ครั้งนี้ฮ่องเต้สั่งคุมขังหวังฮูหยินไม่ให้ออกไปไหน ทั้งยังส่งถาวจือเข้าไปยังกรมราชทัณฑ์ สถานที่แห่งนี้ใช้คุมขังลงโทษบ่าวในวังที่มีความผิด ที่จริงคนมีฐานะอย่างเช่นถาวจือไม่สมควรไปที่นั่น แต่เห็นชัดว่าฮ่องเต้กำลังกริ้ว ไฉนเลยจะคำนึงถึงเรื่องนี้ ขนาดถาวจวินหลันเป็นถึงชายารัชทายาท แต่เวลาถูกฮ่องเต้ลงโทษก็ยังไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนุภรรยาเล็กๆ ที่ไม่ได้รับความโปรดปรานเลย
อีกทั้งหวังฮูหยินก็ยังมีฮองเฮาและคนตระกูลหวังที่ช่วยร้องขอความเมตตา แต่ถาวจือไร้ซึ่งคนสนใจถามไถ่ ฉะนั้นสิ่งที่ได้รับจึงต่างกัน
พอถาวจวินหลันรู้ข่าวของถาวจือ ก็เพียงแค่ยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันเท่านั้น “ทำตัวเองทั้งนั้น จะโทษใครเล่า?”
ถาวจือมีจุดจบเช่นนี้ก็เพราะหาเรื่องใส่ตัว ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
ส่วนความกังวลที่เรื่องของถาวจือจะส่งผลไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของวังตวนเปิ่น ถาวจวินหลันไม่รู้สึกเช่นนั้นแม้แต่น้อย เพราะถึงเวลานางจะไปวอนขอให้ลงโทษถาวจืออย่างหนัก อย่างแรกเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู อย่างที่สองเพื่อแสดงให้เห็นว่าวังตวนเปิ่นไม่ได้นิ่งเฉยต่อเรื่องนี้
สำหรับฮองเฮาย่อมไม่ได้ผลดีอะไรเช่นกัน แม้จะบอกว่าไม่ถึงขั้นถูกปลด แต่ก็ต้องได้รับโทษสถานเบาเป็นการตักเตือนอย่างหนัก ฮ่องเต้ยังไม่เคลื่อนไหว แต่ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่เคลื่อนไหว
ถาวจวินหลันไปพบกู้ซีด้วยตนเองครั้งหนึ่ง
กู้ซีอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก หน้าตาก็ดูโทรมลงบางส่วน แม้แต่ใต้ตาก็เริ่มเป็นรอยเขียวคล้ำ
“จวงเฟยเหนียงเหนียงเป็นอะไรหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันประคองเอวอมยิ้มมองกู้ซี สายตากวาดมองไปที่รอยคล้ำใต้ตาและริมฝีปากที่เม้มน้อยๆ ของนาง
สายตาของกู้ซีฉายแววรังเกียจและเยาะเย้ย “ทำไมหรือ ชายารัชทายาทจะมาดูเรื่องน่าอายของข้าหรืออย่างไร?”
“เห็นจะไม่ใช่เพคะ” ถาวจวินหลันหัวเราะออกมา ดวงตาเป็นประกายสดใสจนทิ่มแทง ขณะที่กู้ซีรู้สึกตกใจ ถาวจวินหลันก็พูดต่อไป “หม่อมฉันเพียงมาถามจวงเฟยเหนียงเหนียงว่ารู้สึกเสียดายหรือเสียใจบ้างหรือไม่เพคะ”
สีหน้าของกู้ซีดำคล้ำไปกว่าครึ่ง นี่ต่างจากมาดูเรื่องน่าอายตรงไหนกัน?
“จวงเฟยเหนียงเหนียงเป็นอะไรหรือเพคะ? ทำไมหน้าตาดูแย่เช่นนี้? หม่อมฉันพูดแทงใจดำเกินไปหรือเพคะ?” เห็นกู้ซีเป็นเช่นนี้ รอยยิ้มของถาวจวินหลันก็ยังไม่จางหาย แม้แต่ในน้ำเสียงก็ยังแฝงไว้ด้วยความเบิกบาน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ กู้ซีได้ยินแล้วคงไม่คิดว่าไพเราะเสนาะหูและน่าเบิกบานใจเป็นแน่ ควรต้องบอกว่าเสียดหูมากกว่าสินะ?
“มีอะไรน่าดีใจอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้คนในวังตวนเปิ่นน้อยลงเรื่อยๆ อย่างไรฮ่องเต้ก็ต้องยัดเยียดคนให้องค์รัชทายาท แม้ตอนนี้เจ้าจะเป็นที่หนึ่งแล้ว แต่นั่นนับว่าเป็นอะไรกัน? มีอะไรน่าสะใจอย่างนั้นหรือ?” กู้ซีกัดฟันพูดเยาะเย้ย แทนที่จะรู้สึกถึงความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี แต่กลับดูประชดประชันมากกว่า
ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ มองกู้ซีนิ่ง ถามกลับไป “แล้วจะเป็นอย่างไรเพคะ? อย่างน้อยหม่อมฉันก็เป็นชายารัชทายาท อีกทั้งต่อให้ยัดเยียดคนเข้ามาแล้วจะทำไม? ก็แค่มีแจกันประดับเพิ่มเท่านั้น ยังต้องกลัวว่าเลี้ยงไม่ไหวหรือเพคะ?”
กู้ซีได้ยินคำว่า ‘แจกันประดับ’ ก็ให้หมดคำพูดทันที เพราะนางพบว่าก่อนหน้านี้สิ่งที่หลี่เย่ปฏิบัติกับสตรีนางอื่นก็เหมือนกับแจกันประดับจริงๆ วางไว้เพิ่มสวยงามเท่านั้น แต่ไม่เข้าไปแตะต้องเลย ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่เย่มีเซิ่นเอ๋อร์และกั่วเจี่ยเอ๋อร์ที่เป็นลูกชายลูกสาวจากอนุภรรยา เกรงว่าหลี่เย่คงถูกเรียกขานว่าเป็นนักบุญไปแล้ว
ที่สำคัญคือ หลี่เย่ไม่ได้ไปจับต้องผู้หญิงเหล่านั้นอีกมิใช่หรือ? ใต้หล้านี้มีสักกี่คนที่ทำได้? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสูงศักดิ์อย่างองค์รัชทายาท ขนาดฮ่องเต้แก่ชราขนาดนี้แล้ว ยังแอบไปแตะต้องนางกำนัลอายุสิบห้าปีลับหลังนางอีกมิใช่หรืออย่างไร?
พอคิดถึงเรื่องนี้ กู้ซีก็ร้อนรุ่มดั่งไฟสุมอก
นางไม่พอใจ ใช่ นางไม่พอใจ!
แต่นั่นมีผลอะไร? มองดูท่าทีพออกพอใจยิ้มแย้มของถาวจวินหลัน นางก็พบว่าต่อให้นางโกรธแค้นอย่างมากก็ไม่เกิดประโยชน์อยู่ดี ชีวิตของนางก็คงเป็นแบบนี้แล้ว
“กู้ซี” ถาวจวินหลันเรียกชื่อกู้ซี แต่ไม่ได้ใช้คำว่าจวงเฟย “กู้ซี เจ้ารู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่? ไทเฮาดีกับเจ้าขนาดนั้น ทำไมเจ้าถึงทำให้นางผิดหวัง? หากเจ้าไม่ดึงดันคิดว่าข้าเป็นคนทำร้ายเจ้า แล้ววางแผนตลบหลังข้าหลายครั้ง วันนี้เจ้าจะโดดเดี่ยว ไม่มีใครเอาเช่นนี้หรือ? แต่ข้าก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาโต้กลับ แต่เดิมพวกเราร่วมมือสามัคคีกันก็จะได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายแล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้…” กลับกลายเป็นสู้กันเอง
ทั้งหมดนี้บางทีอาจเป็นเพราะความดึงดันในใจของกู้ซี ไม่รู้ว่ากู้ซีจะรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่?
ถาวจวินหลันรู้สึกเสียดายจริงๆ แต่ในใจของนางก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่อาจย้อนกลับไปได้อีกแล้ว เรื่องราวมาถึงจุดที่ทุกอย่างถูกกำหนดไว้ นางพูดสิ่งเหล่านี้ออกมา ก็เพียงให้กู้ซีรู้สึกไม่ดีเท่านั้นเอง
อย่างไรนางก็ยังไม่ได้ใจกว้างมากพอที่จะยิ้มรับและปล่อยผ่านไป ถึงเอาชีวิตของกู้ซีไม่ได้ แต่พูดให้นางเจ็บใจก็รู้สึกดีเช่นกัน
กู้ซีมีสีหน้าไม่น่ามอง ก่อนหัวเราะเยาะออกมา ถามกลับด้วยเสียงแหลมสูง “ข้ามีอะไรต้องเสียใจกัน? ต่อให้เจ้าไม่ได้ตลบหลังข้า หรือเจ้าอยากให้ข้าเข้าจวนตวนชินอ๋องอย่างนั้นหรือ? เจ้ากล้าบอกหรือว่าตัวเองไม่โล่งใจ? เห็นข้าต้องมาออดอ้อนเอาอกเอาใจฮ่องเต้อยู่ทุกวัน หรือเจ้าไม่ยินดีในความทุกข์ของข้า?”
ถาวจวินหลันถูกย้อนถามจนเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นนางถึงส่ายหน้า “สองอย่างแรกข้ารู้สึกเช่นนั้น แต่อย่างอื่นข้าไม่ได้รู้สึก” เป็นเช่นนั้นจริง นางคิดแบบสองอย่างแรกจริง แต่นางไม่เคยสะใจในความทุกข์ของคนอื่น นางแค่คิดว่ากู้ซีมีชีวิตน่ารันทดเท่านั้นเอง จึงได้คิดอยากดูแลกู้ซีให้มากเสียหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนั้นกู้ซีจะฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังเอาไว้นานแล้ว จนเรื่องราวดำเนินมาถึงวันนี้
แม้ว่าถาวจวินหลันจะพูดความจริงอย่างเปิดเผยจริงใจ แต่เห็นชัดว่ากู้ซีไม่เชื่อ แต่แค้นหัวเราะอย่างดูถูก สุดท้ายนางก็เชิดหน้าขึ้น “เจ้าสะใจไปเถิด แต่ถ้าเจ้าหวังว่าข้าจะประจบเจ้าเพียงเพราะข้าสำนึกผิด ก็คงต้องผิดหวังแล้ว”
ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ “ต่อให้เจ้าทำเช่นนั้นจริง ข้าก็ไม่เคยคิดจะให้อภัยเจ้า”
กู้ซีถูกพูดย้อนจนโกรธขึ้ง
“เจ้าเคยคิดถึงพ่อแม่ของเจ้าบ้างหรือไม่? กู้ซี” ถาวจวินหลันนั่งลง เลิกคิ้วมองกู้ซี “เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อวานนี้กู้อวี่จื๋อยื่นฎีกาขอลาออกจากตำแหน่งไปใช้ชีวิตบั้นปลาย ส่วนพี่ชายของเจ้าก็ขอกลับมาดูแลผู้เฒ่าทั้งสอง”
กู้ซีไม่รู้เรื่องนี้ นางตกใจจนอ้าปากค้าง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ย้อนถามเสียงเบา “เป็นไปได้อย่างไร?”
“เจ้าทำเช่นนี้ต่อไป ก็มีแต่นำพามหันตภัยมาสู่ตระกูลกู้ นี่เป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย” ถาวจวินหลันช่วยวิเคราะห์แทนกู้ซีนิ่งๆ “เมื่อเทียบกับทั้งตระกูลกู้แล้ว กู้อวี่จื๋อยังคาดหวังจะข้องเกี่ยวกับเจ้าอยู่อีกหรือ? ท่านพ่อของเจ้าป็นคนฉลาด และมองสถานการณ์อย่างแตกฉาน เขาย่อมรู้ว่าจะรักษาตระกูลกู้ไว้อย่างไร”
กู้ซีเม้มปากแน่น
“น่าเสียดายที่เจ้าเหมือนกับแม่ของเจ้า” ถาวจวินหลันถอนหายใจด้วยเสียดายเล็กน้อย “หากวันข้างหน้ากู้อวี่จื๋อตายไป เกรงว่าตระกูลกู้คงล่มสลายไปอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเจ้าเป็นหวงไท่เฟย หรือพระพันปีหลวงก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องเช่นนี้ได้ กู้ซี เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”
”ไม่ ข้าจะนำความรุ่งเรืองมาให้ตระกูลกู้!” กู้ซีคล้ายถูกเรื่องนี้แทงใจ ถึงได้ตะโกนลั่น
“ไม่มีทาง” ถาวจวินหลันส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “ไม่เชื่อก็ลองดูเองเถิด ยังไงเจ้าก็ไม่ตายง่ายๆ หลังจากนี้ยังมีเวลาให้ดูอีกมาก”
ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ พูดเรื่องโหดร้ายออกมา
กู้ซีตัวสั่นสะท้าน ฉับพลันก็นึกถึงนางกำนัลชราผมขาวโพลนที่เคยพบเห็นโดยบังเอิญ ท่าทีของนางกำนัลคนนั้นดูซูบโทรมและเหนื่อยล้า ไม่ว่าจะทำอะไรก็เชื่องช้า ถูกคนด่าว่า แต่นางเหมือนชินไปเสียแล้ว ท่าทีนิ่งเฉยเช่นนั้น ความโดดเดี่ยวเช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจทัดทานได้
กู้ซีไม่อยากกลายเป็นคนเช่นนั้น ใช้ชีวิตเช่นนั้น แม้นางจะเป็นไท่เฟย ถึงไม่ขาดเรื่องกินเรื่องนอน แต่…จะเทียบกับตอนนี้ได้อย่างไร?
ไม่ได้ ไม่ได้ นางส่ายหน้า ในใจนั้นพูดสองคำนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“น่าเสียดาย ตอนนี้ฮ่องเต้เบื่อเจ้าเสียแล้ว” ถาวจวินหลันอมยิ้มพูดเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นมา “ฮ่องเต้หลงชอบสิ่งสดใหม่ ไฉนเลยจะยังย้อนกลับมาหารักเก่า?”
เรื่องที่ฮ่องเต้อุปถัมภ์นางกำนัลเล็กๆ ย่อมไม่มีทางปิดบังจนมิดได้ ภายในวังหลวงมีหูมีตามากมาย ความส่วนตัวนั้นไม่มีอยู่จริง โดยเฉพาะฮ่องเต้
“ไม่ ฮ่องเต้ไม่มีทางทิ้งข้า” จู่ๆ กู้ซีก็หัวเราะลั่น มองถาวจวินหลันอย่างเย้ยหยัน “ก็เพียงชอบของแปลกใหม่เท่านั้น ไม่พ้นสามวันฮ่องเต้ต้องกลับมาหาข้าเป็นแน่”
กู้ซีพูดอย่างมั่นใจจนถาวจวินหลันเริ่มสงสัย แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ยิ้มบางๆ “เช่นนั้นพวกเราก็มารอดูเถิด”
หลังออกมาจากวังของกู้ซี ถาวจวินหลันก็นึกย้อนคำพูดของนางขึ้นมา ยิ่งนึกย้อนกลับไปก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ จึงตัดสินใจสั่งหงหลัว “จับตาดูทางนี้ให้ดี หากมีอะไรผิดปกติให้กลับมารายงานทันที”
เมื่อกลับมาถึงวังตวนเปิ่น ถาวจวินหลันก็เรียกโจวอี้มาพบ ตอนนี้นางรู้ความสัมพันธ์ของโจวอีกับขันทีเป่าฉวนแล้ว ดังนั้นจึงขอให้โจวอี้ไปส่งข่าวให้เขาทราบ “วานเจ้าไปบอกเป่าฉวนกงกง ว่าให้เขาช่วยสังเกตเวลาที่ฮ่องเต้กับจวงเฟยอยู่ด้วยกัน พวกเขาทั้งสองมีอะไรผิดปกติหรือไม่”
โจวอี้เป็นคนสุขุม พอได้ยินก็ไม่ถามอะไรอีก พอรับคำแล้วก็เดินออกไปทันที
ถาวจวินหลันเรียกเขาเอาไว้ “พิธีศพของเจียงซื่อเป็นอย่างไรบ้าง? เหมาะสมหรือไม่? คนพอหรือไม่? ถ้าไม่พอก็บอกข้า นางจากไปแล้ว แม้ทำเรื่องผิดมามาก ก็ต้องจัดพิธีให้นางอย่างสมฐานะ หากวันข้างหน้าเซิ่นเอ๋อร์รู้เข้า เขาจะได้ไม่สงสารเกินไป”
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทำเช่นนี้ยังเป็นการเพิ่มหน้าตาให้เซิ่นเอ๋อร์ได้ด้วย
โจวอี้พยักหน้า รับคำอีกครั้ง เพียงแค่พูดออกมาว่า “พระชายาโปรดวางพระทัย”
ถาวจวินหลันหัวเราะ “ในเมื่อมอบให้เจ้า พวกเราย่อมต้องวางใจ ข้าเพียงแค่ถามดูเท่านั้น เจ้าอย่าคิดมากไปเลย”
ส่งโจวอี้ออกไป ถาวจวินหลันก็เรียกเซิ่นเอ๋อร์เข้ามา เซิ่นเอ๋อร์ยังกลัวคนแปลกหน้าอยู่บ้าง หน้าตายังแฝงไว้ด้วยความขลาดกลัว สิ่งนี้ผิดแผกจากซวนเอ๋อร์อย่างยิ่ง ถาวจวินหลันเห็นแล้วยังต้องลอบถอนหายใจ อดรู้สึกผิดไม่ได้ นางทำให้เขาสูญเสียมารดาเสียแล้ว ตอนแรกยังเป็นคนออกความคิดให้ไทเฮาเอาเขาไปเลี้ยงดู…ไม่รู้ว่าต่อไปเขาโตขึ้นจะโทษนางหรือไม่?
แต่นี่ก็เป็นเรื่องในอนาคต ตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือสงครามยืดเยื้อระหว่างฮองเฮากับตระกูลหวัง