หลังจากอุ่นไก่สับแล้วกลับมากินที่โต๊ะ หยู่เหวินเห้าก็พูดว่า “มีการวางกลยุทธ์และทิศทางไว้หมดแล้วนั่นล่ะ แต่บางคนที่ข้าเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาค่อนข้างจะหัวก้าวหน้าออกจะผลีผลามไปหน่อย ในขณะที่ขุนนางรุ่นเก่าก็จะเป็นพวกหัวโบราณ ที่จริงก็เรียกได้ว่า เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างแนวคิดใหม่กับพวกอนุรักษ์นิยม
เช่นเดียวกับเวลานี้เมื่อพูดถึงเรื่องของหนานเจียง พวกหัวใหม่ที่ผลีผลามใจร้อนหน่อย ต่างก็คิดว่าพวกเราไม่ได้ส่งกำลังทหารไปประจำไว้ที่หนานเจียง สมควรส่งทหารเข้าไปสักจำนวนหนึ่ง แต่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่นำโดยราชครูเหว่ยคิดว่า หากส่งกำลังทหารไปที่หนานเจียงเวลานี้ กลับจะก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นแทน อาจทำให้ชาวหนานเจียงไม่ไว้วางใจราชสำนัก และไม่สามารถต่อสู้เพื่อเรื่องนี้ได้ ”
หลังจากหยวนชิงหลิงได้ฟังแล้ว ก็ถามว่า “แล้วพวกกลุ่มหัวรุนแรงที่ว่านี้ ต้องการส่งกำลังทหารกับม้าไปเท่าไหร่รึ?”
หยู่เหวินเห้าตอบว่า “ไม่ได้ถึงกับกำหนดชัดหรอกว่าต้องส่งไปเท่าไหร่ อันที่จริงแล้ว ข้าเองก็มีใจอยากจะส่งคนไปสักจำนวนหนึ่งเช่นกัน แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อข่มขู่ให้ทางหนานเจียงกลัว แต่เพื่อให้เจ้าเก้ายังพอมีกำลังหนุนที่พอจะพึ่งพาได้ที่นั่น ไม่ถึงกับโดดเดี่ยวหัวเดียวกระเทียมลีบ”
“ดังนั้น เจ้าสนับสนุนพวกกลุ่มหัวรุนแรงสินะ?”
หยู่เหวินเห้าคีบเนื้อชิ้นหนึ่งไปย่างให้นาง แล้วหันกลับมาพูดว่า: “ก็ไม่เชิงพูดได้ว่าข้าสนับสนุนพวกเขาหรอก การวิเคราะห์ของราชครูเหว่ยก็สมเหตุสมผลเช่นกัน เวลานี้ถ้าส่งทหารเข้าไป มีแต่จะกระตุ้นให้เกิดการคาดเดาที่เกินจะควบคุม ประชาชนมีความอ่อนไหวต่อกองกำลังทหารมาก เมื่อไหร่ที่เกิดความเข้าใจผิดขึ้นมา แล้วถูกชาวหนานเจียงลุกขึ้นมาปลุกระดมก่อความวุ่นวาย เป็นเรื่องง่ายที่จะสร้างความขัดแย้งเป็นปฏิปักษ์ต่อราชสำนัก”
หยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดว่า “ถ้าเจ้าแค่อยากจะส่งคนไปให้เจ้าเก้าเพื่อเป็นแรงหนุน ส่งไปสักราว ๆ พันคนก็เพียงพอแล้วใช่หรือไม่?”
“อื้ม ข้าก็วางแผนไว้ว่าน่าจะสักประมาณพันคนนี่ล่ะ”
หยวนชิงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็มอบพันคนนี้ให้เป็นสินสอดงานแต่งของเขาไปก็ได้”
“สินสอดงานแต่ง?” หยู่เหวินเห้าตกใจจนผงะ
หยวนชิงหลิงเลิกคิ้วขึ้นสูง “ถูกต้อง วันนี้มีพระราชโองการลงมาแล้ว แม่งานที่จัดการเรื่องพิธีก็มอบให้ตี๋กุ้ยเฟยไปแล้วด้วย แต่ไหนแต่ไรมา ที่นี่เวลาลูกสาวแต่งงานยังต้องมีคนรับใช้เป็นสินสอดที่แต่งเพื่อติดตามเจ้านายไปเลยไม่ใช่รึ? อ๋องชุนแต่งไปหนานเจียง มีสินสอดเป็นกองทหารตามไปรับใช้พันคน ดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยอะไรนี่”
หยู่เหวินเห้าเคาะ ๆ หัวด้วยท่าทางที่มีความสุขจนแทบคลั่ง “จริงด้วย! สินสอดงานแต่ง ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้นะ? เจ้าหยวน เจ้าช่างฉลาดหลักแหลมเหลือเกินแล้ว”
ขณะที่พูด ก็คว้าตัวนางเข้ามาจูบไปครั้งหนึ่ง ปากที่มันเยิ้มถูกประทับลงไปบนใบหน้าขาวนวลของหยวนชิงหลิงเต็ม ๆ นางรีบผลักเขาออกไปอย่างรวดเร็ว ได้เห็นดวงตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้า เหมือนว่าปัญหาคลี่คลายไปได้ด้วยดี ก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาเช่นกัน
อันที่จริง ถ้าไม่บอกว่าพันคนนี้ล้วนเป็นทหาร ใครจะเดาได้ล่ะว่าจะมีมากมายขนาดนี้? การที่จวนอ๋องสักแห่งจะเลี้ยงทหารไว้หลายร้อยนาย รวมถึงคนรับใช้ที่จะติดตามไปรับใช้เจ้านาย ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรสักนิด เมื่อนำมารวมกันได้ราว ๆ พันคนก็ดูเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลดี
ที่จริงแล้ว จำนวนพันหรือสองพันคนก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร ประเด็นหลัก ๆ อยู่ที่ว่าคนเหล่านี้ปรากฏตัวที่หนานเจียงในรูปแบบใดต่างหาก เพราะถ้าจะส่งกำลังทหารไปอย่างเป็นทางการ ประชาชนย่อมจะต้องเอะอะโวยวายไม่ยอมรับแน่ ๆ
หลังจากแก้ปัญหานี้ได้ หยู่เหวินเห้าก็กินข้าวได้อย่างมีความสุข หัวใจของหยู่เหวินเห้าถึงกับสั่นไหว ยืนขึ้นแล้วโน้มตัวข้ามโต๊ะไปจูบนาง แววตาอบอุ่นอ่อนโยน “คืนนี้เจ้าช่างงดงามนัก”
หยวนชิงหลิงช้อนสายตาขึ้นมองเขา เห็นว่าดวงตาคู่นั้นทั้งนุ่มนวลและอ่อนโยน ในใจก็รู้สึกมีความสุขมาก “ได้พูดคุยกันแบบนี้ ช่างดีจริง ๆ”
หยู่เหวินเห้ารู้ว่าช่วงนี้เขายุ่งมากจนไม่มีเวลาอยู่กับนางเลย ได้แต่ปล่อยนางไว้คนเดียวตั้งนาน จึงพูดอย่างสำนึกผิดว่า “ขอโทษนะ รอให้จัดการธุระยุ่ง ๆ พวกนี้เสร็จแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปทะเลสาบจิ้งอย่างแน่นอน”
“อื้ม กินข้าวไปพลางก็พูดคุยกันไปพลาง ปรากฏว่ามื้อค่ำใต้แสงเทียนนี้ไม่นับว่าสูญเปล่า ทั้งสองมีช่วงเวลาที่ดี ทั้งยังได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ฤกษ์แต่งงานถูกกำหนดไว้แล้ว คือช่วงต้นเดือนสี่ ซึ่งคาดการณ์แล้วว่าน่าจะใกล้เคียงกับเวลาคลอดของพระชายาอานด้วย ดังนั้นจึงเป็นงานที่รีบร้อนไม่แพ้กัน
สุดท้ายแล้ว ตี๋กุ้ยเฟยก็ยังเป็นผู้ที่มีความสามารถรอบด้านคนหนึ่ง นางสั่งการเพียงนิดก็สามารถเรียกระดมพลได้หมดดั่งใจต้องการ เพื่อให้พิธีแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างสวยงามเหมาะสม ไม่น้อยหน้าใคร ๆ
อ๋องชุนก็เป็นคนที่ฉลาดรู้ความคนหนึ่ง ทุกเรื่องในพิธีแต่งงาน เขาล้วนเชื่อฟัง ยกให้ตี๋กุ้ยเฟยเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด แต่ถ้าเขามีความคิดอะไร เขาจะไปถามตี๋กุ้ยเฟยก่อนเสมอ
ตี๋กุ้ยเฟยคิดไม่ถึงว่าอ๋องชุนที่วันนี้มีอำนาจวาสนาแล้ว แต่กลับยังรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ทั้งยังยินดีเคารพในการตัดสินใจของนางทุกอย่าง ทำให้นางปฏิบัติต่ออ๋องชุนแตกต่างไปจากที่เคย เวลาที่คุยกับอ๋องชุนก็มีท่าทีอ่อนโยนขึ้นมาก เดิมทีนางอาสาจัดพิธีแต่งงานให้เขา เพราะหวังแค่ว่านางจะสร้างคุณค่าในสายตาฝ่าบาทขึ้นมาได้บ้าง ไม่ได้ทำด้วยความจริงใจ แต่มาตอนนี้ นางกลับยินดีทำทุกอย่างเพื่อเขาอย่างจริงใจแล้ว
หมันเอ๋อถือว่าเป็นคนที่แต่งออกไปจากจวนอ๋องฉู่ ก็จะเหมือนกับตอนที่สวีอีแต่งงาน คือจวนอ๋องฉู่จะออกแรงออกทรัพย์ให้ด้วยครึ่งหนึ่ง ตอนนี้หมันเอ๋อแต่งงาน หยวนชิงหลิงจึงอยากเพิ่มเครื่องประดับ รวมถึงเลือกซื้อชุดแต่งงานดี ๆ ให้นาง
ชุดแต่งงานของหมันเอ๋อเป็นชุดที่แต่เดิม แม่นมฉีกับแม่นมสี่จะเย็บให้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าตอนนี้ย่อมไม่ทันแน่แล้ว ดังนั้นแม่นมสี่จึงไปขอให้บรรดาแม่นมที่มีฝีมือในวังหลวงมาช่วยทำด้วยอีกแรง พยายามเร่งมือทำให้แล้วเสร็จก่อนวันแต่งงานจะมาถึง
ทั้งสองรีบเร่งทำชุดแต่งงาน ส่วนที่เหลือก็มอบให้หยวนชิงหลิงกับอะซี่เป็นคนตัดสินใจทำ โชคดีที่บรรดาพี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งหลายต่างก็ว่างมาก โดยเฉพาะหรงเยว่ที่เป็นคนชอบเรื่องสนุกคึกคัก หมันเอ๋อแต่งงานทั้งที ก็ต้องกลายมาเป็นพี่น้องสะใภ้กันในอนาคต ดังนั้นหรงเยว่จึงมุ่งหน้าตรงไปยังจวนอ๋องฉู่ แล้วเตรียมการทุกอย่างด้วยความกระตือรือร้น จวนอ๋องฉู่ทั้งจวนจึงถูกนางสั่งการแบบโปรยเงินเป็นว่าเล่นจนโกลาหลไปหมด
หรงเยว่เป็นคนที่ทำอะไรคล่องแคล่วว่องไวมาก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการใช้เงินโปรยเป็นว่าเล่น ไม่ว่าของอะไรก็ต้องซื้อที่ดีที่สุด ในสินสอดที่นางซื้อ เก้าในสิบเป็นของมีค่าราคาแพงทั้งนั้น ถ้าหยวนชิงหลิงไม่ปรามนางไว้ ไม่แน่ว่านางอาจจะสั่งทำเตียงขนาดใหญ่ แล้วให้หมันเอ๋อเอามันมัดติดไป เพื่อใช้เป็นสินสอดงานแต่งในขบวนเจ้าสาวด้วยก็เป็นได้
บรรดาเครื่องประดับเครื่องทองเครื่องหยก ราชสำนักก็ต้องมีของรับขวัญด้วย ในเมื่อมีการแต่งตั้งยศอ๋องหนานเจียงทั้งที ราชสำนักจะไม่ยอมควักเลยสักสตางค์แดงเดียวก็คงจะไม่ได้
หยู่เหวินเห้าคิดว่า การพัฒนาทางเศรษฐกิจของหนานเจียงในเวลานี้ยังค่อนข้างล้าหลัง ซึ่งด้อยกว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่อ๋องหนานเจียงยังมีชีวิตอยู่มาก ในช่วงหลายที่ผ่านมา พวกโจรป่าต่างพากันบุกไปที่นั่นเพื่อปล้นชิงของมีค่าไปมากมาย ทางเจียงเป่ยยังนับว่าดี ไม่เคยถูกบุกรุกปล้นชิง
หนานเจียงนั้นลำบากทุกข์ยากมากจริง ๆ คนที่มีแรงใจแรงกายอยู่ ต่างก็ย้ายไปทำมาหากินที่อื่นกันหมด ในเมืองหลวงก็มีชาวหนานเจียงอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่จะมาทำงานเป็นคนรับใช้ บ้างก็ไปเป็นแรงงานกรรมกรที่ท่าเทียบเรือ เช่นเดียวกับหมันเอ๋อในอดีต
ดังนั้น เขาจึงเรียกร้องให้ใช้การแต่งงานของหมันเอ๋อ เป็นใบเบิกทางว่าราชสำนักมีความพยายามจะพัฒนาหนานเจียง โดยจะเริ่มจากการช่วยเรื่องเกษตรกรรม และเร่งพัฒนาเศรษฐกิจในหนานเจียงก่อน ภายในระยะเวลาห้าปีจะยกเว้นการเก็บภาษี เพื่อดึงดูดชาวหนานเจียงให้กลับคืนถิ่น
ชาวหนานเจียงจำนวนมากได้ยินว่า อ๋องชุนจะแต่งงานกับราชินีแห่งหนานเจียง ทั้งยังยินดีจะตามไปพัฒนาหนานเจียงให้ดีขึ้น จะเห็นได้ว่าราชสำนักดูจะให้ความสำคัญกับหนานเจียงแน่นอนแล้ว การเคลื่อนไหวนี้จึงดึงดูดชาวหนานเจียงจำนวนมากให้เดินทางกลับคืนถิ่น
หยู่เหวินเห้ายังสั่งการลงไป ให้กองทัพทางใต้ส่งคนพันคนไปฝึกซ้อมที่จวนอ๋องชุน ให้พวกเขาแฝงไปเป็นทหารจวน แจ้งให้พวกเขาทราบถึงสถานการณ์ในหนานเจียง รวมถึงเรื่องที่พวกเขาสามารถทำได้หรือทำไม่ได้หลังจากไปถึงที่นั่น อ๋องชุนลงมาฝึกซ้อมด้วยตนเอง นำคนพันคนนี้มารวมกันให้เป็นหนึ่ง เพื่อไว้ใช้งานในอนาคต
หมันเอ๋อเจ้าสาวมือใหม่ที่กำลังจะแต่งงาน ก็ได้รับการฝึกฝนจากหรงเยว่กับฮูหยินเหยา
หยวนชิงหลิงตั้งใจเชิญพวกนางมาเป็นพิเศษเพื่อสอนหมันเอ๋อ ปกติแล้วหรงเยว่จะเป็นคนที่วุ่นวายเอะอะมาก แต่ถ้าถึงเวลาที่ต้องทำเรื่องสำคัญจริง ๆ จะเรียกว่าเป็นคนที่เฉียบขาดฉับไว แน่วแน่และเด็ดขาดดีมาก
เดิมทีนางเป็นรองหัวหน้าของสำนักเหลิ่งหลัง ในความเป็นจริงท่านชายสี่เหลิ่งไม่ค่อยสนใจธุระใด ๆ ในสำนักเหลิ่งหลังมากนัก เขาเพียงครอบครองตำแหน่งเจ้าสำนัก คอยชี้นำสิ่งต่าง ๆ เขาแค่ชอบความสนุกตื่นเต้นที่ได้ทำให้ยุทธภพปั่นป่วน แต่สำหรับเรื่องสำคัญจริง ๆ ล้วนเป็นหรงเยว่ที่เป็นคนจัดการให้ทั้งหมด
ดังนั้น สิ่งที่หรงเยว่สอนหมันเอ๋อ จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมากกับหมันเอ๋อในอนาคต
ส่วนฮูหยินเหยายิ่งไม่ต้องพูดถึง นางเก่งกาจในเรื่องการวางแผนและกลยุทธ์ มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในจิตใจของผู้คน นางสอนหมันเอ๋อเรื่องการใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับว่าต้องทำอย่างไร วิธีการรุกแล้วต้องรู้จักล่าถอย การใช้คารมเพื่อโน้มน้าวใจคน เป็นต้น
หยวนชิงหลิงยังถึงกับหัวเราะฮูหยินเหยา หยอกนางว่านางแทบจะสอนตำรายุทธพิชัยสงครามทั้งเล่มให้กับหมันเอ๋ออยู่แล้ว