ตราบจนท้องฟ้าเริ่มสว่าง บรรดาสตรีในวังหลวงก็เริ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ด้วยเพราะรู้สึกปลอดภัย ห่าฝนโลหิตคืนวานนี้ได้ผ่านพ้นไปหมดแล้ว แม้แต่ถาวจวินหลันก็สบายใจเช่นกัน
ถาวจวินหลันเบนหน้าเอ่ยสั่ง “ให้ห้องเครื่องไปทำอาหารร้อนๆ มาสักหน่อย” รับลมหนาวมาทั้งคืนตอนนี้ย่อมต้องกินของร้อนถึงจะดีกับท้องไส้ ไม่เพียงแค่คนอื่น แม้แต่ตัวนางเองก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว
หงหลัวโน้มน้าวถาวจวินหลันเสียงเบา “พระชายาบรรทมหน่อยดีหรือไม่เพคะ? เกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหวนะเพคะ” ทรมานมาทั้งคืน แล้วได้งีบเพียงชั่วครู่ ไม่ว่าใครก็คงทนไม่ไหวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถาวจวินหลันที่ตั้งครรภ์อยู่ด้วย หากเป็นอะไรคงเรื่องใหญ่
ถาวจวินหลันกลับปฏิเสธ เพียงแค่พูดเรียบๆ ว่า “เจ้าจะให้ข้านอนในเวลานี้ได้อย่างไร?” มือกลับอดลูบท้องของตนเองไม่ได้ ในใจหวังว่า เด็กในท้องของนางจะแข็งแรงเข้มแข็งไปพร้อมกับนาง ตอนนี้นางยังพักและทิ้งเรื่องยุ่งเหยิงไม่ได้ ไม่ใช่ว่านางไม่สงสารเด็กคนนี้ ขอให้สวรรค์ช่วยเหลือนางครั้งนี้ อย่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกเลย…
หงหลัวได้ยินเช่นนี้ แม้อยากโน้มน้าวก็พูดไม่ออก ทุกคนย่อมรู้หนักเบา และจนปัญญาเช่นเดียวกัน แม้แต่ตัวถาวซินหลันเองก็ยังไม่เอ่ยปากเร่งให้ถาวจวินหลันไปพักผ่อน
เฝ้าดูมาคืนหนึ่งแล้ว มาจนถึงตอนนี้จะทิ้งไปได้อย่างไร? อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาสำคัญมากที่สุด
หลี่เย่เคยพูดไว้ว่า หลังฟ้าสางแล้วจะมีกำลังเสริมเข้ามาช่วย ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างก็หมายความว่าอีกไม่นานกำลังเสริมก็จะมาแล้ว ขอเพียงมีทัพเสริมเข้ามาช่วย ทหารปฏิวัติกลางเมืองเหล่านี้ย่อมหมดโอกาสโลดเต้นได้อีก หลี่เย่เองก็ปลอดภัยเช่นกัน
ถาวจวินหลันตั้งตารอคอย ไม่นานขันทีในชุดเขียวคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามา ก่อนคุกเข่ากับพื้นรายงานเสียงดังว่า “องค์รัชทายาทกำราบกลุ่มกบฏสำเร็จ และจับเป็นจวงอ๋องได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
จับเป็นจวงอ๋อง! ข่าวนี้เหมือนกับยาชูกำลังที่ฉีดอัดทุกคนให้ตื่นเต้นขึ้นมา ต่อให้มีความคิดเป็นอื่น แต่ตอนนี้ย่อมไม้กล้าแสดงออกมาแน่นอน
แต่คนส่วนมากก็ยังดีใจ อย่างไรกำราบกลุ่มกบฏได้ ครอบครัวของพวกนางก็ปลอดภัย เท่านี้พวกนางก็ออกจากวังได้แล้ว หลังจากนี้ได้กลับไปใช้ชีวิตสงบสุข ไม่ให้ดีใจได้อย่างไร?
