทั้งชีวิตเพคะ! เรื่องอื่นบ่าวไม่ต้องการ! พวกเขาอยากติฉินนินทาก็ปล่อยไปเถิดเพคะ”
“ทำไมเจ้าไม่ยอมออกจากวัง?” ถาวจวินหลันถามอย่างนึกสงสัย
หงหลัวหัวเราะขมขื่น “ที่บอกว่าผัวเมียยากจนต่ำต้อยทุกข์ระกำสารพัน บ่าวก็เป็นเช่นนั้น คาดหวังสูงไปก็เงยหน้าไม่ขึ้น แต่ถ้าออกเรือนไปต่ำต้อย บ่าวก็ไม่ยินดี แต่งงานกับคนธรรมดา ฟืนข้าวน้ำมันเหลือเหมือนจะมากพอให้ใช้ แต่ไฉนเลยจะดีเช่นนั้นเพคะ? ถึงเวลานั้นจะกินก็ทุกข์จะสวมใส่ก็ทุกข์ มีลูกก็ยิ่งทุกข์ คนที่มีครอบครัวใหญ่ก็ไม่รู้ว่าจะรวมกันอย่างไร หม่อมฉันอยู่ในวังดีๆ เหตุใดต้องออกไปทรมานด้วย? อีกอย่างบุรุษที่พอจะเรียกว่าดีได้ ส่วนมากก็มีอนุภรรยามากมาย ทำไมบ่าวต้องไปทุ่มใจให้บุรุษเช่นนี้ด้วยเพคะ? ไม่สู้อยู่ข้างกายพระชายายังมีความหมายมากกว่าอีกเพคะ”
ถาวจวินหลันตะลึงไปเล็กน้อย นางคิดว่าสตรีทุกคนต้องอยากแต่งงานมีลูก อย่างไรบ้านที่ดีที่สุดของสตรีก็คือแต่งงานกับสามีที่ดี แล้วคลอดลูกชายที่ออกหน้าออกตาได้…
แต่ตอนนี้คำพูดของหงหลัวทำลายความคิดเหล่านี้ไป แต่พอมาคิดให้ดีแล้ว ก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริง รสชาติของความจนไม่ใช่เรื่องสนุก เรื่องแบ่งสามีของตนให้คนอื่นก็ไม่สนุกเช่นกัน สู้ไม่เลือกเลยยังดีกว่า
“เจ้าลองคิดดูให้ดีเถิด” ถาวจวินหลันถอนหายใจ พูดออกมาอย่างจริงใจ สุดท้ายยังเตือนหงหลัวอีกว่า “หลังจากนี้ เจ้าอยากสั่งสอนหรือไล่คนออกไปก็ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีก อยากลากก็ลากออกไปได้เลย หรือลงโทษเปิดเผยอย่างไรก็ได้ คนพวกนั้นจะได้เลิกติฉินนินทาด้วย”
ถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ หงหลัวก็รู้ทันทีว่าทำไมตนเองถึงถูกนินทา จึงโกรธกรุ่นไม่น้อย แล้วยังรีบอธิบายด้วยกลัวว่าถาวจวินหลันจะเข้าใจผิด “ตอนนั้นบ่าวกลัวว่าพระชายาทราบแล้วจะไม่พอใจ อย่างไรตอนนั้นพระชายาก็ได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังตั้งครรภ์ ไฉนเลยจะรับเรื่องเช่นนี้ได้เพคะ?”
