เพียงแค่มองแววขบขันของอี้กุ้ยเฟย ถาวจวินหลันก็รู้ว่าวิธีของตนเองได้ผล นางต้องทำเช่นนี้ก็เพราะนางต้องการดึงอี้กุ้ยเฟยและองค์ชายเจ็ดมาเป็นพวก ตอนนี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไปกะทันหัน แม้บอกว่าหลี่เย่เป็นผู้นำคนต่อไป แต่ก็ยังรับรองไม่ได้ว่าพี่น้องของเขาจะสร้างเรื่องเพื่อแย่งอำนาจอีกหรือไม่
ปลอบประโลมเป็นวิธีที่ดีที่สุด นางไม่กังวลเรื่ององค์ชายเจ็ด แต่นางกังวลว่าอี้กุ้ยเฟยจะสร้างเรื่อง ดังนั้นนางจึงตัดสินใจเสนอข้อดีที่อี้กุ้ยเฟยไม่มีทางปฏิเสธได้ นั่นก็คือตามลูกชายออกจากวัง มีใครอยากทนลำบากในวังหลวงต่อเล่า? แม้ในวังไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ ชื่อเสียงหน้าตาก็มี แต่ใครชอบรสชาติความโดดเดี่ยวอย่างนั้นหรือ?
เห็นชัดว่าอี้กุ้ยเฟยติดกับแล้ว “องค์รัชทายาทรอบคอบเช่นนี้ แล้วยังยอมให้ความชอบเช่นนี้ พวกเราสองแม่ลูกคงไม่อาจทดแทนบุญคุณได้ หลังจากนี้หากอะไรต้องการใช้พวกเราสองแม่ลูก ก็ขอแค่องค์รัชทายาทและชายารัชทายาทบอกมาเท่านั้น”
อี้กุ้ยเฟยพูดเช่นนี้ถาวจวินหลันย่อมไม่เกรงใจ พยักหน้าในทันที “ถ้ามีวันนั้นจริง หม่อมฉันย่อมไม่เกรงใจอี้กุ้ยเฟยเป็นแน่เพคะ”
มีข้อเสนอให้ออกจากวังหลวงไปเสพสุขพร้อมลูกชาย สำหรับในอนาคตจะต้องรับมือกับเรื่องที่ต้องออกแรง อี้กุ้ยเฟยก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่กลับพูดอย่างจริงใจว่า “พูดไปแล้ว หลังจากนี้เรื่องการแต่งงานของเจ้าเจ็ด คงต้องให้พระชายาองค์รัชทายาทช่วยดูแล้ว”
ด้วยถาวจวินหลันต้องได้ขึ้นเป็นฮองเฮาคนต่อไป ดังนั้นอี้กุ้ยเฟยจึงปูทางไว้ก่อนล่วงหน้า ไม่ว่าถาวจวินหลันจะช่วยมากน้อยเท่าไร แค่ประทานสมรสให้ก็ถือเป็นหน้าเป็นตาแล้วเช่นกัน!
อี้กุ้ยเฟยก็ฉลาดไม่ได้พูดถึงกู้ซี แท้จริงแล้วฮ่องเต้สิ้นพระชนม์เฉียบพลันด้วยสาเหตุอะไร แม้ต่อหน้าไม่กล้าพูด แต่ลับหลังแล้วใครไม่คาดเดา? ตอนแรกฮ่องเต้เกิดเรื่องขึ้นตอนอยู่กับกู้ซี แล้วกู้ซียัง ‘ยอมตายเพราะรัก’ บอกว่าไม่มีเบื้องหลัง ใครจะเชื่อ?
คนที่ใช้ชีวิตในวังหลวงมาหลายปี มีใครไม่เข้าใจบ้าง?
