เมื่อหยู่เหวินเห้ากล่าวจบ ก็หยุดแพล็บหนึ่งแล้วว่าต่อ “อีกอย่าง หากเขาคิดเป็นอื่นก็จับตาดูเข้มก็ได้พ่ะย่ะค่ะ เมื่อคลอดแล้วจะอยู่หรือไป ก็สุดแต่เสด็จพ่อจะตัดสินพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินดังนั้นแล้วก็อดมองเขามากอีกหน่อยไม่ได้ ปลาบปลื้มมาก เป็นฮ่องเต้ แม้อำนาจความเด็ดขาดจะสำคัญก็จริง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการให้ความสำคัญกับชีวิตคน
เขามีความเด็ดขาด มีเมตตา มีกลวิธี การคิดก็รอบคอบ หากเมื่อก่อนฝึกฝนมากกว่านี้ ตอนนี้เวลานี้คงไม่ใช่แค่นี้แล้ว เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนคิดเช่นนี้ก็นึกเสียใจนัก
ดังนั้นเขาจึงมีราชโองการ สั่งให้กู้ซือนำทหารรักษาพระองค์ไปจวนเจียงเป่ย ‘อารักขา’ พระชายาอานมาเมืองหลงด้วยตัวเอง ราชโองการระบุชัด เมื่อพระชายาอานคลอดและเด็กครบเดือนแล้วก็กลับจวนเจียงเป่ย
ส่วนลู่หยวนกับเสี้ยวหงเฉินก็ตามขบวนใหญ่ไปจวนเจียงเป่ยด้วย กู้ซือกับพวกเขาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน หลังจากประกาศราชโองการแล้วก็กลับเมืองหลวงด้วยกัน เนื่องจากเดินทางช้าตลอดทาง ดังนั้นพอถึงเมืองหลวงก็ใกล้สิ้นปีแล้ว
เมื่อกู้ซืออารักขาพระชายาอานถึงจวนอ๋องอาน คนที่ปรนนิบัติในจวนก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว กรมวังโยกย้ายคนมาปรนนิบัติเอง ทั้งยังส่งหมอหลวงมาประจำที่นั่น นอกจากสาวใช้ที่อยู่ข้างกายอยู่แล้ว ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นคนปรนนิบัติหรือองครักษ์ก็ไม่ใช่คนของอ๋องอานทั้งนั้น
หลังจากเข้าพักเรียบร้อย เสี้ยวหงเฉิน ลู่หยวนและกู้ซือก็ไปรายงานที่จวนอ๋องฉู่ พออธิบายสถานการณ์แล้ว หยู่เหวินเห้าก็ให้เสี้ยวหงเฉินอยู่ต่อ
ในห้องหนังสือจุดเทียนสองเล่ม เปลวไฟพลิ้วไหว ดวงตาเสี้ยวหงเฉินเหมือนคลายอารมณ์เศร้าหมองเพราะหลินเซียวในตอนนั้นไปแล้ว หยู่เหวินเห้าจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ “มีข่าวหลินเซียวแล้ว”
เสี้ยวหงเฉินหน้าตาตื่น เงยหน้ามองเขาทันที “อยู่ที่ไหนเพคะ?”
น้ำเสียงพอถือว่าเป็นปกติ
“เขาเคยปรากฏตัวที่จวนผิงหนาน”
“จวนผิงหนาน?” เสี้ยวหงเฉินชะงัก “จะเป็นไปได้ยังไงเพคะ? อ๋องผิงหนานต้องไม่ติดต่อกับเขาแน่”
หยู่เหวินเห้าเอ่ย “อ๋องผิงหนานเขียนจดหมายถึงไท่ซ่างหวงเอง อ๋องผิงหนานไม่ยุ่งเรื่องราชสำนักมานาน ดูห่างเหินกับราชวงศ์มากเหมือนกัน ข้าก็เลยคิดว่าครั้งนี้หลินเซียวคงจงใจไปสร้างความสับสน แต่เขาคิดไม่ถึงว่าอ๋องผิงหนานจะติดต่อกับไท่ซ่างหวงตลอด เพราะงั้นพอหลินเซียวไปหาแล้ว เขาก็เขียนจดหมายถึงไท่ซ่างหวงทันที”
“ไม่ได้กุมตัวไว้หรือเพคะ?” เสี้ยวหงเฉินถาม
“เปล่า อ๋องผิงหนานส่งคนสะกดรอยตาม แต่ก็ตามไม่ทัน” หยู่เหวินเห้ากล่าว
เสี้ยวหงเฉินตะลึง “เขาทำงานให้ใครกันแน่? เขาเป็นคนในยุทธภพ ต้องไม่ขโมยแผนที่ทางการทหารใช้เองแน่ ต้องถูกคนบงการ ตอนนี้ท่านตัดหงเย่ออกจากผู้ต้องสงสัยแล้วหรือเพคะ?”
“ไม่ได้ตัดออก แต่ความเป็นไปได้ของหงเย่ไม่มาก ตอนนี้ได้แต่รอจับตัวหลินเซียวได้ถึงจะรู้” หยู่เหวินเห้ากล่าว หงเย่เองก็มีองค์กรสายสืบขนาดใหญ่เหมือนกัน หากต้องการชิงแผนที่ทางการทหารก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังของยุทธภพเป่ยถัง
อีกอย่างหากเป็นหงเย่จริง เช่นนั้นเขาก็มองแผนการเขาออกนานแล้ว ไยต้องให้หลินเซียวลงมือชิงแผนที่ทางการทหารอีก? นี่เท่ากับเปิดโปงหลินเซียว หงเย่จะไม่ใช้คนสิ้นเปลืองเช่นนั้นเด็ดขาด
แต่เมื่อพูดถึงหงเย่ เขาก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที ราวกับมีคนปลุกปั่นหัวใจเขาอย่างนั้น หลังจากเขาทะเลาะกับเจ้าหยวนเพราะเขาแล้ว ตอนนี้แม้แต่ชื่อก็ได้ยินหรือคิดถึงไม่ได้
“หากกุมตัวเขาได้ ท่านอ๋องก็จัดการไปเลยเพคะ ไม่ต้องบอกหม่อมฉัน” เสี้ยวหงเฉินพูด
หยู่เหวินเห้ามองนางแล้วก็เบาใจลง นางพูดเช่นนี้ได้ก็แสดงว่าปลงตกแล้ว
วันถัดมาหยวนชิงหลิงก็พาอะซี่ไปจวนอ๋องอาน และแจ้งข่าวกับพระชายาซุน ฮูหยินเหยา หรงเยว่และหยวนหย่งอี้ล่วงหน้า พวกนางก็จะไปด้วย
เหล่าสะใภ้ทั้งหลาย หากเพิ่มจิ้งเหออีกคนก็ถือว่าครบ ดังนั้นการสนทนาของพวกนางจึงวนเวียนอยู่กับเรื่องจิ้งเหอไม่น้อย
อย่างไรพระชายาซุนก็ยังติดใจกับเรื่องจิ้งเหออยู่ แต่พอได้ยินว่าอ๋องเว่ยแขนหักเพื่อช่วยนางแล้วก็กล่าว “ถ้าดีกันได้ก็ดีสิ จะได้ถือว่าจบไป”
ทุกคนก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ที่จริงทั้งสองก็ลำบากมาก โดยเฉพาะพระชายาอานที่เฝ้ารอการมาถึงของวันนั้น ที่พวกเขาทั้งสองต้องแยกจากกันก็เพราะเจ้าสี่ นางจึงรู้สึกผิดกับอ๋องเว่ยและจิ้งเหอมาก
แต่เมื่อสนทนากันไปก็กลับมาพูดถึงเรื่องลูก
ดูท่าปลายเดือนสองปีหน้าพระชายาอานก็จะคลอดแล้ว ตอนนี้ครรภ์ใหญ่มาก พระชายาซุนเอ่ย “ถ้าเป็นลูกชาย ฝ่าบาทต้องดีใจแน่ บางทีอาจอนุญาตให้เจ้าอยู่เมืองหลวงต่อ”
ผู้หญิงไม่ยุ่งเรื่องราชสำนัก แค่อยากให้คนข้างตัวอยู่ด้วยเท่านั้น เหล่าสะใภ้ยังเข้ากันได้ดีเหมือนเดิม แม้พระชายาซุนเป็นคนบุคลิกองอาจ แต่จิตใจกลับทั้งใจกว้างทั้งใจอ่อน
แต่พระชายาอานกลับลูบท้อง พูดเสียงเบา “แต่ข้ากลับอยากได้ลูกสาว”
หยวนหย่งอี้หลุดหัวเราะ “ถ้ามีลูกสาวจริงไม่ต้องถูกรัชทายาทจ้องเอาอีกหรือ?”
รู้กันทั่วว่าหยู่เหวินเห้าอยากได้ลูกสาว บ้านไหนมีลูกสาวเขาก็จะจ้องตาเป็นมันไปพักหนึ่ง
ฮูหยินเหยามองหยวนชิงหลิง หัวเราะพลางเอ่ย “ดูท่าเจ้าต้องมีลูกสาวซักคนถึงจะทำให้น้องห้าสมใจได้”
หยวนชิงหลิงหายใจติดขัด รีบปัดมือ “ไม่ ตอนนี้ในจวนห้าคนก็วุ่นวายจนเก็บไม่ทันแล้ว ถ้ามีอีกคงไม่ไหวแน่ อีกอย่างไม่ยังแน่ว่าจะเป็นลูกสาว แถมไม่แน่ว่าจะคนเดียว”
ความสามารถในการสืบพันธุ์ทรงพลังขนาดนี้ หยวนชิงหลิงกลัวเข้าแล้ว
ขณะที่ทุกคนกำลังจะหัวเราะยกใหญ่ กลับได้ยินหรงเยว่พูดอย่างน้อยใจ “มีแต่เจ้านั่นแหละที่มีลูกเก่ง”
เสียงหัวเราะสะดุดลง มองใบหน้าค้อนของหรงเยว่
ฮูหยินเหยาจึงกุมมือนาง “เอาน่า เจ้ากับน้องหกเป็นคนมีวาสนา สวรรค์ต้องไม่ลืมเจ้าแน่ ถึงเวลากลัวแต่จะมีจนเจ้ากลัวก็หยุดไม่ได้”
หรงเยว่เบ้ปาก “ฝันก็ยังไม่กล้าขนาดนั้นเลย หวังแค่มีซักคน”
“ถึงยังไงน้องหกก็ไม่รีบ แล้วเจ้าจะรีบทำไมเล่า?” พระชายาซุนกล่าว
หรงเยว่มองสะใภ้ทั้งหลายแล้วก็ตาแดง “พวกท่านก็ต้องไม่รีบสิ นอกจากข้า ก็มีแต่ข้าที่ไม่ท้อง ขนาดฮูหยินของกู้ซือตอนนี้ก็ท้องสองแล้ว แต่ข้ากลับไม่มีวี่แววอะไรเลย”
หยวนชิงหลิงสะดุ้ง “ผิงเอ๋อมีท้องสองแล้วหรือ? ทำไมข้าไม่รู้ล่ะ?”
“ยังไม่ครบสามเดือน ก็เลยยังไม่บอกคนอื่น”
“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไง?”
หรงเยว่เบ้ปากอีก “ข้าสนิทกับหมอในเมืองหลวงพวกนั้น ฮูหยินบ้านไหนท้อง ข้ารู้หมดแหละ”
ฮูหยินเหยาพูดอย่างประหลาดใจ “แล้วทำไมเจ้าถึงสนิทกับหมอข้างนอกล่ะ? ถ้าเจ้าเป็นอะไรหาหมอหลวงไม่สะดวกกว่าหรือ?”
“หมอหลวงไม่มีสูตรยาพื้นบ้าน มีแต่หมอข้างนอกที่มี” หรงเยว่ระบายอารม พูดอย่างเศร้าสร้อย “ในบรรดาพวกเรา ที่ร่างกายดีที่สุดก็คือข้า ตอนนี้เจ้าหกก็ไม่เป็นไรแล้ว ทำไมข้าไม่ท้องล่ะ? หรือว่าข้าฆ่าคนเยอะเกินไปก็เลยกรรมตามสนอง? แต่ที่ข้าฆ่าก็เป็นคนที่สมควรตายทั้งนั้นนะ!”
นางหยุดแพล็บหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างหวาดกลัว “หรือว่าคนที่ข้าฆ่าจะมีบางคนที่ไม่สมควรตาย?”
พระชายาซุนเฮอะทีหนึ่ง ตีเข้าที่แขนนาง “เพ้อเจ้อ! ข้าว่าเจ้าบ้าไปแล้ว วันๆ เอาแต่คิดฟุ้งซ่าน ครั้งที่แล้วเจ้ากินสูตรยาพื้นบ้านของท่านหญิงหลู่เฟยจนเลือดกำเดาไหลยังไม่รู้จักกลัวอีก? ยังกล้าออกไปกินสูตรยาพื้นบ้าน? ตอนนี้เจ้าไปกินยาอะไรอีกล่ะ?”
หรงเยว่ส่ายหน้า “เปล่า หมอบอกว่ายังไม่เรียบร้อยไม่ให้ข้ากิน ก็เพราะแบบนี้แหละความหวังถึงได้เลือนลาง”
หลายเดือนมานี้ทุกครั้งที่พบกัน หรงเยว่ก็จะบ่นเรื่องที่ตนไม่ตั้งครรภ์สักที ทุกคนไม่รู้จะปลอบอย่างไร จึงได้แต่บอกว่านางว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