ดังนั้นนางถึงได้แอบไล่นางกำนัลที่คิดจะยั่วยวนหลี่เย่ออกไป แล้วยังจงใจปิดบังถาวจวินหลัน แต่คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะรู้อยู่แล้ว แล้วยังรู้มากกว่านางอีกด้วย
หงหลัวรู้สึกละอายใจเล็กน้อย ก้มหน้าไม่กล้าสบตาถาวจวินหลัน
ถาวจวินหลันแย้มยิ้ม ตบหลังมือของหงหลัวเบาๆ “เอาเถิด ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถิด”
เรื่องที่ถาวจวินหลันรับเซิ่นเอ๋อร์มาเลี้ยงย่อมไม่อาจปิดเจียงอวี้เหลียนได้ แล้วยังมีเรื่องที่จะเปลี่ยนหยกตระกูลอีก ก็ยิ่งไม่อาจปิดบังเจียงอวี้เหลียนได้อีก เจียงอวี้เหลียนจึงมาเค้นถาม
ครั้งนี้เจียงอวี้เหลียนไม่ได้ตรงเข้ามาหาเรื่องถาวจวินหลันโดยตรง แต่กลับฉวยโอกาสเข้ามาหาวันนี้ที่หลี่เย่มาทานอาหารกลางวันในวังตวนเปิ่น
พอถาวจวินหลันรู้ว่าเจียงอวี้เหลียนมาขอพบ นางก็เบนหน้าหันไปมองหลี่เย่ด้วยท่าทีคล้ายยิ้มหัวเราะ
หลี่เย่ย่อมรู้ว่าเจียงอวี้เหลียนมาด้วยเรื่องอะไร จึงขมวดคิ้วน้อยๆ พูดออกมาตรงๆ “ไม่เจอ ให้นางกลับไป”
แต่เจียงอวี้เหลียนเป็นคนไล่กลับง่ายๆ ที่ไหน ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจว่านางไม่ยอมเป็นแน่ แต่ก็ยังทานข้าวต้มผักและปลาของตนต่อไปเงียบๆ รอดูเจียงอวี้เหลียนสร้างเรื่อง
นางอุ้มเซิ่นเอ๋อร์มาเลี้ยงได้สองสามวันแล้ว แต่เจียงอวี้เหลียนเพิ่งมาวันนี้ เห็นชัดว่าตรึกตรองอยู่นาน นางไม่เชื่อว่าเจียงอวี้เหลียนคิดมานานเช่นนี้แล้วจะไม่เตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า
เป็นไปตามคาด ผ่านไปไม่นานชุนฮุ่ยก็เข้ามารายงานอีกครั้ง “เจียงเหลียงตี้คุกเข่าอยู่หน้าประตูไม่ยอมลุก บอกว่าองค์รัชทายาทกับพระชายายอมพบนางเมื่อไรถึงจะลุกเพคะ” หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็พูดเสริมอีก “เจียงเหลียงตี้คุกเข่าอยู่หน้าประตู บังทางเดินพอดีเพคะ”
วิธีของเจียงอวี้เหลียนดูเจ้าเล่ห์ แต่ก็ต้องบอกว่าได้ผลมากทีเดียว นางมาบังประตูเอาไว้เช่นนี้ จะเข้าจะออกก็ต้องเห็นนางทั้งนั้น ต่อให้หลี่เย่กับถาวจวินหลันทำตัวใจร้ายไม่สนใจ แต่คนในวังหลวงต้องกระจายข่าวนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลานั้นยิ่งคนรู้เยอะเท่าไร ถาวจวินหลันยิ่งกดดันมากเท่านั้น
ต้นไม้ต้องมีเปลือก คนต้องมีหน้า เจียงอวี้เหลียนไม่ไว้หน้าตัวเองได้ แต่นางกับหลี่เย่เสียหน้าไม่ได้ อีกทั้งหากนางยังคิดถึงเซิ่นเอ๋อร์ ย่อมไม่อาจปล่อยให้เจียงอวี้เหลียนก่อเรื่องวุ่นได้ มิเช่นนั้นจากที่นางไม่ได้แย่งลูกของอีกฝ่ายมา ก็คงจะกลายเป็นไปแย่งมาเป็นแน่แท้
ถาวจวินหลันยังนั่งกินข้าวต้มเงียบๆ แต่สายตาจับจ้องไปทางหลี่เย่ บอกกล่าวผ่านสายตา ‘เรื่องนี้ให้ท่านจัดการ’
แม้นางรับปากเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์ แต่ไม่ได้รับปากพูดกล่อมเจียงอวี้เหลียน เรื่องนี้หลี่เย่เป็นคนเสนอเอง เขาก็ต้องจัดการเอง นี่ถือเป็นคำต่อว่าและการต่อต้านเล็กๆ น้อยๆ จากใจของนาง พูดง่ายๆ คือนางจงใจผลักภาระนี้ให้หลี่เย่ ใครบอกให้หลี่ยัดเยียดเซิ่นเอ๋อร์มาให้นางกันเล่า?
หลี่เย่รับรู้ถึงความคิดของถาวจวินหลันก็จนปัญญา ได้แต่พยักหน้าให้คนพาเจียงอวี้เหลียนเข้ามา
พอเจียงอวี้เหลียนเห็นหลี่เย่ก็คุกเข่าลงทันที น้ำตาไหลอาบหน้า จากนั้นก็พูดเสียงสะอื้น “องค์รัชทายาท…”
หลี่เย่วางตะเกียบลงอย่างเหลืออด “พูดให้ดีๆ!”