พวกนางพูดคุยกันครู่หนึ่ง อี้กุ้ยเฟยถึงได้ประจบให้ถาวจวินหลันกลับไปก่อน อย่างไรถาวจวินหลันก็กำลังอุ้มท้อง คงให้ทนอยู่ต่อแบบนี้ไม่ได้
ส่วนทางหลี่เย่ หลังจากบรรดาขุนนางใหญ่พูดคุยปรึกษาเรื่องพิธีพระศพของฮ่องเต้จบแล้ว ก็เริ่มปรึกษาเรื่องการขึ้นครองราชย์ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี แต่ก็มีคนเห็นต่างเช่นกัน คิดว่าควรรอฝังฮ่องเต้ก่อน แล้วค่อยให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ มิเช่นนั้นคงไม่ค่อยเคารพฮ่องเต้พระองค์ก่อนนัก
ใช่แล้ว ตอนนี้เรียกฮ่องเต้กันว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อน
แต่ตอนที่ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ฮองเฮาก็จะต้องแต่งตั้งพร้อมกัน ดังนั้นต้องเขียนราชโองการเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า และความหมายของหลี่เย่ก็คือ ถึงเวลานั้นให้จัดการแต่งตั้งองค์รัชทายาทไปด้วยเลย
แต่เรื่องนี้ใช่ว่าทุกคนจะเห็นดีเห็นงามด้วย แม้แต่งตั้งองค์รัชทายาทเร็วเท่าไรยิ่งดี แต่นั่นก็ต้องเป็นกรณีที่ฮ่องเต้พระชนมายุมากแล้ว ตอนนี้หลี่เย่เพิ่งจะอายุเท่าไรกัน? และซวนเอ๋อร์ก็เป็นเพียงเด็กเท่านั้น คุณสมบัติเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ แล้วจะแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทได้อย่างไร?
ถาวจวินหลันกลับไม่รู้เรื่องนี้ มิเช่นนั้นนางต้องกล่อมหลี่เย่เป็นแน่ แต่งตั้งองค์รัชทายาทตอนนี้เร็วเกินไปจริงๆ
แต่ตอนนี้นางไม่มีเรี่ยวแรงจะไปถามเรื่องเหล่านี้ ถึงนางขอพึ่งความช่วยเหลือจากอี้กุ้ยเฟยเรื่องพิธีฝังพระศพของฮ่องเต้ได้ แต่นางเป็นชายารัชทายาทจะนั่งอยู่เฉยๆ ได้อย่างไรเล่า?
กลางดึกหลี่เย่ยุ่งเรื่องกับบางเรื่อง จึงส่งโจวอี้มาบอกว่ามีธุระรั้งตัวเอาไว้ เกรงว่าคงกลับดึกเล็กน้อย
ตอนแรกถาวจวินหลันไม่ได้สนใจเรื่องนี้ คิดว่ามีเรื่องอะไรมาขัดขาหลี่เย่เท่านั้น แต่พอใกล้เวลานอนแล้วหลี่เย่ก็ยังไม่กลับมา นางจึงเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาบ้างแล้ว
“หงหลัว ส่งขันทีน้อยไปดูที” ถาวจวินหลันออกคำสั่ง ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เอาแต่คิดถึงฮองเฮาวนอยู่ในหัว นางก็เริ่มรู้สึกว่าฮองเฮาเงียบไปนานจนน่าสงสัย
หงหลัวเห็นถาวจวินหลันกังวลก็ไม่กล้าล่าช้า รีบสั่งคนออกไป พลางเอ่ยกล่อมถาวจวินหลันเสียงเบา “หรือพระชายาขึ้นไปนอนเตียงอุ่นๆ ก่อนเพคะ? ด้านนอกหิมะตกแล้ว อีกครู่ลมเย็นก็จะพัดเข้ามาเพคะ”
ถาวจวินหลันยังไม่สบายใจ คิดไปมาจึงถามว่า “เด็กๆ นอนแล้วหรือยัง? ถ้ายังไม่นอนก็อุ้มให้มาเล่นที่นี่เถิด“
หงหลัวครุ่นคิดก็เห็นด้วย อย่างน้อยอาจทำให้ถาวจวินหลันเลิกเป็นห่วงหลี่เย่ได้ จึงไปอุ้มเด็กๆ มาด้วยตนเอง
มาถึงหน้าประตู ก็ได้ยินเสียงถาวจวินหลันพูดว่า “หากเซิ่นเอ๋อร์ยังไม่นอนก็อุ้มมาพร้อมกันเลย”
หงหลัวรับคำ แต่กลับลอบถอนหายใจ ให้เอาเซิ่นเอ๋อร์มาด้วยเพราะอะไรกัน? แต่นางก็รู้ดีว่าถาวจวินหลันทำเช่นนี้เพราะไม่อยากให้เซิ่นเอ๋อร์รู้สึกว่าตนเองถูกกีดกัน อีกทั้งทำเช่นนี้ยังช่วยสร้างความสนิทสนมระหว่างเด็กๆ ด้วยกันเอง
หมิงจูหลับจนตื่นขึ้นมาแล้ว ส่วนซวนเอ๋อร์กับเซิ่นเอ๋อร์กำลังเตรียมเข้านอน