ถาวจวินหลันได้ยินก็ยินดีเช่นกัน นางหัวเราะพลางสั่งหงหลัวให้ตกรางวัลใหญ่กับขันทีน้อยที่มารายงานข่าว ก่อนพูดอีกว่า “ตอนนี้คงกำลังเก็บกวาดที่เหลือ ขอฮูหยินทุกท่านอดทนรออีกหน่อย พอออกจากวังได้ ข้าจะให้คนไปส่งพวกท่าน”
มาจนถึงขั้นนี้ แม้แต่กลุ่มกบฏก็จัดการได้แล้ว ถาวจวินหลันย่อมได้ขึ้นเป็นฮองเฮาอย่างไม่ต้องสงสัย และตอนนี้ทุกคนก็ทิ้งความกังวลไปแล้ว จึงมีเวลาไปคิดเรื่องอื่นอีก อย่างเช่นประจบเอาใจ
คนที่หัวไวก็รีบหันไปแสดงความยินดีกับถาวจวินหลัน “ยินดีกับชายารัชทายาทเพคะ ตอนนี้องค์รัชทายาทปราบกลุ่มกบฏได้แล้ว หลังจากนี้บ้านเมืองก็สงบแล้วเพคะ”
คนมากมายรีบเออออตาม ความอึมครึมพลันมลายหายวับไป เปลี่ยนเป็นความครึกครื้นมาแทน แม้แต่ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการอดนอนมาหนึ่งคืนก็ไม่เหลือ สีหน้ามีแต่ความยินดียิ่ง
ยังมีคนเป็นห่วงสุขภาพของถาวจวินหลัน “พระชายาทรงพระครรภ์แล้วยังอดนอน ตอนนี้รีบไปพักผ่อนเถิดเพคะ พวกเรารออยู่ที่นี่ได้ อย่าคิดมากไปเลยเพคะ”
ทุกคนล้วนพูดเซ็งแซ่เห็นด้วยว่าถาวจวินหลันควรไปพักผ่อนได้แล้ว
ถาวจวินหลันไม่ได้ปฏิเสธ ตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องเฝ้าดูอีก นางไม่อยากเอาชีวิตของลูกและตนเองไปเสี่ยงอันตรายเช่นกัน จึงพยักหน้ารับคำ พูดยิ้มๆ ว่า “ขอบใจฮูหยินทุกท่าน เช่นนั้นข้าขอตัวไปก่อน หากทุกท่านมีอะไรก็ถามอี้กุ้ยเฟย นางกำนัลใหญ่ของข้า หรือหงหลัวเถิด”
สิ้นเสียง ถาวจวินหลันก็หันไปมองหงหลัว “เจ้าคอยอยู่ที่นี่”
หงหลัวรับคำอย่างหนักแน่น พลางกำชับปี้เจียงเล็กน้อย “ดูแลพระชายาให้ดี เสวยข้าวต้มก่อนบรรทมก็ยังไม่สาย” มิเช่นนั้นร่างกายเย็นเชียบทั้งคืน ทั้งหิวทั้งหนาวจะหลับสบายได้อย่างไร
ปี้เจียวรับคำ ยิ้มพลางพูดว่า “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” พูดจบก็ประคองถาวจวินหลันเดินกลับไปยังวังตวนเปิ่นอย่างสบายใจ
เพียงชั่วข้ามคืน พอถาวจวินหลันได้เห็นพื้นบริเวณหน้าวังตวนเปิ่นอีกครั้ง พื้นที่ว่างตรงนั้นก็ถูกล้างจนไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้แล้ว แม้แต่ในอากาศก็เหลือเพียงกลิ่นของเหมันตฤดูเท่านั้น
ถาวจวินหลันถอนสายตา มือลูบไปมาบนท้องของตนเองเบาๆ พยายามไม่ให้หวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนนั้นอีก
แต่ต้องชมว่าองค์ชายเจ็ดหาญกล้ามากนัก ปีนี้เขาเพิ่งอายุเท่าไรกัน? แม้แต่ยี่สิบก็ยังไม่ถึง อี้กุ้ยเฟยเลี้ยงลูกชายได้ดีจริงๆ
มิน่าเล่า ตอนแรกอี้กุ้ยเฟยถึงได้คิดเช่นนั้น คิดจะหนุนองค์ชายเจ็ดให้ขึ้นตำแหน่ง แต่บางทีหากองค์ชายเจ็ดเกิดเร็วกว่านี้สักหน่อย บางทีคงเทียบกับพวกพี่ชายของเขาได้บ้าง แต่น่าเสียดาย..
เช่นนี้ก็ดี ช่วยลดทอนศัตรูน่ากลัว และเพิ่มตัวช่วยให้หลี่เย่
นางยังฉุกคิดได้อีกอย่าง แต่นางกลับปฏิเสธเรื่องนั้นออกจากหัว นางคิดว่าองค์ชายไม่น่าใช่คนเช่นนั้น และไม่น่าจะทำเรื่องเช่นนั้น นางยังจำได้ภาพเหตุการณ์ที่องค์ชายเจ็ดมาช่วยไว้ได้
หลังจากเข้าห้องไปแล้ว นางก็ถือโอกาสตอนนี้ทานข้าวต้ม แม่นมก็พาเด็กๆ เข้ามาใกล้ถาวจวินหลันครู่หนึ่ง
แม้ว่าซวนเอ๋อร์กับหมิงจูมีท่าทางงัวเงีย แต่พอเห็นถาวจวินหลันก็ตาเป็นประกาย รีบพุ่งเข้ามา โดยเฉพาะซวนเอ๋อร์ เขามองพิจารณาถาวจวินหลันทุกซอกทุกมุม เห็นว่าถาวจวินหลันไม่ได้รับบาดเจ็บ ดวงตาก็ยิ่งเป็นประกาย หัวเราะจนหยุดไม่ได้
พอเห็นซวนเอ๋อร์เป็นเช่นนั้น ถาวจวินหลันก็หัวเราะพลางจิ้มปลายจมูกของเขา ก่อนป้อนเกี๊ยวใสให้เขาชิ้นหนึ่ง
หมิงจูเห็นดังนั้นก็ไม่ยอม รีบพูดขอทันที “ข้าจะเอาด้วยๆ”
ถาวจวินหลันจึงต้องป้อนให้หมิงจูอีกชิ้น ก่อนมองไปทางเซิ่นเอ๋อร์ด้วยสายตาแย้มยิ้ม ถามเสียงอ่อนโยนว่า “เซิ่นเอ๋อร์อยากกินบ้างหรือไม่?”
เซิ่นเอ๋อร์อิงแอบอยู่ในอ้อมอกของแม่นม คล้ายว่ายังไม่ตื่นดี
แม่นมประหม่าเล็กน้อย รีบสะกิดเซิ่นเอ๋อร์เบาๆ ถาวจวินหลันเห็นดังนั้นจึงได้เอ่ยห้าม “เขายังเล็กนัก” สุดท้ายก็ไม่ได้สนใจอีก แต่โบกมือไปมา “พาออกไปเถิด ข้าปวดหัวจะนอนแล้ว”
ซวนเอ๋อร์โตแล้ว จึงเดินกลับไปอย่างเชื่อฟัง แต่หมิงจูกลับไม่ยอม นางอยากนอนกับถาวจวินหลันให้ได้
ถาวจวินหลันก็ได้แต่ตามใจนาง
พอหลี่เย่กลับมายังวังตวนเปิ่นด้วยท่าทีอิดโรย ถาวจวินหลันกับหมิงจูสองแม่ลูกกำลังนอนอย่างมีความสุข หลี่เย่เห็นแล้วก็สงบใจ ก่อนหัวเราะอย่างเอ็นดู ก้าวขึ้นไปช่วยกระชับผ้าห่มให้ทั้งสองอย่างเบามือเบาเท้า
ปี้เจียวกระซิบถามหลี่เย่ “องค์รัชทายาทจะบรรทมหรือไม่เพคะ?”
หลี่เย่ลังเลครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ส่ายหน้า “ไม่แล้ว หาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ข้า วันนี้มีเรื่องต้องทำอีกมาก” เรื่องอื่นไม่เท่าไร แต่ยังต้องจัดการเรื่องฮองเฮา แล้วไหนจะขุนนางใหญ่จอมกบฏทั้งหลายที่ร่วมมือกันในครั้งนี้ที่…รวมทั้งเรื่องอีกมากมายนัก
ปี้เจี้ยวไม่คิดจะโน้มน้าว เพียงหาเสื้อผ้ามาให้หลี่เย่เปลี่ยนอย่างคล่องแคล่ว ก่อนพูดว่า “บ่าวจะไปอุ่นข้าวต้มให้องค์รัชทายาทถ้วยหนึ่งเพคะ”
คราวนี้หลี่เย่ไม่ได้ปฏิเสธ แต่พยักหน้ารับคำ สุดท้ายก็ยืนมองอยู่หน้าเตียงครู่ใหญ่ แล้วถึงถอนหายใจ หมุนตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยท่าทีอาลัยอาวรณ์
พอทานข้าวต้มหมดแล้ว เขาถึงได้กำชับปี้เจียว “ดูแลพระชายาให้ดี อย่าให้นางเหนื่อยเกินไป บอกนางว่าข้าไม่เป็นไร อีกอย่าง ให้นางจัดการรวมพระสนมทั้งหลายไว้ที่เดียวกันจะดีที่สุด”
สตรีที่เคยปรนนิบัติฮ่องเต้เหล่านี้ มีบางส่วนที่จะต้องถูกฝังร่วมโลง ไม่ฝังร่วมโลง หลังจากนี้ก็ทำได้แค่ไปอยู่ใช้ชีวิตรอวันแก่ตายในตำหนักห่างไกลอันเงียบเหงา
แต่ตามขนบประเพณีแล้ว ต้องรอจนฮ่องเต้องค์ก่อนลงฝังไปในผืนดินสุสานหลวงก่อนถึงจะทำเช่นนี้ได้ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ หรือว่าฮ่องเต้องค์ก่อนจะถูกฝังลงสุสานหลวงก่อนกำหนด?
ปี้เจียวคาดเดาไปเอง แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรอีก หลังจากรับคำอย่างเคร่งครัดแล้วก็ข่มความสงสัยลงไปในก้นบึ้งหัวใจ
กลับเป็นหลี่เย่ที่พูดยืนยันการคาดเดาของปี้เจียว เขาพูดว่า “สองวันนี้จะมีคนมาวัดชุดพิธีให้พระชายา พวกเจ้าจับตาดูเสียหน่อย มีอะไรที่ต้องเตรียมก็ควรเริ่มเตรียมพร้อมได้แล้ว”
สำหรับการเตรียมพร้อมนี้ จะเพียงแค่เตรียมพร้อมเรื่องชุดพิธี หรือเตรียมพร้อมย้ายบ้านกลับไม่ได้พูดโดยละเอียด
ปี้เจียวคิดว่าเป็นอย่างหลังตามความเคยชิน จึงถ่ายทอดคำพูดนี้ให้ถาวจวินหลันฟัง ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะเบาๆ “ให้คนไปเก็บของ เตรียมย้ายออก”
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น บางทีหลี่เย่ไม่รีบ แต่บรรดาขุนนางใหญ่กลับร้อนใจแล้ว เพราะว่าแคว้นไม่อาจขาดผู้นำ และตอนนี้ยังมีอู่อ๋องอีกคนที่ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร หรือว่าการรีบขึ้นครองราชย์ไม่น่าสบายใจ?
ไม่เพียงแค่ขุนนางใหญ่ แม้แต่ตัวถาวจวินหลันเองก็คิดเช่นนี้ ยิ่งครองราชย์เร็วเท่าไร ก็ยิ่งลดทอนอุปสรรคเท่านั้น
ส่วนการย้ายวัง ฮองเฮาย่อมไม่อาจพักอาศัยอยู่ในวังของชายารัชทายาทได้
หลังจากนั้นอีกหลายวัน ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ก็ยุ่งวุ่นวาย ทุกวันจะได้พบหน้ากันนั้นแสนยากเย็น แต่ทุกครั้งที่ได้เจอหน้า พวกเขากลับไม่รู็สึกห่างเหิน แต่กลับรู้สึกใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม และผูกพันธ์กันขึ้นไปอีก หลังจากผ่านอุปสรรคทั้งหลายมาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของพวกเขาก็ไม่ได้เหินห่างเพียงเพราะความยุ่งเท่านี้
แต่ที่ยุ่งก็ต้องมีผลลัพธ์ ทางด้านถาวจวินหลันจัดการวังหลังใหม่อีกครั้ง กำจัดปลาที่เล็ดรอดจากแหได้ไม่น้อย แล้วยังหาตัวจิ้งเฟยพบอีกด้วย
ตอนที่เจอตัวจิ้งเฟยก็ได้กลายเป็นศพเย็นเฉียบไปแล้ว นางนอนแน่นิ่งอยู่ในบ่อน้ำแห้งแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าถูกโยนไว้ในนั้นตั้งแต่เมื่อไร