เจียงอวี้เหลียนสะอึกพูดไม่ออกทันที แต่นางก็รู้ทัน หลังจากรู้ว่าหลี่เย่ไม่ชอบ ก็เก็บท่าทางสะอื้นไป ร้องไห้เงียบๆ พลางพูดฟ้อง “ขอองค์รัชทายาทตัดสินด้วยเถิดเพคะ เซิ่นเอ๋อร์…”
“มอบเซิ่นเอ๋อร์ให้พระชายาเลี้ยงเป็นความตั้งใจของไทเฮา และเป็นความตั้งใจของข้า” หลี่เย่พูดเรียบๆ สบตาเจียงอวี้เหลียนอย่างเคร่งขรึม เจียงอวี้เหลียนขลาดกลัวจนต้องหลบสายตาไปเอง
ถาวจวินหลันกลับมองนิ่งๆ เหมือนสองคนนี้ไม่มีตัวตน ควรทำอะไรก็ยังทำเช่นเดิม…ทานข้าวต้มอย่างเอื่อยเฉื่อย ท่าทางสบายใจเหมือนดูละครก็มิปาน
“แต่มารดาแท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์ยังอยู่ตรงนี้ ยังต้องการแม่เลี้ยงไป…” แม้เจียงอวี้เหลียนกลัวหลี่เย่ แต่พอนึกถึงเซิ่นเอ๋อร์ก็ฝืนเอ่ยปากพูดขึ้นมา “พระชายามีลูกสองคนแล้ว เหตุใดต้องมาแย่งเซิ่นเอ๋อร์ไปจากหม่อมฉันอีกเพคะ?”
พูดมาถึงตรงนี้ถาวจวินหลันก็ปล่อยให้เจียงอวี้เหลียนพูดมั่วไม่ได้อีก ในตอนนั้นนางวางถ้วยและตะเกียบลง พลางใช้ผ้าเช็ดริมฝีปากที่ไม่ได้เปื้อนอย่างสง่างาม ก่อนมองเจียงอวี้เหลียนนิ่ง พูดว่า “เจียงซื่อ เจ้าจะต้องเข้าใจบางเรื่อง”
เจียงอวี้เหลียนท่าทางเหม่อลอย เหมือนยังไม่ได้สติกลับมา
ถาวจวินหลันกลับพูดต่อ “ก่อนอื่นข้าไม่ได้แย่งเซิ่นเอ๋อร์มา เซิ่นเอ๋อร์จะดีอย่างไรก็ไม่ต้องให้ข้าไปแย่งชิง เหมือนที่เจ้าพูด ข้ามีลูกชายแล้ว ลูกชายของคนอื่นจะดีอย่างไรก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของข้าอยู่ดี อย่างที่สองข้าไม่ได้ยินยอมเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์แต่แรก ทว่าเป็นความตั้งใจของไทเฮาและองค์รัชทายาท เจ้าเข้าใจหรือไม่? อย่างที่สามตอนที่เจ้ากำลังต่อว่าข้า ควรคิดให้ดีก่อนว่าแท้จริงแล้วทำไมเจ้าถึงเลี้ยงลูกแท้ๆ ของตนเองไม่ได้ คิดก่อนว่าตนเองทำผิดอะไรแล้วค่อยมาโทษข้า”
แน่นอน นางไม่คิดว่าตนเองมีเรื่องให้เจียงอวี้เหลียนมาต่อว่าได้ แต่เป็นมนุษย์ต้องถ่อมตน
พอพูดจบ ถาวจวินหลันก็เบนหน้าไปสั่งชุนฮุ่ย “พรุ่งนี้อย่าทำหมั่นโถวนมอีก ข้าไม่ชอบกิน กลิ่นคาวนัก ให้เปลี่ยนเป็นรสกุหลาบแทน ข้าวต้มก็ห้ามใส่ปลา แค่ผักก็พอแล้ว”
ชุนฮุ่ยตั้งใจจำ แต่ก็ยังอดกลั้นยิ้มไม่ได้ ด้วยเพราะขบขันสีหน้าท่าทางของเจียงอวี้เหลียนที่อยู่ข้างๆ
ไม่เพียงแค่ชุนฮุ่ย แม้แต่หลี่เย่ก็อดหัวเราะไม่ได้ เกือบเกร็งหน้าขรึมรักษาอาการเอาไว้ไม่ได้
เห็นชัดว่าถาวจวินหลันจงใจบอกว่าเจียงอวี้เหลียนไม่สำคัญสำหรับนาง ข้าเคยเห็นเจ้าอยู่ในสายตาตั้งแต่เมื่อไร? เจ้าสนใจ แต่ข้าไม่สนใจแม้แต่น้อย! แค่ลูกตัวเองยังไม่มีคุณสมบัติเลี้ยงให้ดีไม่ได้ ยังกล้ามาว่าคนอื่นแย่งลูกตนเองไป? น่าขันหรือไม่?
เจียงอวี้เหลียนไม่ใช่คนโง่ โมโหครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าตนเองไม่มีทางชนะถาวจวินหลันได้ จึงตัดสินใจไม่พูดอีกแม่เพียงคำเดียว เอาแต่คุกเข่าร้องไห้บนพื้น บางครั้งก็พูดว่า “เซิ่นเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อของข้า! เขาเป็นลูกชายของข้า!”
ถาวจวินหลันไม่คิดจะพูดอะไรอีก แต่เจียงอวี้เหลียนร้องไห้น่ารำคาญ นางจึงหันไปถลึงตามองหลี่เย่แทน