เด็กทั้งสามคนถูกอุ้มเข้ามา หมิงจูเห็นถาวจวินหลันก็รีบวิ่งเข้ามาหา ถอดรองเท้าเองแล้วปีนขึ้นบนเตียง หลังจากขึ้นไปแล้วก็เบียดเข้าหาถาวจวินหลัน หัวเราะดีใจพูดว่า “ข้านอนกับท่านแม่”
ถาวจวินหลันกอดหมิงจูเอาไว้ แล้วกวักมือเรียกเด็กอีกสองคน “มา รีบมาเร็ว”
ซวนเอ๋อร์มองเซิ่นเอ๋อร์ทีหนึ่ง สงบเสงี่ยมไม่ได้ซุกซน ปีนขึ้นเตียงอย่างเคร่งขรึม จากนั้นก็ไปนอนอีกด้านของถาวจวินหลัน
เซิ่นเอ๋อร์ยังดูลังเล แต่แม่นมก็อุ้มเขาขึ้นไป
ถาวจวินหลันพูดยิ้มๆ ว่า “เจ้านั่งติดกับน้องสาว หมิงจู เจ้าจับพี่รองของเจ้าเอาไว้ ให้เขาเข้าไปในผ้าห่มด้วย”
“ท่านแม่ เสด็จปู่ตายแล้วหรือ?“ จู่ๆ ซวนเอ๋อร์ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ตายแล้วก็มองอะไรไม่เห็นแล้วใช่หรือไม่? เหมือนกับเสด็จทวด?”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “อืม แต่เจ้าห้ามพูดแบบนี้อีก ไปข้างนอกจะต้องพูดว่าฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ พูดว่าตายไม่ได้ จำเอาไว้”
หลังจากเรื่องครั้งที่แล้ว ถาวจวินหลันก็ไม่อยากเห็นซวนเอ๋อร์สร้างเรื่องอีก คิดอยู่เสมอว่าเขาน่าจะรู้เรื่องทุกอย่าง
ซวนเอ๋อร์นิ่งเงียบเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แล้วถึงได้พยักหน้าอย่างจริงจังว่า “เข้าใจแล้วขอรับ”
มองดูท่าทีแสร้งทำเป็นผู้ใหญ่ของซวนเอ๋อร์ ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะหยอกเขาเล่นไม่ได้
ซวนเอ๋อร์หัวเราะร่วน บิดไปมาเพื่อหลบหลีก รอจนถาวจวินหลันหยุดมือเขาถึงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านแม่อย่าขยับตัวเยอะ เดี๋ยวน้องชายจะอึดอัด”
หมิงจูเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนยื่นฝ่ามือเล็กๆ ออกมาลูบท้องของถาวจวินหลัน ทั้งแปลกใจและระมัดระวัง
ซวนเอ๋อร์ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน
กลับเป็นเซิ่นเอ๋อรที่มองดูอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ยังไม่กล้า ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจ แต่กลับดึงเซิ่นเอ๋อร์เข้ามาให้เขาลูบท้องของนาง
นางทำใจโหดร้ายกับเด็กไม่ได้จริงๆ
ขณะที่กำลังพูดคุยกับเด็กๆ อยู่นั่นเอง ปี้เจียวก็รีบวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามา สีหน้าไม่น่ามอง “สถานการณ์ไม่ดีแล้วเพคะ”
ถาวจวินหลันเงยหน้าขึ้นมา แสดงท่าทีให้หงหลัวพาเด็กๆ ออกไป “เกิดอะไรขึ้น”
“ด้านนอกวังตวนเปิ่นมีข้ารับใช้กลุ่มหนึ่ง บอกว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงเรียนเชิญ” ปี้เจียวหน้าซีดเล็กน้อย “แต่คนเหล่านั้นดูแล้วเไม่เหมือนมาเชิญคนเพคะ แต่มาบุกทำลาย ขันทีที่เฝ้าประตูไม่ยอมเปิดประตูให้ พวกเขาน่ากลัวมากเพคะ”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็ต้องขมวดคิ้วทันที “ข้าจะไปดู”
ถาวจวินหลันรีบใส่เสื้อผ้า แล้วเดินออกไปดู ข้างนอกประตูสว่างจ้า เห็นชัดว่ามีโคมไฟจำนวนไม่น้อย ข้างนอกยังมีเสียงออกแรงตบประตูเสียงดัง
ท่าทีเช่นนี้เหมือนว่าไม่ได้มาเชิญคนออกไปจริง แต่มาลักพาตัวต่างหาก
ขณะที่ถาวจวินหลันกำลังตะลึงอยู่นั่นเอง ข้างนอกก็มีคนตะโกนขึ้นมา “ชายารัชทายาท ฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงประชวร ขอให้ท่านไปดูด้วย!”
ถาวจวินหลันหรี่ตาลง ตะเบ็งเสียงพูดว่า “ฮองเฮาประชวร ทำไมพวกเจ้าไม่ไปกรมหมอหลวง มาเสียเวลาที่นี่ทำไม?”
ด้านนอกเงียบไป ผ่านไปครู่ใหญ่ก็มีคนเคาะประตูอีกครั้ง “ชายารัชทายาทไปดูเองเถิด ฮองเฮาเหนียงเหนียงประชวรหนักจริงๆ!”
หากข้ารับใช้เหล่านี้แสร้งทำได้เนียนกว่านี้ ก็อาจจะหลอกนางได้จริงๆ แต่น่าเสียดาย…
อีกฝ่ายแสดงเป้าหมายชัดเจน ไม่ได้มีท่าทีเสแสร้งแม้แต่น้อย นั่นหมายคามว่าอีกฝ่ายมั่นใจมากอย่างนั้นหรือ?
ถาวจวินหลันเป็นห่วงหลี่เย่ คิดไปว่าวันนี้หลี่เย่ยังไม่กลับมา อาจเป็นเพราะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่
พอคิดเช่นนี้นางก็เริ่มเครียด บีบมือของหงหลังเอาไว้แน่น
หงหลัวเจ็บจนร้อง “เป็นอะไรหรือเพคะ พระชายา?”
ถาวจวินหลันถึงได้สติกลับมา รีบปล่อยมือออก พลางพูดเสียงเบา “วังตวนเปิ่นของพวกเรามีข้ารับใช้กี่คน?”
หงหลัวครุ่นคิดอย่างละเอียด “ตอนนี้ไม่มีนางกำนัลทั่วไป แต่ถ้านับรวมกันแล้ว อย่างน้อยก็ประมาณห้าหกสิบคนเพคะ” เฉพาะนางกำนัลที่อยู่ข้างกายถาวจวินหลันก็มีสิบคนแล้ว ซวนเอ๋อร์ หมิงจูและเซิ่นเอ๋อร์ยังมีข้างกายอีกคนละแปดคน บวกกับข้างกายจิ้งหลิงอีก ห้าหกสิบคนถือเป็นจำนวนที่ค่อนข้างแม่นยำ
“เรียกมาให้หมด แล้วค่อยเปิดประตู” ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ “ให้พวกนางหยิบสิ่งของป้องกันตัวมาด้วย ขันทีอยู่แนวหน้า นางกำนัลอยู่แนวหลัง”
ตอนนี้ไม่อาจเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองได้แล้ว อีกทั้งนางยังไม่รู้สถานการณ์ของหลี่เย่ นางยิ่งไม่สามารถหดหัวอยู่แต่ในวังตวนเปิ่นได้ ต่อให้ต้องฆ่าแกงก็ไม่หวั่น
แม้นางกำนัลและขันทีไม่อาจเทียบกับทหารยามได้ แต่ก็ยังพอเฝ้าประตูได้บ้าง ประตูใหญ่ขนาดนี้อีกฝ่ายคิดจะเข้ามาก็ใช่ว่าจะได้เปรียบ แต่เพื่อความปลอดภัย นางยังเลือกจะปีนบันไดขึ้นไปดูสถานการณ์บนกำแพงก่อน
แต่ข้ารับใช้กลับมารายงานด้วยหน้าซีดเผือด สั่นจนฟันกระทบกันเบาๆ “ไม่ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้างนอกมีทหารยามในวังด้วย! กระหม่อมเห็นแสงสะท้อนของดาบ! เกรงว่าคงรอให้พวกเราเปิดประตูแล้วบุกเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ!”
พอได้ยินเช่นนี้ บรรดาข้ารับใช้ก็มีสีหน้าหวาดกลัว อย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็เพียงแค่ทำงานไปวันๆ ไม่เคยได้สัมผัสมีดดาบมาก่อน ยิ่งไม่เคยเรียนวิชาต่อสู้อะไรมาด้วย พอมาเจอกับทหารยามเช่นนี้ก็เป็นเพียงไข่กระทบหินเท่านั้น มีใครไม่กลัวบ้าง? หากไม่กลัวคงแปลกคนนัก