แม้ว่าฉู่หมิงหยางกับฮูหยินรองตระกูลกู้ จะไม่ได้ถูกสงสัยว่าเป็นนักฆ่า เพราะฮูหยินรองตระกูลกู้มาเพื่อทวงเงินในตอนกลางวันเท่านั้น แต่พอถึงตอนกลางคืน ฉู่หมิงหยางก็เกิดทะเลาะกับหยู่เหวินจุนเพราะเรื่องเงิน จนถึงกับลงไม้ลงมือตบตีกันใหญ่โต ดังนั้นทั้งสองฝ่ายนี้จะอย่างไรกรมการพระนครก็ต้องถามให้แน่ชัด
หลังจากที่วันนี้ฮูหยินรองตระกูลกู้ไปทวงถามเงินจากหยู่เหวินจุน นางถึงกับมั่นใจเก้าในสิบส่วนเลยทีเดียวว่าคงจะได้เงินคืนแน่ คิดว่าถึงแม้ตอนนี้จะมีปัญหามากมาย แต่จะดีจะร้ายก็ทำกำไรได้ค่อนข้างมาก ก็พอจะนับว่าสบายใจไปได้เปลาะหนึ่ง
คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าในกลางดึก คนของกรมการพระนครจะบุกมาหา แล้วปลุกนางให้ตื่น บอกว่าองค์ชายใหญ่ถูกคนลอบสังหาร ทำให้นางสับสนงุนงงไปหมดแล้ว
เนื่องจากเกิดเรื่องกับองค์ชายใหญ่ คนของกรมการพระนครจึงตบเท้ามากันกลางดึก ดังนั้นเจ้าพระยากู้จึงออกมาดูด้วย รวมถึงบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในจวนตระกูลกู้ ต่างก็ลุกขึ้นมาถามไถ่กันให้สลอน
เดิมทีเงินของฮูหยินรองตระกูลกู้เป็นเงินเก็บลับ ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แท้ที่จริงนางได้หักเงินจากกองกลางไว้ไม่น้อย เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฮูหยินเจ้าพระยากู้ล้มป่วย ได้มอบหมายให้นางเป็นคนดูแลกิจการภายในบ้านแทน ในช่วงหลายปีนั้น นางได้หักเงินไปไม่น้อย ไม่อย่างนั้นหากอาศัยเฉพาะเงินส่วนของนางเอง ไหนเลยจะสามารถเก็บสะสมเงินไว้ได้ตั้งหลายแสนตำลึงเช่นนี้?
ดังนั้น บรรดาผู้อาวุโสก็อยู่กันจนครบ บรรดาสมาชิกในบ้านในเรือนก็อยู่กันจนครบ นางจึงไม่กล้าคุยเรื่องเงินกู้ บอกเพียงแค่ว่านางให้ฉู่หมิงหยางยืมเงินไปหลายพันตำลึง เห็นว่านานแล้วนางไม่เอามาคืนเสียที จึงไปหาที่จวนเพื่อกระตุ้นนางเสียหน่อย แต่เพราะฉู่หมิงหยางไม่อยู่ นางจึงพูดกับองค์ชายใหญ่แทน
ฮุหยินเจ้าพระยากู้รู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้ว นางรู้ดีว่าน้องสะใภ้คนนี้ตระหนี่ถี่เหนียวขนาดไหน แต่ก่อนนางประจบสอพลอแม่ของฉู่หมิงหยางมาตลอด แต่หลังจากที่แม่ของฉู่หมิงหยางตายไป ก็ไม่เคยเห็นว่านางจะจริงใจกับลูกของลูกพี่ลูกน้องคนนี้อีกเลย ถ้าจะบอกว่าในเวลาปกติมาขอความช่วยเหลือเป็นเงินทุน อย่างมากสุดก็คงให้ซักแค่ไม่กี่สิบตำลึงแล้วก็ให้กลับไปเพื่อรักษาหน้าตระกูลกู้ แต่ถ้าจะบอกว่าให้ฉู่หมิงหยางยืมเงินไปครั้งละหลายพันตำลึง นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้แน่
แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คนของกรมการพระนครมาสอบถามเรื่องนี้ นางย่อมไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะถึงอย่างไร คำถามตามระเบียบเหล่านี้ต่างก็ถูกถามออกไปจนหมดแล้ว
แต่กู้ซือกับหยวนชิงผิงต่างก็รู้เรื่องนี้ดีแก่ใจอยู่แล้ว ดังนั้น หลังจากที่คนจากกรมการพระนครมาสอบถามเสร็จ กู้ซือก็เข้าไปคุยเรื่องนี้กับเจ้าพระยากู้ พอเจ้าพระยากู้ได้ยินเรื่องนี้ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงเรียกท่านชายรองกู้มา แล้วสั่งให้เขาจัดการเรื่องของภรรยารองให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้ อย่าได้ทำให้จวนเจ้าพระยาต้องพลอยลำบากไปด้วย
ท่านชายรองกู้คนนี้มีนิสัยที่ค่อนข้างโอนอ่อนผ่อนตาม แต่เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว เขาก็สามารถยืนหยัดอย่างแข็งกร้าวได้ หลังจากเค้นถามไปรอบหนึ่ง ฮูหยินรองตระกูลกู้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องยอมสารภาพความจริงออกไปทั้งหมด รวมถึงแหล่งที่มาของเงินก็อธิบายออกไปอย่างละเอียดด้วย ท่านชายรองกู้ถึงกับจับตัวนางไว้ แล้วพาไปที่ห้องโถงรวมเพื่อสารภาพความผิด ทั้งยังให้สัญญาว่าถ้าได้เงินคืนมาเมื่อไหร่ จะคืนเงินส่วนใหญ่ให้กับกองกลางทันที
ฮูหยินรองตระกูลกู้ทั้งโกรธทั้งเกลียด เคียดแค้นฉู่หมิงหยางจนเข้ากระดูกดำเลยทีเดียว นางรู้ว่าฉู่หมิงหยางไปไล่ยืมเงินจากคนจำนวนมาก นางจึงสั่งบรรดาคนรับใช้ในจวนกลางดึกคืนนั้นเลยว่า เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ให้ออกไปเผยแพร่ข่าวลือว่าฉู่หมิงหยางโกงเงินคนจำนวนมากให้ทั่วเมือง
เดิมที กำหนดเวลาในการชำระดอกเบี้ยของฉู่หมิงหยางช่วงนี้ เกิดความล่าช้าครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าสุดท้ายจะจ่ายได้หมด แต่ก็ทำให้บรรดาฮูหยินต่างพากันไม่สบายใจ เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทุกคนจึงอยากไปหาฉู่หมิงหยางเพื่อทวงเงินคืน
แต่ฉู่หมิงหยางไปไหนเสียแล้วล่ะ? นางไม่ได้อยู่ที่เรือน ทั้งไม่ได้กลับไปที่บ้านตระกูลฉู่ ทำให้ผู้คนต้องเปลืองแรงตามหานางจนแทบพลิกแผ่นดิน สุดท้าย กรมการพระนครก็เป็นผู้ที่ตามหานางจนพบเป็นคนแรกที่สำนักนางชีหมิงเยว่
ตอนสอบปากคำ นางเล่าว่าทะเลาะกับหยู่เหวินจุนเพราะเรื่องเล็กน้อย นางไม่สามารถอยู่ร่วมกับหยู่เหวินจุนได้อีกต่อไปแล้วจริง ๆ แต่นางไม่กล้ากลับไปบ้านตระกูลฉู่ เพราะกลัวว่าท่านปู่จะเสียใจจนโกรธเคืองขึ้นมา แล้วไปคิดบัญชีกับหยู่เหวินจุนแทนนางจนเกิดเรื่องใหญ่โต
