หลังจากรวมตัวกันแล้ว แม่นมฉินก็วาดแผนที่ขึ้นมา แสดงให้พวกเขาดูตลอดทั้งคืน พูดอธิบายว่า “หนานเจียงเป็นเมืองภูเขา ทั้งสี่ด้านล้อมรอบไปด้วยภูเขา เข้าภูเขาไปแล้วจึงจะเป็นเมืองหนานเจียง เพราะทั้งสี่ด้านมีเกราะป้องกัน ราชสำนักจึงยากจะโจมตีเข้าไปได้ นี่ก็เป็นสิ่งฮ่องเต้ทรงคิดอยู่ว่าจะให้หนานเจียงสู้รบกันเองภายใน จากนั้นก็อาศัยเหตุผลที่ราชสำนักจะให้การสนับสนุนอีกครั้ง
เจียงเป่ยแค่ได้ยินชื่อก็รู้ความหมายว่าอยู่ทางด้านเหนือของหนานเจียง พวกเราจะไปเจียงเป่ยได้ด้วยสองเส้นทาง เส้นทางแรกคือผ่านหนานเจียง แต่ว่าตรงกันนั้นมีภูเขาหลายลูกที่แบ่งแยกเหนือใต้ ด้วยเหตุนี้ต้องปีนขึ้นไปบนภูเขาเหล่านี้ ตอนนี้ชายแดนของเจียงเป่ยกันเจียงหนานล้วนมีคนเฝ้าอยู่ ไปจากทางเจียงหนาน จะถูกพบได้ง่าย”
นางปรับปรุงแผนที่ ชี้ไปยังเส้นทางอีกเส้นหนึ่ง “ที่นี่สามารถเข้าสู่เจียงเป่ยได้โดยตรง ชายแดนนั้นไม่มีคนเฝ้า เพราะลักษณะของภูเขาสูงชันมาก และยังมีป่าทึบที่ไม่ค่อยมีคนเข้าไปเดินนัก มีอากาศเป็นพิษและงูพิษโผล่ออกมาเป็นครั้งคราว คนทั่วไปนั้นเข้าไปไม่ได้
แต่งูพิษนั้นไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ ที่น่ากลัวคืออากาศที่เป็นพิษ ฉะนั้นตอนเข้าไปในภูเขาต้องเป็นเวลากลางวันตอนที่มีแสงแดดเท่านั้น แล้วต้องใส่หน้ากาก กินยาแก้พิษ หลังจากเข้าไปในภูเขาแล้ว เดินไปข้างหน้าประมาณสิบลี้ ก็สามารถเข้าสู่ดินแดนของเจียงเป่ย แต่เข้าสู่เจียงเป่ยแล้วจึงจะเป็นความอันตรายที่แท้จริง
เพราะว่าประชาชนของพวกเขาเป็นทหารทั้งหมด เมื่อเห็นคนนอกเข้ามาก็จะทำการโจมตีทันที พวกเขามีเวทมนตร์ ยากจะป้องกันเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นต้องเตือนทุกคน อย่าสัมผัสกับดอกไม้สีสันสวยงามอย่างเด็ดขาด เห็นสัตว์ป่าก็อย่าได้ไล่ล่า แมลงพิษ และพวกมดถ้าเดินผ่านใต้เท้า พยายามอย่าได้ไปเหยียบย่ำ ”
นิ้วมือของนางเลื่อนขึ้นไปข้างบน “ตรงนี้ เป็นเขตของหมอผี และเป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุดของเจียงเป่ย ด้วยเหตุนี้หลังจากเข้าไปในเจียงเป่ยแล้ว ต้องไปช่วยคนที่เขตหมอผี ก็ต้องปีนขึ้นไปบนเขาลูกนี้
หมอผีล้วนอาศัยอยู่บนภูเขา ในเขตหมอผีมีค่ายกล มีความคดเคี้ยวลดเลี้ยวมาก และมีม่านหมอก ฉะนั้นต้องมั่นใจว่าทุกคนต้องเดินทางไปพร้อมกัน และไม่มีการกระจายตัว ไม่เช่นนั้นละก็ หลงเข้าไปข้างในแล้วละก็อาศัยแค่ความสามารถของตัวเองก็ไม่สามารถเดินออกมาได้ ”
สุดท้าย นางเอ่ยกับอ๋องเว่ยอย่างระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งว่า “ยังมีจุดหนึ่งที่ต้องจำไว้ให้มั่น นั่นก็คือหากมีคนสูญเสียการควบคุมสติ อย่าได้เข้าใกล้หรือลองเรียกขานอย่างเด็ดขาด จำเป็นต้องออกห่างอย่างรวดเร็ว
เพราะคนที่ขาดสติก็คือคนที่ถูกหมอผีควบคุมร่าง อาจมีการลงมือฆ่า สถานการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
อ๋องเว่ยขมวดคิ้วขึ้นมา “ถ้าเป็นเช่นนี้ ถ้าขาดสติไปก็ไม่เท่ากับต้องทิ้งชีวิตเขาไปหรือ”
แม่นมฉินพูดว่า “นอกจากจะฆ่าหมอผีที่ควบคุมเขาเอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้น เขาก็ไร้ทางรอด”
“ไม่มีวิธีการอื่นหรือ”แน่นอนว่าอ๋องเว่ยย่อมไม่ยินดีจะทิ้งชีวิตของทหารไม่ว่าใครก็ตามอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะการปฏิบัติงานในครั้งนี้เป็นการช่วยเหลือคนโดยเป็นส่วนตัว
แม่นมฉินกล่าวว่า “ที่จริงคำสาปที่เลวทรามที่สุด ก็ย่อมมีโอกาสให้มีชีวิตรอด โอกาสนั้นก็คือการใช้ชีวิตแลกชีวิต”
“ชีวิตแลกด้วยชีวิต เช่นนั้นก็ยังต้องเสียสละชีวิตของคนหนึ่งคนอยู่ดี ”
“ใช่ แต่ความแปลกประหลาดของเวทมนตร์ ก็อยู่ที่ความตายเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน โอกาสรอดสามารถหาได้ทุกที คนทั่วไปทำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ข้าก็จะไม่อธิบายอย่างละเอียด แม้จะเป็นการเอาชีวิตแลกด้วยชีวิตก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ในช่วงเวลาคับขันนั้นทำไม่ได้ ฉะนั้นถ้าหากมีคนถูกควบคุม จำเป็นต้องทิ้งไว้ทันที จะได้ไม่ทำร้ายอีกหลายชีวิต”
ในเมื่อแม่นมฉินก็พูดเช่นนี้แล้ว คนอื่นที่เหลือไม่กังวลกับเรื่องนี้ เพราะครั้งนี้ก็นับว่าออกรบเช่นกัน แต่อ๋องเว่ยเป็นคนที่ทำงานอย่างสามารถพึ่งพิงได้ ต้องเข้าใจทุกเรื่อง ด้วยเหตุนี้จึงถามปัญหานี้กับแม่นมฉินตลอด
แม่นมฉินรู้สึกว่าความคิดของอ๋องเว่ยมีความอันตรายอยู่บ้าง เพราะการพยายามเข้าไปช่วยคนที่ถูกควบคุม อาจเป็นไปได้ว่าจะให้คนอีกมากต้องเดือดร้อน ฉะนั้น เอ่ยเตือนด้วยเสียงดุว่า “ท่านอ๋อง ท่านเป็นแม่ทัพในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ จะทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อนเพียงเพราะความใจอ่อนชั่วขณะไม่ได้อย่างเด็ดขาด”
แม่นมฉินพูดจาค่อนข้างอ่อนโยนตลอดมา แต่เสียงเข้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนต่างก็หันมามอง
อ๋องเว่ยกวาดมองด้วยสีหน้าเรียบๆแวบหนึ่ง ลากตัวแม่นมฉินออกไปอีกฟาก กดเสียงต่ำลงและพูดว่า “ข้ามีน้องชายสองคนอยู่ที่นี่ เพื่อเป็นการป้องกันที่ไม่อาจคาดคิดได้ อย่างไรเสียก็ต้องถามอย่างละเอียดอยู่บ้าง ถ้าหากพวกเขาเกิดอะไรขึ้นมา ข้าคงไม่อาจนิ่งดูดายได้ แต่เจ้าวางใจ ข้าจะชั่งใจระหว่างผลดีกับผลเสีย ไม่ให้กระทบต่อทุกคน”
ในห้องเดิมทีก็มีเนื้อที่แค่นี้ แม้จะกดเสียงลงต่ำมากแล้ว แต่ก็ยังทำให้หยู่เหวินเทียนกับอ๋องอันได้ยินอยู่ดี หยู่เหวินเทียนรู้อยู่แล้วว่าพี่สามนั้นมีความรับผิดชอบในเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้สึกอะไร แต่อ๋องอันกลับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ และหันหน้าออกไปข้างนอก แววตาลึกล้ำขึ้น การช่วยเหลือคนที่ขาดสตินั้นต้องใช้ชีวิตแลกด้วยชีวิต ใช้เลือดของคนกรอกเข้าไปในปาก ใช้เลือดปลุกเขาให้ตื่น
แต่ว่า ไม่ใช่เลือดแค่สองสามหยดก็สามารถทำได้ ต้องเป็นการกรอกเลือดจำนวนมากและในเวลาที่รวดเร็วที่สุด
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ บางทีเลือดไหลจนหมดแล้วก็ไม่แน่ว่าจะปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้ และแม้ว่าจะปลุกให้ตื่นได้ ฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือเสียเลือดไปจำนวนมาก ในเขตหมอผีที่อันตรายเช่นนี้ ไม่สามารถทำการรักษาได้ทันท่วงที ก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น ”
อ๋องเว่ยพยักหน้า จดจำไว้ในใจอย่างเงียบๆ
