หยวนชิงหลิงดึงมือนาง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ หมันเอ๋อ เจ้าฟังข้า เจ้าจะดำเนินการเองไม่ได้ แล้วเจ้าก็ไม่ได้ตัวคนเดียว เจ้าอยากแก้แค้น ทุกคนก็ต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว”
หมันเอ๋อแทบร้องไห้เป็นสายเลือด สูดลมหายใจเข้าลึก “พระชายา ท่านไม่รู้ จิตใจข้าน้อย ดวงตา สมอง จะไหม้เป็นไฟแล้ว ไฟกองนี้แผดเผาจนข้าน้อยอยู่ไม่เป็นสุขซักวินาที หากไม่แก้แค้น ข้าน้อยต้องตายตาไม่หลับเพคะ”
หยวนชิงหลิงเห็นนางเป็นเช่นนี้แล้วก็รู้สึกเศร้าใจนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ให้นางไปไม่ได้ ดังนั้นจึงเรียกเจ้าห้ามา
เมื่อได้ฟังคำพูดของหมันเอ๋อ หยู่เหวินเห้าก็คิดแล้วเอ่ย “หมันเอ๋อ เจ้าอยากแก้แค้นข้าต้องช่วยเจ้าแน่ ข้าจะส่งคนกลับไปกับเจ้า ดึงกำลังที่หนานเจียงก่อน แต่เจ้าต้องจำไว้นะ การแก้แค้นที่ไม่มีความมั่นใจ ก็แค่ตายอย่างไร้ค่า เจ้าเชื่อข้า เรื่องนี้ข้าวางแผนไว้แต่แรกแล้ว”
เมื่อหมันเอ๋อเห็นหยู่เหวินเห้ากล่าวเช่นนี้ ริมฝีปากก็สั่นระริกเล็กน้อย “องค์รัชทายาทจะช่วยข้าน้อยจริงหรือเพคะ?”
“ไม่ใช่แค่เพื่อช่วยเจ้า แต่เพื่อแคว้น เพื่อส่วนรวมด้วย หากเจ้าทำการโดยพลการ เอาชีวิตไปทิ้ง พระชายาก็จะเสียใจตายแน่ จะมุทะลุไม่ได้เด็ดขาด เจ้าจำไว้ว่าเป้าหมายของเจ้าคือการแก้แค้น ไม่ใช่ไปตาย” หยู่เหวินเห้าเอ่ย
หมันเอ๋อคุกเข่าน้ำตาคลอ “องค์ชาย หากทรงช่วยหมันเอ๋อแก้แค้น ชาติหน้าหมันเอ๋อจะขอเกิดเป็นวัวเป็นควาย ตอบแทนพระคุณของท่านกับพระชายา!”
หยวนชิงหลิงดึงนางขึ้นมาทันที “เป็นวัวเป็นควายอะไรกัน? หรือว่าบุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าก็ต้องตอบแทนด้วยการเป็นวัวเป็นควายหรือ? อย่าพูดอย่างนี้สิ!”
น้ำตาในดวงตาของหมันเอ๋อคลอขึ้นอีกครั้ง “พระชายา ต่อไปข้าน้อยจะกลับมาปรนนิบัติท่าน”
“ไม่ต้องให้เจ้าปรนนิบัติหรอก แต่เจ้าต้องปลอดภัยกลับมา” หยวนชิงหลิงพูดพลางตาแดง
หมันเอ๋อผงกศีรษะหนัก “แน่นอนเพคะ!”
หยู่เหวินเห้าให้หยู่เหวิยเทียนกับอีกหลายสิบคนส่งหมันเอ๋อกลับหนานเจียง ขณะที่หมันเอ๋อกำลังจะไปก็พูดกลับแม่นมฉิน “รอข้าอยู่เมืองหลวง คำพูดที่ติดท่านไว้ ข้าจะกลับมาชดเชยให้นะ”
น้ำตาแม่นมฉินทำให้สายตาพร่ามัว อยากรั้งไม่ให้นางไป แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความขื่นขม พูดไม่ออกสักคำ ได้แต่พยักหน้าเบาๆ
อะซี่กอดหมันเอ๋อ ร้องไห้จนตาแดง “เจ้าต้องกลับมานะ ไม่งั้นเป็นตายข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่”
หมันเอ๋อหัวเราะ น้ำเสียงหยอกล้อ “แม่นางอะซี่ ข้าต้องกลับมาแน่ กว่าข้าจะกลับมา เจ้าตัวน้อยของท่านกับใต้เท้าสวีก็คงคลอดแล้ว”
อะซี่เช็ดน้ำตา หัวเราะแล้วตีนาง “เงียบไปเลยเจ้าเนี่ย”
หมันเอ๋อหัวเราะพลางหลบ นาทีที่หมุนตัว น้ำตาก็ทำให้ดวงตาพร่ามัว
หยู่เหวิยเทียนพาหมันเอ๋อจากไป หลังจากพวกเขาจากไปไม่นาน แม่นมฉินก็หายไป อะซี่หาอยู่นานก็ไม่เจอ หยวนชิงหลิงจึงส่ายหน้า “ไม่ต้องหาแล้ว นางต้องตามหมันเอ๋อไปแน่ นางจะวางใจอยู่เมืองหลวงได้ยังไง?”
“แต่นางอยู่ที่หนานเจียงคงอันตรายมากล่ะมัง? คนเจียงเป่ยต้องไม่เอานางไว้แน่ คนพวกนั้นเหี้ยมโหดนัก” พออะซี่นึกถึงค่ายกลอะไรของหมอผีเจียงเป่ยแล้วก็รู้สึกสยองเกล้า
“นั่นก็เป็นการเลือกของนาง ขอแค่ได้อยู่กับเด็กตัวเอง ต่อให้เป็นถ้ำเสือวังมังกรก็ไม่กลัว” หยวนชิงหลิงเอ่ย
อะซี่ยังไม่เป็นแม่คน ไม่รู้ความนัยของหยวนชิงหลิง แค่รู้สึกว่าแม่นมฉินอยู่ที่หนานเจียงต้องอันตรายมากแน่ ไม่น่าเสียสละโดยเปล่าประโยชน์เลย
ทัพใหญ่เคลื่อนพลต่อ สถานการณ์อ๋องเว่ยก็นิ่งมาหน่อยแล้ว สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาสองสามครั้ง ทุกครั้งที่ตื่นก็เอาแต่หาร่างของจิ้งเหอ ครั้งนี้นางไปเอาน้ำ เมื่อเขาไม่เห็นจึงหน้าเปลี่ยนสี
แต่พอเห็นจิ้งเหอเอาน้ำกลับมากับเสี้ยวหงเฉิน เขาก็เพลาใจลง ไม่กล้ามองจิ้งเหอ ค่อยๆ หลับตา
จิ้งเหอถือถุงน้ำหนังเดินมาอยู่ข้างตัวเขา ย่อตัวลงแล้วเอ่ยเบาๆ “ดื่มน้ำหน่อย”
เมื่อนั้นเขาถึงลืมตาขึ้นมามองนางทีหนึ่ง แล้วรีบเบนสายตาออก “ขอบใจ!”
เขาค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งรับถุงน้ำมา แต่จิ้งเหอกลับขยับถุงน้ำเข้ามาที่ริมฝีปากเขา เขาชะงัก “ข้าดื่มเอง”
ครั้นแล้วจิ้งเหอถึงมอบน้ำให้เขา มือเขาไม่มีแรง ฝืนถือดื่มไปอึกหนึ่งก็สำลักขึ้นมา
จิ้งเหอเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากให้เขา เขามองแล้วก็ยิ้มด้วยตาแดง “เจ้ายังชอบปักลายสนเขียวที่ผ้าเช็ดหน้าเหมือนเดิมเลยนะ”
“อือ!” จิ้งเหอพยักหน้าเล็กน้อย เม้มริมฝีปากแห้งแตก “สนเขียวดี หนักแน่น”
อ๋องเว่ยสูดลมหายใจเข้าเบาๆ “ต่อจากนี้…เจ้าจะไปไหน? กลับเมืองหลวงไหม?”
“ไม่รู้” ในดวงตาจิ้งเหอมีความสับสนเล็กน้อย ที่บางที่ก็ไม่อยากกลับไป ที่นั่นมีเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงมากเกินไป
อ๋องเว่ยอยากให้นางตามกลับไปจวนเจียงเป่ยมาก แต่คำพูดกลับติดที่ริมฝีปาก รู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์พูดออกมา
ช่วงเวลาสองปีกว่ามานี้ เขามักนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่อยู่ด้วยกัน เมื่อก่อนเขามักคิดว่านางไม่สมัครใจอยู่กับเขา เพราะความมุทะลุของเขาใช้กำลังพานางมา ด้วยความจำใจถึงแต่งกับเขา
ตอนนั้นเขาพยายามบอกนางมาตลอด ว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่พบนางก็อยากแต่งงานกับนางเท่านั้น อยากทำให้นางประทับใจ อยากให้ความอบอุ่น แต่เขาไม่ใช่คนพูดเอาใจเก่ง การแสดงออกเหล่านั้นพอนึกแล้วก็แย่เสียจริง
“เจ้าล่ะ?” จิ้งเหอสูดลมหายใจเข้าลึก มองเขา “เจ้าจะไปไหน?”
อ๋องเว่ยดึงอารมณ์กลับ เอ่ย “ข้าจะกลับจวนเจียงเป่ย ตอนนี้ข้ากับน้องสี่ประจำอยู่ที่นั่น จริงสิ ชายาน้องสี่ก็อยู่ที่นั่น นางตั้งครรภ์แล้วนะ”
จิ้งเหอยิ้มชื่น คิ้วตาโค้งงอ “ดีใจแทนนางจริงๆ”
รอยยิ้มนี้แทบจะเอาชีวิตอ๋องเว่ย ครั้งแรกที่เห็นนางก็เป็นรอยยิ้มพริ้มเพราอย่างนี้แหละ
จ้องเหม่ออยู่พักหนึ่งแล้วก็เกิดความกล้าขึ้นมา “เจ้า…”
“พี่สาม ดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง?” อ๋องอานกลับสาวเท้ายาวเข้ามาใจเวลานี้ เอ่ยถาม
อ๋องเว่ยอารมณ์เสีย มองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ดีขึ้นมากแล้ว”
อ๋องอานนั่งลง สีหน้าดีใจเล็กน้อย “จะบอกให้นะ ท่านอย่าเพิ่งท้อแท้สิ้นหวัง เมื่อครู่ข้าคุยกับแม่ทัพจิ้งถิงมาครู่หนึ่ง ที่แท้แขนเขาที่หักต่อกลับเข้าไปได้ ฉินเทียนอ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อเป็น ไว้ข้าจะพาท่านไปต้าโจว ขอให้เขาต่อแขนให้ท่านเอง”
“จริงหรือ?” ดวงตาจิ้งเหอเกิดประกาย
อ๋องอานพยักหน้า แต่กลับไม่กล้ามองจิ้งเหอ
จิ้งเหอจึงพูดกับอ๋องเว่ย “เช่นนี้ก็ไปต้าโจวสักหน่อย เจ้าเป็นแม่ทัพ แขนหักไม่สะดวก ถ้าต่อได้จริงก็วิเศษไปเลย”
อ๋องเว่ยเห็นความยินดีในดวงตานาง ดอกไม้ในหัวใจก็บานสะพรั่งอย่างไม่รู้ตัว “ถ้าเจ้าอยากให้ข้าไปต่อแขน ข้าก็จะไปของร้องฉินเทียนอ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์”
จิ้งเหอเห็นความหลงใหลในตาเขาแล้วก็เบนหน้าออกพูดเสียงเบา “ยังไงเจ้าก็แขนหักเพราะช่วยข้า ถ้าเจ้าต่อแขนได้ อย่างน้อยตอนจากไปข้าจะได้วางใจหน่อย”
อ๋องเว่ยมองนางอย่างชะงักงัน ดอกไม้ที่บานสะพรั่งในใจเหี่ยวเฉาในบัดดล ดวงตามีความอึมครึมปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เอ่ย “ช่างเถอะ ไปต้าโจวครั้งนี้หนทางยาวไกล ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ลึกลับไม่ชอบเปิดเผยตน แล้วข้าก็จากจวนเจียงเป่ยนานมากไม่ได้ด้วย ไม่ไปดีกว่า”
คำว่า ‘จากไป’ ของนาง ช่างทิ่มแทงหัวใจ ทรมานยิ่งกว่าแขนหักเป็นหมื่นเท่า