ดังนั้น หลังจากที่เดินร่อนเร่ไร้จุดหมายด้วยใจที่เจ็บปวดอยู่พักหนึ่ง ก็คิดขึ้นมาได้ว่าอยู่อย่างนี้ต่อไปก็คงจะไม่มีประโยชน์ จึงไปที่สำนักนางชีเพื่อหาที่พำนักอาศัย ตัดสินใจว่าจะโกนผมบวชเป็นแม่ชี
คำพูดเหล่านี้ฟังดูแล้วก็สมเหตุสมผลอยู่ ตอนที่หัวหน้าพลตระเวนกลับมารายงานหยู่เหวินเห้า ในใจของหยู่เหวินเห้าก็รู้เหตุรู้ผลดีแล้ว เพราะคนของเขาคอยจับตามองหลินเซียวอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งหลังจากที่ฉู่หมิงหยางออกจากจวนไป เพราะมันไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรในคดีมากมาย หลินเซียวไม่เคยออกจากที่พักเลย เขาแค่สั่งให้คนไปส่งฉู่หมิงหยางที่สำนักนางชี ดังนั้นฆาตกรต้องไม่ใช่เขาแน่
หลังจากที่ฉู่หมิงหยางถูกนำตัวกลับไปสอบปากคำที่กรมการพระนครแล้ว อ๋องฉีก็สั่งให้คนไปส่งนางกลับบ้านตระกูลฉู่ ก็นับว่าเขาได้พยายามให้ความช่วยเหลืออดีตพี่สะใภ้เล็กคนนี้อย่างถึงที่สุดเท่าที่น้องสามีคนหนึ่งจะทำได้แล้ว
หลังจากที่ฉู่หมิงหยางกลับไป ก็มีคนมากมายไปหานางเพื่อทวงหนี้ ผู้ดูแลบ้านไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ทั้งไม่รู้ว่าควรจะปล่อยให้เข้าไปดีหรือไม่ จึงไปรายงานโสวฝู่ฉู่ ทางโสวฝู่ฉุ่จึงบอกว่า : “ ติดหนี้ก็ต้องใช้หนี้ มันเป็นหลักการธรรมดาของฟ้าดินที่ควรทำ คนเขามาทวงเงินของเขาคืน จะปล่อยให้ยืนรออยู่ข้างนอกได้อย่างไรกัน? ไปพาเข้ามาพบพระชายาองค์ชายใหญ่ให้หมดนั่นล่ะ”
เมื่อมีคำพูดนี้ของโสวฝู่ฉู่ คนที่มาทวงหนี้จึงกรูกันเข้ามาราวฝูงผึ้งแตกรัง เพียงชั่วพริบตา จวนตระกูลฉู่ก็ดูเหมือนตลาดสดที่เอะอะอึกทักอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีใครในบรรดาคนที่มาทวงหนี้ กล้าก่อปัญหาในจวนตระกูลฉู่เช่นกัน
ฉู่หมิงหยางใช้อาการบาดเจ็บเป็นข้ออ้าง เลื่อนเวลาที่จะไปหาเถ้าแก่ซุนเพื่อทวงหนี้ออกไปก่อน ดังนั้นจึงขอให้ทุกคนกลับไปรอที่บ้าน หรือไม่อย่างนั้น ก็ให้ไปหาเถ้าแก่ซุนเพื่อทวงเงินด้วยตัวเองก็ได้
แต่เงินเหล่านั้นถูกยืมโดยผ่านมือของฉู่หมิงหยางทั้งสิ้น ต่อให้ไปหาเถ้าแก่ซุนก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ ฉู่หมิงหยางที่เดิมทีล้วนมีแต่คนที่โห่ร้องก้องตะโกนให้คืนเงิน ก็ถูกมองราวกับว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ต้องเคารพบูชาขึ้นมาทันที ที่เด็ดสุดคือ พอวันรุ่งขึ้นบรรดาเจ้าหนี้ต่างก็นำหยูกยาอาหารเสริมมาให้ถึงบ้าน เพราะหวังว่านางจะหายดีได้ในเร็ววัน แล้วออกไปทวงถามหนี้จากเถ้าแก่ซุนมาคืนให้พวกเขาได้สักที
หลังจากที่ฉู่หมิงหยางรักษาอาการบาดเจ็บได้หลายวัน โสวฝู่ฉู่ก็ส่งคนมาถามว่า เวลานี้นางสมควรจะกลับไปจวนทางนั้นได้แล้วใช่หรือไม่?
ฉู่หมิงหยางย่อมไม่กล้าออกจากจวนตระกูลฉู่เป็นธรรมดา นางไปคุกเข่าร้องห่มร้องไห้ตรงหน้าโสวฝู่ฉู่ บอกว่ายอมเป็นแม่ชีเสียยังดีกว่า อย่างไรก็จะไม่กลับไปรับใช้องค์ชายใหญ่อีกเป็นอันขาด ยังบอกด้วยว่า นางกับองค์ชายใหญ่ตัดขาดความสัมพันธ์ที่มีต่อกันจนหมดสิ้นแล้ว
โสวฝู่ฉู่กลับไม่ได้ฝืนบังคับนาง ทั้งยังอนุญาตให้นางอยู่ในจวนต่อไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ฉู่หมิงหยางนึกประหลาดใจมากจริง ๆ เดิมทีนางคิดว่าคงต้องร้องไห้ฟูมฟาย ตีอกชกหัว ขู่ว่าจะแขวนคอตายเสียก่อนถึงจะสำเร็จเสียอีก
ฉู่หมิงหยางจึงอยู่ในบ้านตระกูลฉู่ต่อไปในสภาพนี้ ติดหนี้ก้อนใหญ่อยู่ข้างนอก ไม่กล้าออกไปไหนทั้งสิ้น
ส่วนทางหยู่เหวินจุน จนวันนี้ก็ยังคงอยู่ในสภาพเป็นตายเท่ากัน ไม่มีเครื่องมือตรวจสอบที่ชัดเจน หยวนชิงหลิงจึงไม่สามารถพูดได้ว่า สถานการณ์มันเลวร้ายขนาดไหนกันแน่
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเรื่องกับหยู่เหวินจุน หยู่เหวินเห้าก็เข้าวังไปรายงานเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงทราบเรื่องนี้แล้ว แต่กลับเก็บมันไว้เป็นความลับไม่ให้ฉินเฟยรู้
ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ฟังรายงานแล้ว ก็ไม่ได้ตรัสอะไรออกมา ไม่มีแม้แต่ท่าทางที่สื่อถึงความโศกเศร้า ราวกับว่านั่นเป็นคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตนเอง กระทั่งเรื่องของอาการบาดเจ็บก็ยังไม่ค่อยถามถึงด้วยซ้ำ ถามเพียงแค่ว่าหยวนชิงหลิงได้ไปดูอาการแล้วหรือไม่?
แต่เพราะอาการบาดเจ็บไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย หยู่เหวินจุนจนบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้น ฮ่องเต้หมิงหยวนจึงเริ่มมีอาการนั่งไม่ติดที่ขึ้นมาบ้างแล้ว จึงมีราชโองการรับสั่งให้หยวนชิงหลิงเข้าวัง
หยู่เหวินเห้าก็ตามหยวนชิงหลิงเข้าไปในวังด้วย เมื่อไปถึงห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับมีรับสั่งให้หยวนชิงหลิงเข้าไปแค่คนเดียว แล้วส่งหยู่เหวินเห้าไปน้อมทักทายไท่ซ่างหวงแทน
หลังจากที่หยวนชิงหลิงเข้าไปในห้องทรงพระอักษรแล้ว ฮ่องเต้หมิงหยวนจึงสั่งให้คนยกอาหารเข้ามา วันนี้พระองค์ไม่ได้เสวยทั้งมื้อเช้าและมื้อกลางวัน จนตอนนี้เลยยามเซินไปแล้ว (ช่วงเวลา 15.00 น. – 17.00 น. ) ถ้าผ่านไปอีกสักพัก พระอาทิตย์ก็จะตกดินอีกครั้งแล้ว
มู่หรูกงกงได้ยินว่าพระองค์จะเสวยกระยาหารแล้ว น้ำตาก็แทบจะไหลอาบหน้าให้ได้ รีบกระวีกระวาดไปสั่งให้คนเตรียมทันที
วันนี้หยวนชิงหลิงก็ไม่ได้กินข้าวกลางวันเช่นกัน เพราะต้องคอยให้น้ำเกลือหยู่เหวินจุนตลอด ยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนไปหมดพอมีราชโองการมาก็ต้องรีบเข้าวังทันที จึงไม่มีเวลากินข้าว
นางสังเกตจากสีหน้าและคำพูด ก็เห็นว่าท่าทีของฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ถึงขั้นเคร่งขรึมหนักอึ้ง แต่คิ้วยังคงขมวดเป็นปมอยู่ตลอด ดังนั้น นางจึงไม่กล้าทำตัวผ่อนคลายสบาย ๆ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพียงรอคอยอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งอาหารยกมาขึ้นโต๊ะ จากนั้นก็รอให้ฮ่องเต้หมิงหยวนเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม