กลางดึก หยู่เหวินเห้าถูกปลุกให้ตื่นขณะที่กำลังหลับสนิท ทังหยางสาวเท้าก้าวเข้ามาเร็วจี๋ พลางรายงานว่า: “รัชทายาทรีบตื่นเถอะ อ๋องฉีสั่งให้คนมารายงานว่าองค์ชายใหญ่เกิดเรื่องแล้ว”
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นเปิดม่าน เผยให้เห็นสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ “เกิดเรื่องรึ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“บาดเจ็บสาหัส พูดกันว่าเกือบจะไม่รอดแล้ว มีคนไปรายงานที่กรมการพระนครกลางดึก อ๋องฉีได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว และส่งคนมาแจ้งให้ท่านทราบพ่ะย่ะค่ะ” ทังหยางสรุปรายงาน
หยวนชิงหลิงได้ยินว่าคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็สะดุ้งตื่นเหมือนกัน “ข้าก็จะไปที่นั่นด้วย”
ทังหยางประสานมือแล้วหันหลังกลับออกไป รอให้ทั้งสองคนแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วเดินออกมา สวีอีก็รออยู่ข้างนอกเช่นกัน จากนั้นก็เร่งออกเดินทางไปกลางดึก
กล่องยาของหยวนชิงหลิงเตรียมไว้พร้อมแล้ว จับมือหยู่เหวินเห้าไว้แน่น
เมื่อครู่ทังหยางบอกว่า น่ากลัวว่าอาจจะไม่รอดแล้ว นางเห็นสายตาของเจ้าห้าพลันฉายแววหวั่นไหวอย่างปิดไม่มิด
หยู่เหวินจุนทำเรื่องชั่วช้าอำมหิตมามาก ทั้งยังลงมือกับเจ้าห้านับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลอบสังหารครั้งแรก เขาเกือบจะฆ่าเจ้าห้าได้สำเร็จเลยด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนั้น คนอย่างหยู่เหวินจุนถึงตายก็ไม่สาสมกับความผิดและบาปกรรมที่ทำลงไป แม้ว่าเจ้าห้าจะเกลียดเขาเข้าไส้ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ตายโดยไม่แยแสได้
หยู่เหวินเห้าจับมือนาง แล้วส่งสายตาปลอบโยนมาให้นางแวบหนึ่ง “ไม่เป็นไรหรอก”
รถม้าแล่นไปท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด สวีอีขับรถเอง เสียงหวดแส้ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม ก็มาถึงส่วนลานนอกบ้านของหยู่เหวินจุน
ลานบ้านจุดโคมไฟสว่างไสว ทั้งอ๋องฉีกับคนของกรมการพระนครต่างก็มาถึงกันหมดแล้ว ม้าของอ๋องฉียังไม่ได้ผูกให้เรียบร้อยด้วยซ้ำ เดินเพ่นพ่านไปมาอยู่ข้างนอก สวีอีรีบเข้าไปช่วยผูกไว้กับต้นไม้ ก่อนจะรีบวิ่งตามเข้าไปข้างใน
เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของกรมการพระนครก็ตามมาด้วย เนื่องจากได้รับรายงานคดีในกลางดึก ชั่วขณะนั้นต่างคนต่างก็ไม่รู้สถานการณ์ หัวหน้าพลตระเวนของกรมการพระนครเลยไปหาเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพ เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพรู้เรื่องทักษะทางการแพทย์บ้างเล็กน้อย มาถึงก็รีบช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วน จากนั้นอ๋องฉีก็ส่งคนไปเชิญหมอ แต่หมอที่ให้ไปเชิญยังไม่มา กลายเป็นว่าหยวนชิงหลิงมาถึงก่อน
เมื่อทั้งสามเข้าไป อ๋องฉีก็เข้ามา ตะโกนเรียกด้วยสีหน้าขาวซีดว่า “พี่ห้า!”
หยู่ดหวินเห้าพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม แล้วหันไปมองรอบ ๆ บนพื้นมีเลือดจำนวนมาก มีคนรับใช้สองคนคุกเข่าอยู่บนพื้น ร้องไห้กันจนแทบขาดใจ แต่ไม่เห็นฉู่หมิงหยาง
หยู่เหวินจุนนอนนิ่งอยู่บนเตียง ราวกับว่าเขาตายไปแล้ว บนใบหน้าขาวซีดเผือดสีราวกับไร้เลือด ปากเปิดอ้าออกเล็กน้อย แต่ไม่รู้สึกว่ามีลมเข้าออก
มีแผลที่หน้าผากแต่ไม่รุนแรง เหมือนจะโดนอะไรบางอย่างกระแทกใส่ แค่มีเลือดออกนิดหน่อย มีรอยแผลเล็ก ๆ ประมาณรอยตะปู แต่มีแผลใหญ่ที่น่าจะถึงแก่ชีวิตได้ที่หน้าอก เจ้าหน้าที่ชันสูตรพูดกับหยู่เหวินเห้าและหยวนชิงหลิงว่า : “เป็นรอยแผลที่เกิดจากกระบี่ ทั้งยังเป็นกระบี่ที่ดุดันรุนแรงมาก เรียกได้ว่าเกือบจะทะลุหัวใจเลยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงตรวจดูแล้ว พบว่าหัวใจของเขาเกือบจะหยุดเต้นไปแล้ว ระบบการหายใจก็อ่อนแอมาก บางครั้งชีพจรก็เต้น ๆ หยุด ๆ
ตรวจสอบบาดแผลเรียบร้อย และเริ่มการถ่ายเลือดฉุกเฉิน
หยู่เหวินเห้ากับอ๋องฉีกำลังสอบปากคำถึงคดีนี้ คนรับใช้ร้องไห้พลางพูดว่า: “ข้าน้อยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนที่พระชายาองค์ชายใหญ่กลับมาเมื่อคืน พวกเขาก็ทะเลาะกันใหญ่โต ทังยังสู้กันด้วย ข้าน้อยพยายามห้ามแล้วก็ห้ามไม่อยู่ พระชายาองค์ชายใหญ่เกือบถูกตีตายอยู่แล้ว นางวิ่งหนีออกไปข้างนอก
องค์ชายใหญ่ไม่ได้ไล่ตามไป กลับไปที่ห้องก็ทุบทำลายข้าวของครู่หนึ่ง จากนั้นก็กินเหล้าแล้วเข้านอน ข้าน้อยตื่นขึ้นมาเมื่อกลางดึก มองเข้าไปทางหน้าต่าง ก็เห็นว่ามีรอยเลือดบนพื้น เห็นองค์ชายใหญ่กำลังนอนอยู่บนเตียง แต่ที่หน้าอกมีเลือดไหล ทั้งยังไหลออกมาเยอะมากด้วย ข้าน้อยตกใจมากจึงรีบไปรายงานที่กรมการพระนครพ่ะย่ะค่ะ ”
หยู่เหวินเห้าถามด้วยใบหน้าที่เย็นชา: “ทำไมเขาถึงทะเลาะกับ ทั้งยังสู้กันด้วย?”
คนรับใช้ปาดน้ำตาลวก ๆ ริมฝีปากสั่นเทา “ข้าน้อยได้ยินว่าเป็นเพราะเรื่องเงิน องค์ชายใหญ่ให้พระชายาองค์ชายใหญ่ส่งเงินออกมา พระชายาองค์ชายใหญ่ตอบว่าไม่มี ก็เลยทะเลาะกัน สุดท้ายก็เกิดลงไม้ลงมือกันจนได้”
“พระชายาองค์ชายใหญ่ล่ะ? ออกไปแล้วก็ไม่เคยกลับมาอีกเลยรึ?” หยู่เหวินเห้าถาม
“ไม่กลับมาอีกเลย”
หยู่เหวินเห้าไปตรวจดูบาดแผลของกระบี่ แผลเป็นลักษณะตรง แทงเข้าไปโดยไม่มีร่องรอยขัดขืน จะเห็นได้ว่าใช้ความเร็วได้รวดเร็วมาก แผลนี้ไม่มีทางเกิดจากฝีมือฉู่หมิงหยางแน่ แม้ว่าฉู่หมิงหยางจะมีวรยุทธ์แค่ท่าดี แต่ถึงเวลาสู้จริง ๆ กลับไม่ค่อยได้ผล แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะฆ่าหยู่เหวินเห้าได้
เพราะคนที่กำลังภายในไม่แข็งแกร่ง การใช้กระบี่โจมตีจะทำให้กระแสลมพุ่งพล่าน จนถูกพบตัวได้อย่างรวดเร็ว หรือต่อให้จะไม่ถูกพบ ชั่วขณะที่กระบี่พุ่งเข้ามาใกล้ หยู่เหวินจุนต้องรู้ตัวตื่นแน่ แม้ว่าจะดึงกระบี่ออกไม่ทัน แต่มันต้องส่งผลให้บาดแผลเปลี่ยนตำแหน่งไปจากจุดตาย
และฆาตกรคนนี้ นอกจากจะใช้กระบี่ได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังมีพลังภายในที่ลึกล้ำด้วย การใช้พลังภายในกระตุ้นกระบี่ให้โจมตีอย่างรวดเร็ว เป็นสิ่งที่ตรวจจับไม่ได้ง่าย ๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทันทีที่กระบี่แทงเข้าแล้วดึงออก ความเจ็บปวดยังมาไม่ถึงเหยื่อ ฆาตกรก็อาจหนีไปแล้วด้วยซ้ำ กระบี่เล่มนี้รวดเร็วมากอย่างน่าอัศจรรย์
เขาถามคนรับใช้ว่า “เมื่อตอนกลางวันมีใครมาที่นี่บ้าง?”
คนรับใช้ตอบว่า “ฮูหยินรองตระกูลกู้แวะมาที่นี่ นางก็พูดถึงเรื่องเงินด้วยเช่นกัน พอได้ยินว่าองค์ชายใหญ่บอกว่าจะคืนเงินให้นาง ฮูหยินรองตระกูลกู้ก็ไม่ได้รั้งอยู่ต่อ ขอตัวกลับไปทันที”
เขาคาดว่าสาเหตุของการทะเลาะกัน น่าจะเป็นเพราะเรื่องเงินที่ยืมไปแน่นอนแล้ว ฮูหยินรองตระกูลกู้แวะมาวันนี้ ทำให้เรื่องปล่อยเงินกู้แดงออกมา หยู่เหวินจุนโกรธจนทะเลาะกับฉู่หมิงหยาง จนกระทั่งถึงขั้นลงไม้ลงมือทุบตีฉู่หมิงหยาง ตอนที่ฉู่หมิงหยางออกไป หยู่เหวินจุนก็ยังดี ๆ อยู่ นั่นจึงสรุปได้ว่า ฆาตกรมาหลังจากที่ฉู่หมิงหยางออกไปแล้ว
หรือจะเป็นหลินเซียว ?
เขาปัดตกความคิดนี้ทันที เพราะทางหลินเซียวมีองครักษ์ลับผีคอยจับตาดูอยู่ ถ้าเขาลอบมาฆ่าใครก็ตาม องครักษ์ลับผีจะต้องรู้อย่างแน่นอน
อ๋องฉีพาคนไปสำรวจรอบ ๆ กลับมาก็ถามว่า “พี่ห้า ข้าได้ยินหัวหน้าพลตระเวนรายงานว่าฆาตกรคือคนที่ใช้กระบี่เร็ว แต่บาดแผลเช่นนี้เกิดจากอาวุธอะไรก็ได้ ต้องเป็นกระบี่เร็วเท่านั้นหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าอธิบายว่า: “บาดแผลนี้หากไปอยู่บนร่างคนอื่น ก็อาจไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ใช้กระบี่เร็ว แต่ถ้านำมาใช้กับหยู่เหวินจุน นั่นจำเป็นต้องยืนยันไว้ก่อนว่าใช่ หยู่เหวินจุนมีวรยุทธ์อยู่ในขั้นที่สูง มีพลังภายในที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง ต่อให้เขากำลังหลับอยู่ แม้จะเมาเหล้าก็ยังสัมผัสได้ถึงชี่ของกระบี่ แม้ว่าจะสายเกินไปที่จะปัดป้อง ก็ต้องสามารถเบี่ยงเบนวิถีของกระบี่ที่ชักออกมาได้ แต่ตอนนี้ไม่เห็นอะไรแบบนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายลงมือได้อย่างรวดเร็วมาก”
อ๋องฉีถามว่า “เช่นนั้นในเมืองหลวง มีกี่คนที่สามารถใช้เพลงกระบี่ที่รวดเร็วได้ถึงขนาดนี้?”
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเคร่งเครียดว่า: “มีไม่มาก ข้า สวีอี ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายหงเย่ที่ชื่ออะโฉ่ว ผู้ดูแลบ้านของตระกูลฉู่ พวกยอดฝีมือที่รับสมัครแล้วถูกคัดเลือกเข้ามาจากจวนเจ้าพระยา ในกองทหารรักษาพระองค์ก็มีอยู่หลายคนที่ทำได้ แล้วก็กู้ซือที่ทำได้เหมือนกัน”
เขาจงใจไม่พูดถึงสำนักเหลิ่งหลัง เพราะไม่คิดอยากให้สำนักเหลิ่งหลังเข้ามามีส่วนในขอบข่ายของการสืบสวนครั้งนี้
การที่หยู่เหวินจุนถูกทำร้าย ต้องเป็นคดีใหญ่ในเมืองหลวงแน่นอนแล้ว แม้ว่าตอนนี้เสด็จพ่อจะไม่อยากพบหน้าเขานัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นโอรสองค์โต ความเป็นความตายของเขายังคงสั่นคลอนเมืองหลวงได้ไม่น้อย
ดังนั้น จึงต้องมีการสืบสวนอย่างเข้มงวด
เขาเดินไปถามหยวนชิงหลิงว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “หลังจากการถ่ายเลือด ก็มีอาการดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่พ้นขีดอันตราย แล้วข้าก็ไม่รู้เขาว่าจะรอดไปได้หรือไม่ ต่อให้ฝืนยื้อชีวิตจนช่วยเขาไว้ได้ แต่เพราะตอนที่เขาเสียเลือดมากเกินไปจึงเกิดสภาวะช็อก อาจส่งผลให้หลงเหลืออาการของโรคที่เกิดภายหลังการบาดเจ็บที่ร้ายแรงมากก็เป็นได้ ”
“ทำให้ดีที่สุดเถอะนะ!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ในดวงตามีแวววิงวอนขอร้อง
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ข้าจะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว เจ้าวางใจเถอะ”
หยู่เหวินเห้ามองดูใบหน้าซีดขาวของหยู่เหวินจุน ชายผู้นี้เคยหยิ่งยโสไม่เห็นหัวใคร มาตอนนี้ชีวิตกลับกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาไม่สามารถบอกได้ว่าในใจเขามันรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่ไม่ใช่ความรู้สึกสาแก่ใจอย่างแน่นอน
แล้วก็ไม่ได้มีความรู้สึกโศกเศร้าเกินทนด้วยเช่นกัน
กลายเป็นว่าอ๋องฉีดูเหมือนจะมีอาการอกสั่นขวัญหายเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาเขาเป็นคนใจอ่อน ขนาดตอนที่ฉู่หมิงชุ่ยผู้หญิงที่คิดจะจุดไฟเผาเขา ต้องถึงที่ตายลงไปในที่สุด เขาก็เศร้ามากจนแทบคุมสติไม่อยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพี่น้องเลยด้วยซ้ำ