บัลลังก์พญาหงส์ – ตอนที่ 686 ปัญหา

ฮ่องเต้ไม่ได้ยัดเยียดคนเข้าวังตวนเปิ่น แต่กลับสนใจถามเรื่องนี้ตรงๆ ทั้งยังถามเรื่องนี้กับหลี่เย่กลางราชสำนัก “ได้ยินว่าเหลียงตี้ขององค์รัชทายาทโดนยาพิษอย่างนั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้น?”  

 

 

เพราะเมื่อคืนหลี่เย่ไม่ได้นอน จึงฉายแววอ่อนเพลียบนใบหน้า ใต้ตาก็เป็นวงสีเขียวคล้ำ ตอนที่ฮ่องเต้ถามเรื่องนี้ ทุกคนก็แสดงท่าทีเข้าใจทันที ที่สีหน้าขององค์รัชทายาทไม่ดีก็เพราะเหตุนี้เอง   

 

 

หลี่เย่ตกใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะถามถึงเรื่องนี้ อย่างไรระยะนี้ฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยแม้แต่ถามเรื่องในราชสำนักแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องในวังหลังเลย   

 

 

แต่ในเมื่อฮ่องเต้ถามถึง เขาก็ไม่มีอะไรให้ปิดบัง ยอมรับเรื่องนี้ตรงๆ “เจียงเหลียงตี้ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

“ฆ่าตัวตายหรือ? ทำไม?” ฮ่องเต้ดูสนใจเรื่องนี้มากยิ่ง จึงถามด้วยท่าทีสนใจอยากรู้   

 

 

แม้หลี่เย่ไม่อยากตอบ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้าใจผิด จึงอธิบายอย่างละเอียด “ตอนที่ไทเฮายังไม่สิ้นพระชนม์ พระองค์ได้จัดการจดชื่อเซิ่นเอ๋อร์ไว้ใต้ชื่อของชายารัชทายาทถาวซื่อ พอเจียงซื่อทราบเรื่องก็ไม่เห็นด้วย กระหม่อมสั่งสอนนางไปเล็กน้อย บางทีนางอาจจะยังคิดไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

บรรดาขุนนางต่างมองหน้ากันอย่างเลื่อนลอยเล็กน้อย นี่กำลังพูดเรื่องใหญ่ในราชสำนัก ทำไมอยู่ดีๆ ถึงพูดเรื่องครอบครัวในราชวงศ์เล่า? ทั้งยังเป็นเรื่องขององค์รัชทายาท แล้วพวกเขาควรยืนอยู่ที่ใด? ขัดคำพูดก็ไม่ดี แต่ไม่ขัดก็ดูเหมือนบรรยากาศหม่นหมองแปลกๆ  

 

 

ทุกคนจึงลังเลระหว่างจะพูดแทรกหรือไม่พูดแทรกดี และช่วงเวลาที่พวกเขาลังเลอยู่นั้น ฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้วเอ็ดหลี่เย่ “ทำเรื่องแย่งชิงเด็กกันได้อย่างไร? แม้เป็นคำสั่งของไทเฮาก็ควรต้องพิจารณาให้มาก เกิดเรื่องแล้ว คนอื่นไม่เอาไปขบขันหรือ? องค์รัชทายาท แม้แต่เรื่องในครอบครัวเจ้าก็ยังทำได้ไม่ดี หลังจากนี้จะจัดการเรื่องในแคว้นได้อย่างไร?!”  

 

 

ฮ่องเต้ตำหนิเช่นนี้ก็ให้หลี่เย่ขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็ยังอดกลั้นไม่ถกเถียงอะไร เพียงแค่ยอมรับผิดตามคำของฮ่องเต้ “พ่ะย่ะค่ะ หลังจากนี้กระหม่อมจะจัดการเรื่องเหล่านี้ให้ดี ไม่ให้เกิดอีกพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

เขาคร้านจะอธิบายโต้แย้งแล้ว อีกทั้งเขาคิดว่าเมตตาเกินไปก็ไม่ดี เจียงซื่อสร้างเรื่องวุ่นวายเก่งเช่นนี้ก็ควรต้องทำตามที่ไทเฮาสั่งเอาไว้ ไม่ใช่เห็นแก่ที่นางเคยปรนนิบัติเขามา ทั้งยังเรื่องคลอดเซิ่นเอ๋อร์ให้เขา มาเป็นข้ออ้างให้เกิดเรื่องมากมายอย่างไม่มีเหตุผล  

 

 

“แต่ทำไมข้าถึงได้ยินว่าเจียงซื่อไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ถูกวางยาเล่า?” จู่ๆ ฮ่องเต้ก็พูดเช่นนี้ขึ้นมา ทำให้บรรดาขุนนางกระซิบกระซาบพูดคุยกันโดยพลัน  

 

 

หากพูดนินทาเล็กน้อยก็คงปล่อยไปได้ แต่คำนินทาเหล่านี้กลับมีท่าทีโหมแรงขึ้นอีก? วางยาฟังดูรุนแรงเกินไปแล้ว!  

 

 

หลี่เย่ก็ตกใจเช่นเดียวกัน “เสด็จพ่อได้ยินใครพูดพ่ะย่ะค่ะ? ลูกไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย? ใครจะทำร้ายเจียงซื่อจนตายพ่ะย่ะค่ะ? เกรงว่านี่จะเป็นเรื่องไม่มีมูลนะพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

ฮ่องเต้ยกมือขึ้นมานิ่งๆ สั่งขันทีเป่าฉวน “ไปพาคนเข้ามา”  

 

 

ขันทีเป่าฉวนมองไปทางหลี่เย่ที่ขมวดคิ้วไม่พูดจา ก่อนถอยออกไป ผ่านไปไม่นานก็พาคนผู้หนึ่งเข้ามา หลี่เย่รู้จักบ่าวคนนั้น เป็นซังจือที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเจียงอวี้เหลียนนั่นเอง   

 

 

เพราะเมื่อคืนเพิ่งได้พบกัน หลี่เย่จึงจำได้แม่น เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มองซังจือนิ่งๆ อยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วมีลับลมคมในอะไรซ่อนอยู่กันแน่  

 

 

ซังจือไม่กล้ามองหลี่เย่แม้แต่น้อย นั่งคุกเข่าตัวสั่นงันงกหมอบอยู่กับพื้นไม่กล้าขยับไปไหน ทำความเคารพก็งกๆ เงิ่นๆ เห็นชัดว่าตกใจจนสิ้นสติ  

 

 

“เจ้าบอกว่าเจียงซื่อถูกวางยาใช่หรือไม่?” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงถาม น้ำเสียงทรงอำนาจยิ่งนัก   

 

 

ซังจือตัวสั่นน้อยๆ จากนั้นถึงได้ตอบว่า “เพคะ หม่อมฉันพูดเองเพคะ นายหญิงของบ่าวถูกคนวางยาจริงเพคะ!”  

 

 

“แล้วทำไมเมื่อคืนเจ้าบอกข้าว่า นางฆ่าตัวตายเล่า?” หลี่เย่ส่งเสียงถามอ่อนๆ แม้จะบอกว่าน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่ก็เห็นความหงุดหงิดของเขาได้ไม่ยาก “ตอนนี้เจ้าพูดเช่นนี้ สุดท้ายแล้วเรื่องไหนจริงเรื่องไหนปลอมกันแน่?!”  

 

 

ซังจือถูกหลี่เย่ถามก็ตัวสั่นมากกว่าเดิม สั่นสะท้านจนแทบจะพูดอะไรไม่ออก หลี่เย่เห็นแบบนั้นก็หงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผล  

 

 

ฮ่องเต้ผ่อนน้ำเสียงลง ตำหนิหลี่เย่ “องค์รัชทายาท เจ้าควรสงบสติอารมณ์ให้มาก ถามนางดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องทำให้นางตกใจเช่นนี้ด้วย?”  

 

 

น้ำเสียงของฮ่องเต้แฝงไว้ด้วยการตักเตือน และขบขันเล็กน้อย หลี่เย่ลองครุ่นคิดอีกทีก็คิดว่าเถียงไปก็เท่านั้น เขาไม่อยากจะสนใจ ‘คำเตือน’ ของฮ่องเต้ จึงไม่พูดอะไรออกมาเลย ในเมื่อซังจือมาแล้ว เห็นชัดว่าไม่มีทางพูดเรื่องนี้ชัดเจนเป็นแน่  

 

 

เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้พลันถามขึ้นมาอีกครั้ง  

 

 

คราวนี้ซังจือตอบอย่างไหลลื่น “ตอนนั้นองค์รัชทายาทกับพระชายาอยู่ด้วยกันทั้งสองพระองค์ บ่าวกลัวว่าพูดไปแล้วจะถูกปิดปาก องค์รัชทายาทโปรดปรานพระชายามาตลอด ถ้าพระชายาทำเรื่องนี้จริง เช่นนั้นองค์รัชทายาทต้องเข้าข้างพระชายาเป็นแน่เพคะ…“   

 

 

หลี่เย่หรี่ตาลง เขาเข้าใจความหมายของซังจือ ซังจือคิดว่าถาวจวินหลันวางแผนทำร้ายเจียงอวี้เหลียน และที่นางปิดบังก็เพราะเหตุผลนี้ แต่ซังจือพูดถูกเรื่องหนึ่ง นั่นคือหากเขาพบว่าถาวจวินหลันเป็นคนทำจริง เขาจะต้องเก็บเงียบเรื่องนี้ และปกป้องถาวจวินหลันสุดความสามารถ  

 

 

แต่ถาวจวินหลันทำเรื่องนี้จริงหรือ? หลี่เย่ไม่เชื่อ หากบอกว่าถาวจวินหลันวางยาฮ่องเต้หรือฮองเฮา บางทีเขาคงเชื่อ แต่ถาวจวินหลันวางยาเจียงอวี้เหลียนอย่างนั้นหรือ? เพราะอะไร? เจียงอวี้เหลียนไม่ได้มีหน้ามีตามากขนาดนั้นมิใช่หรือ?  

 

 

หลี่เย่จึงแค่นหัวเราะออกมา “เจ้าคิดว่าพระชายาทำหรือ? มีหลักฐานหรือไม่?”  

 

 

ซังจือกระอึกกระอักอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดเหตุผลเรื่องหนึ่งจนได้ “พระชายาอยากเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์ แต่เหลียงตี้เป็นมารดาแท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์เพคะ”  

 

 

เหตุผลนี้พออธิบายได้ อย่างไรในอดีตก็มีเรื่องเช่นนี้ให้เห็นไม่น้อย อยากจะแย่งเลือดเนื้อของคนอื่น กำจัดแม่เหลือลูกไว้เป็นวิธีที่ดีที่สุด หากเรื่องไม่แดงขึ้นก็จะไม่ถูกคนอื่นติฉินนินทา อีกทั้งเป็นการกำจัดความพะวงเรื่องความใกล้ชิดระหว่างเด็กและแม่แท้ๆ อย่างไรสายเลือดใกล้ชิดก็เป็นสิ่งที่ตัดขาดได้ยากที่สุด  

 

 

“พระชายามีบุตรแล้ว นางไม่ต้องเสี่ยงเพียงเพื่อเด็กคนเดียว” หลี่เย่มีท่าทีอ่อนโยน น้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยความขบขันเล็กน้อย พูดอธิบายแทนถาวจวินหลัน แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องจริง ทั้งยังน่าเชื่อถือมากอีกด้วย  

 

 

ซังจือตะลึงไป แต่ก็ยังกัดฟันแน่น “แต่พระชายาอยากเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์เพคะ” อย่างไรหากถาวจวินหลันอยากเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์ เจียงอวี้เหลียนก็ยังเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ เหตุผลนี้ก็พอฟังเข้าหู   

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง ซังจือก็พูดอีกว่า “อีกทั้งพระชายาไม่ชอบเหลียงตี้ของพวกเราเพคะ”  

 

 

พอซังจือพูดเช่นนี้ เหตุผลที่ถาวจวินหลันต้องการทำร้ายเจียงอวี้เหลียนก็ยิ่งมากพอแล้ว   

 

 

“เหตุผลเพียงเท่านี้ไม่สามารถอธิบายปัญหาได้ หลักฐานเล่า?” หลี่เย่เข้าข้างถาวจวินหลันอย่างไม่ต้องสงสัย  

 

 

ตอนนี้กลับไม่มีคนคิดว่าหลี่เย่ลำเอียงหรืออะไร แต่กลับทุ่มความสนใจไปที่ซังจือ อย่างไรอาศัยเพียงการคาดเดาก็ไม่อาจตัดสินความจริงว่าเป็นเช่นนั้นได้ ยังต้องคำนึงถึงหลักฐานด้วย   

 

 

ซังจือไม่ลนลาน พูดอย่างหนักแน่น “เมื่อวานนี้นางกำนัลลี่ว์สือปรนนิบัติเหลียงตี้ทานอาหารเย็น เพราะเมื่อวานเหลียงตี้อารมณ์ไม่ค่อยดีจึงทานอาหารช้ากว่าปกติ พอเพิ่งกินเสร็จไม่นาน เหลียงตี้ก็เริ่มออกอาการ หลังจากนั้นก็ไม่ได้รับอะไรเพิ่มอีก เข้านอนทันที หม่อมฉันเป็นคนปรนนิบัติก่อนเหลียงตี้นอนเองเพคะ”  

 

 

“เจ้าจึงคิดว่าลี่ว์สือเป็นคนวางยาหรือ? แต่เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเจียงซื่อไม่ได้กินยาเข้าไปเอง?” หลี่เย่มองซังจือด้วยความขบขัน “เจ้าไม่ได้บอกว่าเมื่อวานนี้เจ้าเฝ้าเวรอยู่ข้างนอก ไม่ได้ปรนนิบัติอยู่ภายในหรอกหรือ? เจียงซื่อทำอะไรแล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?”  

 

 

ฮ่องเต้ใช้แขนเสื้อบังปากหาว จากนั้นก็ถามอย่างอ่อนเพลียว่า “แล้วลี่ว์สืออยู่ที่ใด? พาเข้ามาถามให้รู้เรื่อง” เห็นชัดว่าเขาต้องการเป็นคนสอบถามคดีนี้เอง  

 

 

หลี่เย่มองฮ่องเต้แวบหนึ่ง ไม่ได้ต่อต้านอะไร แต่ดูจากท่าทีเหนื่อยล้าของฮ่องเต้ เขาก็ถามขึ้นว่า “เสด็จพ่อคงเหนื่อยแล้วใช่หรือไม่? พักก่อนดีหรือไม่?”  

 

 

ฮ่องเต้ส่ายหัว พยายามตั้งสติ จากนั้นก็ตอบว่า “ไม่ต้อง”  

 

 

ขันทีเป่าฉวนมองฮ่องเต้อย่างกังวล แต่ก็ไม่มีวิธีอื่น ทำได้แค่ส่งถุงหอมที่จัดทำพิเศษเพื่อเรียกสมาธิและช่วยตื่นตัวให้ฮ่องเต้  

 

 

แต่เหมือนจะไม่ได้ผลมากขนาดนั้น  

 

 

แน่นอนว่าบรรดาขุนนางใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เห็นฉากนี้ด้วยเช่นกัน แม้จะบอกว่ามีทั้งดื่มชา มีทั้งจับกลุ่มคุยกัน ต่างก็พยายามแสร้งทำเป็นไม่เห็นฉากนี้ แต่ในใจก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า สุดท้ายก็แก่แล้ว ไม่ยอมแก่ก็ไม่ได้!  

 

 

คิดเช่นนี้ทุกคนก็อดหันไปมองหลี่เย่ไม่ได้ หลี่เย่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง ใบหน้าอ่อนโยนและรูปงาม ลักษณะท่าทางดูโดดเด่น หลายคนจึงเทใจให้เขาหลายส่วน ฮ่องเต้ชรากับผู้นำคนใหม่ แน่นอนว่าเป็นใครก็ต้องเอนเอียงมาทางผู้นำใหม่ที่อายุยังน้อย อีกทั้งยิ่งไม่ต้องพูดว่าตอนนี้การกระทำของฮ่องเต้ดูมึนงงอยู่เล็กน้อย  

 

 

ทุกคนพลันอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าอีกครู่ต้องเลือกพรรคปันฝ่ายกันจริง เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อนก็คงต้องยืนอยู่ข้างหลี่เย่กระมัง  

 

 

แน่นอนว่าความคิดของบรรดาขุนนางใหญ่ ไม่ว่าเป็นหลี่เย่หรือฮ่องเต้ก็ไม่อาจทราบได้ ตอนนี้ที่จริงหลี่เย่กำลังคิดถึงแผนการรับมือต่อไป เพราะเขาคิดว่าไม่ปกติ ไม่เพียงแค่ซังจือพุ่งเป้ามาที่ถาวจวินหลัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลากลี่ว์สือเข้ามาอีกคน เหมือนว่าเรื่องนี้ถูกจัดเตรียมมาก่อนแล้ว  

 

 

หากถึงเวลาลี่ว์สือยอมรับว่าถาวจวินหลันเป็นคนสั่งนาง เช่นนั้นเรื่องก็จะยิ่งยุ่งไปกันใหญ่ อย่างน้อยถาวจวินหลันก็จะถูกใส่ร้ายป้ายสีจนมีร้อยปากก็ยังแก้ตัวไม่ได้  

 

 

พอคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็หงุดหงิดอย่างควบคุมไม่ได้ หากรู้ว่าจะมีเรื่องเกิดตามมามากมายเช่นนี้ ตอนนั้นเขาไม่น่าเสนอแผนนี้เลย นับเป็นการโยนเรื่องวุ่นไปให้ถาวจวินหลันโดยแท้  

 

 

ตอนนี้ถาวจวินหลันกำลังตั้งครรภ์ แต่เดิมควรรักษาตัวให้ดี แต่ตอนกลางฤดูใบไม้ร่วงเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น หลังจากนั้นก็เหน็ดเหนื่อยจากพิธีฝังพระศพของไทเฮา ตอนนี้ก็ยังต้องข้องเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้อีก…  

 

 

เขารู้สึกผิดและเสียใจจนพูดไม่ออก แต่ตอนนี้เขาไม่มีวิธีอื่น ทำได้แค่รอดู แต่ก็อดรู้สึกร้อนใจไม่ได้  

 

 

พอลี่ว์สือถูกพามา หลี่เย่ก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เรื่องใกล้จะจบลงแล้ว ไม่ว่าผลออกมาอย่างไรก็ต้องมีวิธีเป็นแน่ ดีกว่าความทรมานก่อนหน้านี้มากนัก  

บัลลังก์พญาหงส์

บัลลังก์พญาหงส์

ตัวนางเป็นลูกขุนนางนักโทษ ขายตัวเองและน้องสาวเข้ามาเป็นนางกำนัลต่ำต้อยในวัง เถาจวินหลันต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้จริงๆ หรือ? จะต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสู แล้วตายไปอย่างเงียบๆ เช่นนั้นหรือ? นางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด! นางมีทั้งความสามารถและหน้าตาอันงดงาม อำนาจ ครอบครัว ความรัก…นางต้องการมันทั้งหมด! ส่วนพวกปรปักษ์มันจะต้องโดนทำลายจนย่อยยับ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset