หลังจากที่หยวนชิงผิงกลับไปแล้ว ก่อนที่นางจะจากไป ได้กอดหยวนชิงหลิงไปหนึ่งที กระซิบกล่าว “ขอบคุณ พี่สาว”
คำว่าพี่สาว เรียกจนหยวนชิงหลิงใจอ่อน
นางพิจารณามาเป็นเวลานาน ก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถทำตามอย่างที่หยู่เหวินเห้าพูดได้
“ท่านอ๋องอยู่ในจวนมั้ย?” นางถามแม่นมฉี
“อยู่เจ้าค่ะ อยู่ในห้องหนังสือ”
“ข้าจะไปหาเขา” หยวนชิงหลิงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก็เดินออกไป
เมฆหมอกยามพลบค่ำ เรือนหลังนี้ถูกย้อมด้วยแสงสนธยา มันก็รู้สึกเงียบและนุ่มนวล ควันในครัวค่อยๆ ลอยขึ้น อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของโลกมนุษย์ เต็มไปทุกซอกทุกมุม ทำให้คนรู้สึกเหมือนจริงแต่ก็ลวงตา
ภัยพิบัติในวันนี้ ทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกถึงการใช้ชีวิตจริงในยุคที่นางมาอยู่ ไม่ใช่แค่ให้มันมีชีวิตอยู่ไปวันๆ
มาถึงห้องหนังสือ ขณะที่สาวใช้ยกอาหารมาถึงที่ประตู หยวนชิงหลิงก็กระซิบกล่าว “ข้าเอาเข้าไปเอง”
สาวใช้ย่อตัว “เจ้าค่ะ!”
หยวนชิงหลิงยกอาหารเข้าไป ในห้องจุดเทียนไว้สองเล่ม แสงพลิ้วไหวไปมาและสลัว
เขากำลังคัดลายมืออยู่บนโต๊ะหนังสือ และทิ้งเศษกระดาษจำนวนมากลงบนพื้น หยวนชิงหลิงเหยียบมันไป มองเห็นกระดาษทุกแผ่นเขียนไว้ด้วยคำว่า “อดทน”
ได้ยินเสียงฝีเท้า เขาเงยหน้าขึ้น ภายใต้แสงเทียนที่โดดไปมา ใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน และหางตาของเขายกขึ้นเล็กน้อย ดูจริงจังและเคร่งขรึม
แผลเป็นจากหางตาถึงใบหู ทำให้ดูเคร่งขรึมเย็นชาเล็กน้อย
“เจ้ามาทำอะไร?” หยู่เหวินเห้าวางพู่กันลง กล่าวอย่างเย็นชา
หยวนชิงหลิงนำอาหารไปวางไว้บนโต๊ะแปดเซียน เดินเข้าไปแล้วกล่าว “ควรจะกินข้าวแล้ว”
“ไม่กิน เอาออกไป!” หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว
นางยืนอยู่บนกระดาษที่มีคำว่าอดทน ไม่รู้จะเอามือไปวางไหน ก็เลยเอามือกอดอกเอาไว้ “เรามาคุยกันหน่อย”
“หากเป็นเรื่องเมื่อกี้ ไม่มีอะไรน่าคุย ข้าตัดสินใจไปแล้ว” เขากล่าวอย่างเฉยเมย
หยวนชิงหลิงเดินไปอย่างช้าๆ ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะแล้วมองไปที่เขา พูดอย่างจริงใจ “อดทน ไม่จำเป็นเลย บางทีเรื่องมากมายส่วนมากควรจะอดทน แต่การอดทนก็ต้องมีขีดจำกัด หากมันเลยขีดจำกัด ก็ไม่ควรที่จะอดทน ไม่อย่างนั้นมันก็จะสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป ข้าไม่สนหรอกว่าข้างนอกเขาจะนินทากันยังไง ข้าสนเพียงว่าคนชั่วจะถูกลงโทษหรือไม่”
“เจ้าไม่สนใจ? ปากพูดน่ะมันได้ แต่เมื่อคำพูดแย่ๆมากระทบจิตใจทุกวัน ใครจะสามารถทำเป็นไม่สนใจได้อีก?” เขาเป็นคนที่เคยผ่านมาแล้ว ปีนี้ทนทุกข์กับคำพูดที่เลวร้ายมาแล้วทุกประเภท คำพูดเหล่านั้นฟังอยู่ที่หูแต่มันเจ็บอยู่ที่ใจ
“ข้าทำได้ ข้าไม่สนใจจริงๆ เพราะในใจข้ามีสิ่งที่น่าสนใจกว่า”
“สิ่งที่สนใจกว่า? หยู่เหวินเห้าเงยหน้ามองตานาง มันคืออะไร?”
“ความศรัทธา!”
“ความศรัทธาอะไร?” เขาเกิดความสงสัยขึ้นมาแล้ว คำพูดแบบนี้ ไม่เหมือนคนอย่างหยวนชิงหลิงจะพูดออกมาได้
“เกิดเป็นคนต้องยึดมั่นในความศรัทธา อย่าปล่อยให้ความชั่วร้ายแผลงฤทธิ์ ทำลายโลก เจ้าพระยาหุ้ยติ่งทำร้ายผู้หญิงไปตั้งมากมาย เขาเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้าย” หยวนชิงหลิงพูดอย่างคนมีจิตใจที่มีเมตตาธรรม แต่คำพูดเหล่านี้ ไม่ได้พูดให้หยู่เหวินเห้าฟัง แต่จะให้หยู่เหวินเห้านั้นไปพูดให้ฮ่องเต้ฟัง
“พูดให้มันปกติหน่อย” หยู่เหวินเห้าเตือนนาง ขมวดคิ้วกล่าว
หยวนชิงหลิงแววตาเย็นชา “แก้แค้น เขาเกือบจะทำมิดีมิร้ายกับข้า อีกทั้งยังจะฆ่าข้า แค้นนี้หากไม่ชำระ ข้าหยวนชิงหลิงนั้นจะไม่ยอมเด็ดขาด และทนไม่ได้ที่คนชั่วช้าแบบนี้ยังสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้”
หยู่เหวินเห้าสีหน้าอ่อนลง กล่าว “ต่อให้ทำอย่างที่ข้าพูด เขาก็กระโดดโลดเต้นได้ไม่นานหรอก ข้าได้เอาเรื่องนี้ไปบอกกับจิ้งเหยียน เขาจะหาโอกาสที่เหมาะสมพูดนัยๆกับเสด็จพ่อ”
“ไม่ ท่านอ๋อง ไม่จำเป็นต้องพูดนัยๆ ในเมื่อฮ่องเต้แต่งตั้งท่านเป็นเจ้ากรมการพระนคร ก็คงอยากจะให้ท่านปฏิบัติหน้าที่อย่างเฉียบขาดรวดเร็ว หากท่านไม่พูด ให้……อะไรจิ้งเหยียนไปพูดนัยๆ ฮ่องเต้รังแต่จะรู้สึกว่าท่านขี้ขลาด ยากที่จะเป็นใหญ่”
หยู่เหวินเห้าจ้องมองนาง “ใครเป็นคนสอนให้เจ้าพูดสิ่งเหล่านี้?”
“ข้าตรึกตรองเอง ข้าคิดเอง ดังนั้นข้าจึงพูด”
“เป็นไปไม่ได้ สมองเจ้าไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น”
“นี่ถือเป็นการดูถูก ขอเตือนให้ท่านอ๋องพูดจาดีๆหน่อย” หยวนชิงหลิงกล่าว
หยู่เหวินเห้ายื่นมือออกมา อยากจะตบหัวนางอย่างที่ทำประจำ แต่นึกขึ้นได้ว่าท้ายทอยของบาดเจ็บ มือจึงได้ไปวางที่ไหล่ของนาง “กินข้าว”
หยวนชิงหลิงกล่าว “ท่านต้องรับปากข้าก่อน”
“อย่าพูดมาก กินข้าว!” เขาจับข้อแขนของนางเอาไว้ ดึงนางเข้ามาใกล้ “กินข้าวเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
“ข้ากินแล้ว ดื่มน้ำแกงไปแล้ว”
“งั้นก็ปรนนิบัติข้ากินข้าว”
“เพคะ!” หยวนชิงหลิงถลึงตาใส่
เขาเหมือนหิวมาก ข้าวมื้อหนึ่ง กินเร็วมาก ไม่เหลือแม้แต่ข้าวเม็ดเดียว
“หิวขนาดนี้เลย? เรียกสาวใช้ทำมาเพิ่มมั้ย?” นางจำได้ว่าเขาทานข้าวจะทานให้พออิ่ม กินอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะหิวมาก
“ไม่ต้อง ช่วยข้าเปลี่ยนเสื้อ ข้าจะเข้าวังไปเฝ้าฮ่องเต้”
หยวนชิงหลิงกระโดดดีใจ กล่าวอย่างมีความสุข “เพคะ!”
ทั้งสองคนไปยังตำหนักเซี่ยวเยว่ หยวนชิงหลิงเปิดตู้เสื้อผ้าออก เห็นเสื้อผ้าถูกพับวางไว้อย่างเป็นระเบียบ หันหน้ามาถามเขา “จะใส่ตัวไหน?”
“ชุดข้าราชการ!” เขากล่าวอย่างขุ่นเคือง
“อ้อ!” นางปิดตู้เสื้อผ้า นางเดินไปตรงราวแขวนผ้าหยิบชุดราชการที่เพิ่งถอดออกมาวันนี้ ยื่นมือไปลูบลายปักที่ประณีตสวยงาม นี่ก็คือเครื่องหมายของอำนาจหรอกเหรอ
ชุดสีม่วงรัดช่วงเอวให้แน่น เข็มขัดทองและหยกแยกระหว่างช่วงบนกับช่วงล่างได้อย่างเหมาะสม ด้วยสัดส่วนที่ลงตัว
เมื่อสวมหมวกข้าราชการ ก็เหมือนกับคนที่มีความรู้ความสามารถ คนทั้งคนดูมั่นคงและหนักแน่นขึ้นมาทันที
หยวนชิงหลิงปรนนิบัติเขาเป็นครั้งแรก แม้ว่าคนที่ปรนนิบัติจะเรื่องมาก แต่วันนี้นางเต็มใจ
ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา “ท่านอ๋องหล่อจัง”
“ไสหัวไป!” เขาจ้องมองนางไปแวบหนึ่ง
“เจ้าคะ เดี๋ยวก็ไสหัวไปแล้ว” นางพูดอย่างเอาใจ ไม่ควรทำให้เขาโกรธ
แววตาของหยู่เหวินเห้าถูกย้อมด้วยรอยยิ้ม ก็เลยเหลือบมองหยวนชิงหลิงไปแวบหนึ่ง
หัวใจของหยวนชิงหลิง ก็สะดุ้งไปหนึ่งที มองเขาอย่างตกใจ
“ผีเข้าเหรอ?” เขาไม่ได้ให้นางช่วยเขาเปลี่ยนรองเท้า ตัวเองนั่งลงแล้วใส่มันเอง
หยวนชิงหลิงจึงได้สติ “ไม่ กำลังคิดว่าจะทำยังไงให้รอยแผลเป็นของท่านจางลง”
“ไม่จำเป็น ข้าไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย” หยูเหวินเห้าลุกขึ้น สูงกว่าหยวนชิงหลิงประมาณหนึ่งหัว หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าตัวเองน่าจะสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตร ตามหลักแล้วหัวก็จะมีความยาวประมาณยี่สิบสองเซนติเมตร กะด้วยสายตาเขาน่าจะสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ไม่น่าเกินหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ด
ความสูงค่อนข้างที่จะต่างกันมาก ตรงนี้ก็ไม่มีรองเท้าส้นสูง ตอนที่อยู่กับเขาเห็นได้ชัดว่าตัวเองนั้นเตี้ยมาก
เฮ้ย อยู่ตรงนี้มัวพูดถึงเรื่องส่วนสูงอะไรกัน? บ้าจริง!
มองหยู่เหวินเห้าออกไป หยวนชิงหลิงก็ค่อยๆเดินกลับไปที่ห้อง นางเคยคิดอยากจะเข้าวังพร้อมกับเขา แต่ว่า ตอนนี้เป็นเวลาที่นางต้องกลัวอย่างสุดขีด หวาดระแวง อีกทั้งยังบาดเจ็บ ต้องรักษาตัวอยู่ในจวน แบบนี้จึงจะน่าสงสาร
แต่ในใจก็สงบลงมาไม่ได้เลย นึกถึงเมื่อกี้ตอนที่หัวใจเต้นแรง ดูเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลจากนิ้วเท้ามาที่หน้าผาก แล้วลามไปที่แขนขา
มันไม่สมเหตุผล
หยู่เหวินเห้าเป็นผู้ชายเลว ชอบใช้ความรุนแรง น้ำเสียงก็ไม่เคยอ่อนโยน คงไม่สามารถที่จะให้ความใจดีมีเมตตาครั้งคราวของเขา มาทำให้มองเขาเปลี่ยนไป หรือแม้แต่ จะละเลยความแค้นที่ผ่านมา
หยวนชิงหลิง แกจะทำตัวราคาถูกแบบนี้ไม่ได้ ความจริงใจของคนไม่สามารถที่จะมอบให้กันง่ายๆแบบนี้
นางคงเป็นโรคสตอกโฮล์มซินโดรม อาการที่ชัดเจนที่สุดคือความรู้สึกพึ่งพาอาศัยและไว้วางใจคนที่เคยทำร้ายตัวเอง มีความรู้สึกไว้วางใจ
มันคือโรค ต้องรักษาแต่เนิ่นๆ
วิธีการรักษาคือการสร้างทัศนคติที่ดี และไม่ยอมจำนนต่อความเป็นจริง ทำความเข้าใจจุดอ่อนของคนผู้นั้นและรอโอกาสที่จะเปิดการโจมตีตอบโต้ และสร้างระบบเพื่อจำกัดการกระทำที่ชั่วร้ายของคนผู้นั้น
ท่าทางที่แข็งกร้าวของนางก็อ่อนลงมาทันที นางไม่อยากที่จะเป็นปรปักษ์กับเขาเลย ควรทำไงดี?
บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 104 การพึ่งพาคืออะไร
Posted by ? Views, Released on September 28, 2021
, บัลลังก์หมอยากเซียน
ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง"หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: "ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น"อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: "เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่" หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: "ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ"
Recommended Series
Comment
Facebook Comment