ขันทีเป่าฉวนพูดกับถาวจวินหลันว่า “ตั้งแต่วันนี้ไป เกรงว่าฮ่องเต้คงเมินจวงเฟยไปสักระยะพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันย่อมไม่รู้ที่มาที่ไป แต่นางก็ไม่ได้ถามออกมาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่กลับคิดได้ทันทีว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น โอกาสปราบกู้ซีก็คงมาถึงแล้ว
พูดง่ายๆ ไม้ค้ำที่กู้ซีมีในวังหลวงก็คือความโปรดปรานของฮ่องเต้เท่านั้น ไม่มีความโปรดปรานจากฮ่องเต้ กู้ซียังมีค่าอะไรอีก?
“ขอบคุณกงกงที่เตือน” ถาวจวินหลันเอ่ยชอบคุณมาจากใจจริง ตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นึกว่าขันทีเป่าฉวนทำอะไรบางอย่าง
แต่ขันทีเป่าฉวนก็ไม่กล้าเอาผลงาน ยิ้มพลางสะบัดมือพูดว่า “พระชายาอย่าขอบคุณข้าเลย หากจะขอบคุณควรจะเป็นซวนเอ๋อร์มากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ซวนเอ๋อร์ทำไมหรือ?” ถาวจวินหลันสับสน จึงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
ขันทีเป่าฉวนยิ้มแย้มเล่าวีรกรรมของซวนเอ๋อร์จนจบ สุดท้ายก็พูดอย่างแฝงนัยว่า “ท่านไม่ได้ยินคำพูดของซวนเอ๋อร์ หากได้ยินเข้าเกรงว่าพระองค์ต้องตกใจมากเป็นแน่ หากให้ข้าพูด ซวนเอ๋อร์นั้นเป็นเด็กฉลาดจริงๆ ข้าอยู่ในวังหลวงมานานหลายปี ยังไม่เคยเห็นเด็กฉลาดเท่าซวนเอ๋อร์เลย”
เด็กขนาดนี้กลับพูดเรื่องเหล่านั้นออกมาได้ ทำเรื่องเช่นนั้น นี่ไม่อาจใช้คำว่าเฉลียวฉลาดมาบรรยายได้อีก นี่ถือว่าเป็นปีศาจไปแล้ว ต่อให้มีคนคอยสอนอยู่เบื้องหลัง แต่ซวนเอ๋อร์ทำได้ดีขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพียงแค่เรื่องที่กล่าวถึงกู้ซีตอนท้าย ตอนนั้นขันทีเป่าฉวนลองกลับมาคิดดู ยังอดอ้าปากค้างไม่ได้
และเพราะเป็นคนเก่าแก่ที่ปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้ ขันทีเป่าฉวนจึงยิ่งรู้ว่าหลังจากเขาพาเด็กสองคนนี้ออกมา ทางฮ่องเต้ย่อมเกิดเรื่องที่ไม่น่าพึงประสงค์แล้วเป็นแน่
ถาวจวินหลันกลับสูดลมหายใจเย็น จากนั้นก็ลองครุ่นคิดตามความเคยชิน ซวนเอ๋อร์เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนอื่นสอน หรือตนเองสอนกันแน่? ซวนเอ๋อร์อายุห้าขวบเท่านั้น ทำเรื่องเช่นนี้ได้เองจริงหรือ? อีกทั้งปกติซวนเอ๋อร์พอเทียบกับเด็กคนอื่นแล้ว อย่างมากก็สดใสร่าเริงกว่าหน่อยเท่านั้น ถ้าจะบอกว่ามีอะไรไม่เหมือนเด็กทั่วไป นั่นเห็นจะไม่มี
ขันทีเป่าฉวนขอตัวกลับไปก่อนอย่างรู้งาน เหลือช่วงเวลาให้กับซวนเอ๋อร์และหมิงจูที่ไล่ตามมา จะได้ให้แม่ลูกได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
แท้จริงแล้วซวนเอ๋อร์ถูกคนสอนมาหรือไม่ก็ไม่ได้สำคัญอะไร ที่สำคัญกว่าก็คือเขาคิดว่าภายในวังคงต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน
ขันทีเป่าฉวนไม่ใส่ใจเรื่องนี้ แต่ถาวจวินหลันไม่อาจปล่อยไปได้ ดังนั้นพอได้พบซวนเอ๋อร์นางจึงถามขึ้นมาในทันใด “ซวนเอ๋อร์ เจ้าบอกแม่มานะ วันนี้เจ้าไปพบเสด็จปู่เองหรือมีคนอื่นสอนมา”
ไม่ว่าจะเป็นใครสอนซวนเอ๋อร์นางก็ไม่ยินดีทั้งนั้น แต่กลับรู้สึกโมโหอยู่น้อยๆ ซวนเอ๋อร์เพิ่งจะอายุเท่าไรกัน? จะให้ซวนเอ๋อร์ไปทำเรื่องเช่นนี้แล้วหรือ?
ซวนเอ๋อร์ส่ายหน้า “ไม่มีคนสอนข้า ข้าอยากให้ท่านแม่ออกมาอยู่กับข้าเร็วๆ ขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าคิดได้อย่างไรว่าต้องไปหาเสด็จปู่?” ถาวจวินหลันไม่เชื่อ แต่ท่าทีของซวนเอ๋อร์ก็ไม่เหมือนโกหก อีกทั้งหากโกหกจริงนางก็คิดว่าซวนเอ๋อร์ไม่น่าจะหลอกนาง
ซวนเอ๋อร์พูดอย่างมั่นใจ “เพราะเสด็จปู่ขังท่านแม่” ในเมื่อขังได้ก็ย่อมปล่อยออกมาได้
ถาวจวินหลันได้ยินคำตอบก็สะอึกไป ทั้งยังอดเย้ยหยันตัวเองไม่ได้ มีเรื่องให้คิดมากเกินไป นางจึงเอาแต่คิดซับซ้อน กลายเป็นมองข้ามเรื่องง่ายดายไป
“เช่นนั้นทำไมซวนเอ๋อร์ต้องพูดกับจวงเฟยเช่นนั้น?” ที่สำคัญสุดคือเรื่องนี้ ไปหาฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่เรื่องจวงเฟยน่าสงสัยมากไม่ใช่หรือ?
ซวนเอ๋อร์อมลมจนแก้มพอง พูดออกมาด้วยความไม่พอใจ “ผู้หญิงไม่ดี”
ถาวจวินหลันตะลึงไป จากนั้นถึงได้ตอบสนองกับคำพูดของซวนเอ๋อร์ เพราะกู้ซีเป็น ‘ผู้หญิงไม่ดี’ ดังนั้นเขาถึงไม่อยากนางมีความสุข
ถาวจวินหลันพิจารณามองซวนเอ๋อร์อย่างตกใจ จากนั้นก็ต้องพบว่าก่อนหน้านี้นางเหมือนจะละเลยซวนเอ๋อร์มากเกินไป อย่างน้อย ซวนเอ๋อร์ก็ไม่ได้เป็นเด็กอย่างที่เขาแสดงออกมาให้เห็น และตอนที่นางไม่ทันได้รู้ซวนเอ๋อร์ของนางก็เริ่มเปลี่ยนไป
แต่ถาวจวินหลันยังรับเรื่องนี้ไม่ค่อยได้ ฉลาดก็ดี แต่ฉลาดจนน่ากลัวเกินไปคงไม่ดีนัก
ซวนเอ๋อร์เหมือนจะมองเห็นความคิดสับสนของถาวจวินหลัน จึงรีบอธิบายเสียงเบา “ได้ยินท่านแม่พูด” ฟังน้ำเสียงนั่นเหมือนว่าเริ่มขลาดกลัวเล็กน้อย
ถาวจวินหลันเข้าใจทันที ไม่ใช่ว่าซวนเอ๋อร์ฉลาดจนน่ากลัว แต่เพราะซวนเอ๋อร์เข้าใจบทสนทนาระหว่างนางกับจิ้งหลิง นางพูดว่าต้องการสร้างความร้าวฉานระหว่างฮ่องเต้กับกู้ซี ฮ่องเต้มีพระชนมายุมากแต่กู้ซีอ่อนวัย ล้วยังเรื่องกู้ซีอยากแต่งงานกับหลี่เย่
หลังจากเข้าใจเรื่องนี้ ถาวจวินหลันก็รู้สึกผิดทันที ถอนหายใจเบาๆ พูดว่า “ซวนเอ๋อร์ หลังจากนี้ห้ามทำเช่นนี้อีก” บางทีซวนเอ๋อร์อาจยังไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาทำน่าตกใจมากเพียงใด แต่เหตุการณ์เช่นนี้ครั้งเดียวถือเป็นเรื่องบังเอิญ แต่หากมีครั้งต่อไปเรื่อยๆ ย่อมไม่ถูกต้องเป็นแน่ อีกทั้งไม่ต้องพูดว่าจะมีคนสงสัย เพียงแค่ซวนเอ๋อร์ฉลาดจนน่ากลัวเกินไปก็ไม่ดีแล้ว
“ขอรับ” ซวนเอ๋อร์รับปากอย่างเชื่อฟัง สุดท้ายก็พูดด้วยความคาดหวังน้อยๆ “เช่นนั้นท่านแม่จะออกมาได้เมื่อไร?”
“เร็วๆ นี้แล้ว” ถาวจวินหลันรับปากเสียงสั่น กลั้นน้ำตาฝืนยิ้มให้เขา
ตาของซวนเอ๋อร์เป็นประกาย “จริงหรือ?”
ถาวจวินหลันรับปากอย่างจริงจัง “แน่นอน แม่เคยหลอกซวนเอ๋อร์ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
หลังจากมีคำรับรองอย่างหนักแน่นจากถาวจวินหลันแล้ว ซวนเอ๋อร์ก็ยอมเชื่อ แล้วถึงได้ดึงหมิงจูที่มีท่าทีอาลัยอาวรณ์จากไป
หลังจากมองไม่เห็นเงาร่างของซวนเอ๋อร์แล้ว ถาวจวินหลันก็ยืนข้างหน้าต่างอยู่นาน ตราบจนหงหลัวเอ่ยเตือนถึงได้เก็บสายตากลับมา เดินออกห่างจากหน้าต่างเงียบๆ
หงหลัวรีบไปปิดหน้าต่าง ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว แม้จะบอกว่ามีเตาผิง แต่เปิดหน้าต่างไว้ครู่ใหญ่ ความร้อนในห้องก็กระจายออกไปหมด
ถาวจวินหลันยังคงมีท่าทีกลุ้มใจ ทุกคนจึงไม่กล้าไปรบกวน ทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องก็เงียบเชียบ มีเพียงเสียงถ่านในเตาผิงแตกออกเป็นประกายไฟเท่านั้น
“ยังต้องคิดวิธีออกไปโดยเร็ว” ถาวจวินหลันสูดหายใจเข้าลึก ฉับพลันก็พูดเช่นนี้ออกมาเรียบๆ แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ซวนเอ๋อร์คงเริ่มกระวนกระวายแล้วเป็นแน่ มิเช่นนั้นคงไม่ทำเรื่องเช่นนี้” พอคิดถึงความรู้สึกของซวนเอ๋อร์ นางก็รู้สึกฝาดเฝื่อนอยากร้องไห้อีกครั้ง
แต่เดิมนางยังคิดจะรอก่อน แต่ตอนนี้หรือ…
“แต่จะใช้วิธีใดออกไปเพคะ?” หงหลัวขมวดคิ้วกังวลเล็กน้อย “เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ง่าย”
“พวกเขาไม่ได้บอกว่าข้าเป็นคนทำร้ายเจียงอวี้เหลียนอย่างนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าว่า หากเจียงอวี้เหลียนตายไปตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น? หากพบของของจวงเฟยและหนังสือลาของเจียงอวี้เหลียนอีกเล่า?” ถาวจวินหลันยิ้มแย้ม แต่กลับดูเย้ยหยัน
หงหลัวตกใจ มองพิจารณาถาวจวินหลันทันที ก่อนหน้านี้ถาวจวินหลันไม่เคยพูดเช่นนี้มาก่อน แม้จะบอกว่าไม่มีอะไรผิด แต่สุดท้ายพอฟังก็ดูเ**้ยมโหดเกินไปหน่อย ก่อนหน้านี้ถาวจวินหลันจะพูดอะไรเช่นนี้ออกมาง่ายๆ เสียที่ไหนกัน? ตอนนี้ก็เพราะถูกบีบจนร้อนใจแล้ว
หงหลัวครุ่นคิด ก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี จึงพยักหน้าเห็นด้วยไปตรงๆ “บ่าวจะให้คนไปเตรียมพร้อมเพคะ” แม้จะบอกว่าโดนคุมขังเอาไว้ แต่ก็ยังมีวิธีถ่ายทอดคำพูดออกไปเช่นเดียวกัน
ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยห้าม ที่จริงหลี่เย่พูดชัดเจนแล้วว่าเจียงอวี้เหลียนมีชีวิตได้อีกไม่นาน ดื่มพิษเช่นนั้นลงไป อวัยวะภายในทั้งหมดล้วนถูกกัดกินไป เทพเจ้านางสวรรค์ที่ไหนก็ไม่อาจช่วยได้แล้ว ดังนั้นนางทำเช่นนี้ก็เพียงส่งเจียงอวี้เหลียนไปก่อนเวลาเท่านั้น
ที่จริงทำเช่นนี้ก็ดี นางเพียงแค่ทำตามแผนการที่ไทเฮาตั้งใจตั้งแต่แรกเท่านั้น หลังจากเจียงอวี้เหลียนตายไปนางจะต้องดูแลเซิ่นเอ๋อร์อย่างดี ไม่มีทางปล่อยให้เซิ่นเอ๋อร์เสียเปรียบแน่นอน
ถือว่าเป็นการชดเชยเล็กน้อยที่นางเอาเปรียบเจียงอวี้เหลียน
ไม่นานหลี่เย่ก็รู้เรื่องนี้ แต่หลังจากนิ่งเงียบไปพักหนึ่งแล้วเขาก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพียงแค่สั่งโจวอี้ว่า “ไปเตรียมหนังสือลาเอาไว้ฉบับหนึ่ง อีกอย่างให้เจียงฟู่รีบกลับไปเข้าสกุลแสดงตัวกับบรรพชน ข้าจะมอบความร่ำรวยสูงส่งให้เขา ถามเขาว่าอยากได้หรือไม่?”
“ถ้าจะสร้างเรื่องก็ต้องทำให้ใหญ่หน่อย” หลี่เย่แค่นหัวเราะออกมา สีหน้าเย็นเยียบ “ในจดหมายลาจำเอาไว้ว่าให้เขียนถึงซังจือเป็นคนของฮองเฮาด้วย”
โจวอี้ตะลึงไป จากนั้นก็เข้าใจความหมายของหลี่เย่ รับคำทันที แล้วจึงถอยออกไปสั่งให้คนไปเตรียมอย่างรวดเร็ว
แต่หลี่เย่กลับถอนหายใจออกมา เขาไม่เคยคิดอยากให้เจียงอวี้เหลียนตายจริง ตอนนั้นที่ไทเฮายังมีชีวิต เรื่องนี้เป็นการจัดการของไทเฮาก็แล้วไป แต่ตัวเขาเองไม่อาจลงมือขนาดนั้นได้ ดังนั้นสุดท้ายเขาถึงให้เจียงอวี้เหลียนเลือกไปใช้ชีวิตที่บ้านพัก
แต่คิดไม่ถึงว่าเจียงอวี้เหลียนกลับ…
แน่นอนว่าที่จริงเขาก็เข้าใจ การมีชีวิตของเจียงอวี้เหลียนจะทำให้มีปัญหาตามมาไม่ขาดสสาย อีกทั้งเจียงอวี้เหลียนก็มีชีวิตได้อีกไม่นานแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังทำใจไม่ค่อยได้นัก คิดว่าอย่างไรนั่นก็เป็นแม่แท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์ ตัวเขาละเลยเซิ่นเอ๋อร์มากพอแล้ว ไม่คิดจะฆ่าแม้แท้ๆ ของเขาด้วยตัวเองอีก
ดังนั้นตอนที่ได้ยินการตัดสินใจของถาวจวินหลัน ที่จริงเขาก็สบายไปเฮือกหนึ่ง คิดว่านี่เป็นปัญหายากที่ถาวจวินหลันช่วยรับเอาไว้แทนเขา อย่างน้อยถาวจวินหลันก็เป็นคนตัดสินใจ เขาจึงรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย คิดว่าอย่างน้อยก็ไม่ใช่คำสั่งของตนเอง และไม่ได้คิดว่าตัวเองไม่มีหน้าไปพบเซิ่นเอ๋อร์ได้อีก
ที่จริงแล้วนี่เป็นความคิดที่ดูหนีปัญหา แต่นี่ก็เป็นเรื่องจนปัญญาเช่นเดียวกัน สำหรับคนนอกเขาจะโหดเ**้ยมเสียหน่อยก็ยังไม่รู้สึกผิดอะไร แต่สำหรับคนในครอบครัวตนเองเขาไม่อาจทำโดยไม่รู้สึกผิด ต่อให้เจียงอวี้เหลียนก่อเรื่องมากมายเช่นนั้น เขาก็ยังไม่อาจโหดเ**้ยมหรือไร้เยื่อใยได้ขนาดนั้น อย่างไรนั่นก็เป็นแม่แท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์ แล้วยังเป็นคนที่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขา
สุดท้ายหลี่เย่ก็หัวเราะขมขื่นออกมา ชีวิตนี้เขาเอาเปรียบคนไม่น้อยจริงๆ
แต่อารมณ์ขมุกขมัวเช่นนี้ก็อยู่เพียงไม่นานเท่านั้น เขาตั้งสติเรียกสมาธิกลับมาโดยเร็ว ยกพู่กันขึ้นมาจัดการงานหลัก ถ้าไม่ใช่เพราะยังจัดการฎีกาสำคัญเหล่านี้ไม่เสร็จ ตอนนี้เขาคงอยู่ที่วังตวนเปิ่นแล้ว จิ้งหลิงส่งคนมาเชิญเขาไป เขาเองยังหาเวลาปลีกตัวไปไม่ได้เลย