แม่นมฉินเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “ครั้งนี้ถ้าหากเลือกที่จะเข้าไปในเจียงเป่ยจากเขตหมอผี ระหว่างทางพวกเราจะพบกับความยากลำบากและอันตราย ตอนแรกเริ่มนั้น พวกเราจำเป็นต้องเฝ้าสังเกตการณ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่เมื่อเข้าสู่เขตหมอผีแล้ว
ถ้ามีคนขาดสติ ไม่สามารถไปช่วยเหลือได้ จำไว้ให้ขึ้นใจ และถ้าหากไม่อยากจะถูกควบคุม ทุกคนต้องตั้งจิตให้มั่นคง อย่าสัมผัสหรือเกิดความรู้สึกสนใจต่อสิ่งของแปลกประหลาดอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะดอกไม้ที่สวยงาม สัตว์ป่าที่มีสีสันสดใส แม้จะเป็นสิ่งที่เจ้ารู้สึกว่าเป็นสัตว์ที่แปลกประหลาดและมีค่า ก็ต้องถอยห่างออกไปให้มากที่สุด”
อ๋องเว่ยเอาคำพูดของแม่นมฉินออกไปกำชับเหล่าทหาร ให้ทุกคนรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้อันตราย ให้เตรียมใจให้พร้อม
วันรุ่งขึ้น กองทัพขนาดใหญ่ออกเดินทาง หลังจากออกเดินทางมาได้ครึ่งวัน สวีอีกับอะซี่ก็มาถึง ถามคนในศาลาพักม้า รู้ว่าพวกเขาใช้เส้นทางเจียงเป่ยเข้าสู่ภูเขาแล้ว และได้ถามเส้นทางคร่าวๆก่อนจะออกเดินทางตามไป
เส้นทางยังสามารถใช้การขี่ม้าไล่ตามไปได้ หวังว่าในเวลาพลบค่ำ จะสามารถไล่ตามกองทัพได้ทัน
ตอนที่หมันเอ๋อเริ่มขึ้นไปบนเขา พบว่าตัวเองผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง ในสมองมีเสียงบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ไม่ขาด สายตาก็มีภาพลวงตาเกิดขึ้นมาบ้าง ทำให้นางรู้สึกราวกับหลงทางอยู่ในม่านหมอกตลอดเวลา
แรกเริ่มนั้นนางยังสามารถฝืนทนได้ แต่ว่า เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ ปีนขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขามองไปยังเทือกเขาที่มีความสูงต่ำทอดยาวต่อๆกันไป ตรงหน้าได้ปรากฏเหตุการณ์ขึ้นมาทีละภาพ เหตุการณ์เหล่านั้นก่อนหน้านี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน
คนมากมายเดินอยู่ตรงหน้านาง ใบหน้าของผู้คนเหล่านั้นราวกับถูกย้อมไปด้วยเลือดเต็มไปหมด ยื่นมือมาทางนาง ร้องเรียกชื่อของนาง นอกจากนั้นยังมีผู้คนบางส่วนที่สีหน้าเย็นชา พยายามจะยื่นมือออกมาจับนาง และกำลังร้องเรียกชื่อนางเช่นกัน คนเหล่านั้นราวกับโคมม้าวิ่งทำให้นางรู้สึกเวียนหัวมาก เวียนหัวจนเกือบจะยืนไม่อยู่
“หมันเอ๋อ”หยู่เหวินเทียนประคองตัวนางไว้ได้ทัน “เหนื่อยมากเกินไปใช่หรือไม่ ”
สีหน้าของหมันเอ๋อขาวซีด พยายามรวบรวมสติเพ่งมองหยู่เหวินเทียน ค่อยๆส่ายหน้า “อาจเป็นเพราะว่าเหนื่อยอยู่บ้าง”
“ฉวยโอกาสที่ทุกคนพักผ่อน เจ้าก็พักผ่อนก่อนสักครู่”หยู่เหวินเทียนประคองนางให้นั่งลง เห็นสีหน้านางขาวซีดอย่างน่ากลัว ในดวงตายังมีความแดงก่ำขึ้นมา ช่างผิดปกติจริงๆ
แม่นมฉินได้พูดถึงทางเข้าไปยังภูเขาให้กับอ๋องเว่ยและอ๋องอันรู้ แล้วก็เดินเข้ามา นางยื่นมือไปจับที่หน้าผากของหมันเอ๋อชั่วครู่ เอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า
“หมันเอ๋อ เจ้ากำลังตัวร้อน”
“นางไม่สบายหรือ ”หยู่เหวินเทียนขมวดคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะตามไปไม่ได้แล้ว เจ้าต้องกลับไป ข้าจะให้คนสองคนส่งเจ้ากลับไป”
หมันเอ๋อดึงตัวเขาเอาไว้ทันที ใบหน้ามีความดื้อดัน “ไม่ ไม่ ข้าไม่กลับไป ข้าจะไปเจียงเป่ย พวกเขากำลังเรียกข้า”
หยู่เหวินเทียนนิ่งอึ้ง “ใครกำลังเรียกเจ้า”