อาหารยกมาแล้ว แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับไม่ได้ถามคำถามอะไร แค่ปล่อยให้นางกินข้าว
หยวนชิงหลิงหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกิน แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ร่วมโต๊ะกับเสด็จพ่อ แต่ครั้งนี้ นางไม่อาจรู้สึกผ่อนคลายสบายใจได้ เพราะที่นางกำลังเผชิญหน้าอยู่ คือพ่อที่มีอายุมากแล้วคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะต้องสูญเสียลูกชายของตัวเองไป
ต่อให้จะโกรธที่หยู่เหวินจุนไม่รู้ความมากแค่ไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนเป็นพ่อจะเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของเขาโดยไม่ดูดำดูดี
ดังนั้นอาหารมื้อนี้ แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะหิวมาก แต่นางก็กินอะไรได้ไม่เยอะ เพราะใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่
ในทางกลับกัน ฮ่องเต้หมิงหยวนกลับเสวยข้าวไปหนึ่งชามเต็ม ๆ ทั้งยังดื่มน้ำแกงเข้าไปถึงสามชามติด ๆ จนมู่หรูกงกงต้องเข้ามาหยุดไว้ ฮ่องเต้ยังสั่งให้เขาถอยไปอย่างเคือง ๆ ทำเอาหยวนชิงหลิงที่เห็นเหตุการณ์อยู่ตำตา พาลรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาบ้างแล้ว
ในวังนี้มีกฎในการกินข้าวอยู่ว่า ไม่ว่าอาหารจานนั้นจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม ก็จะไม่มีการคีบซ้ำเกินสามครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดื่มน้ำแกงทีเดียวสามชามติด ๆ เลยด้วย
เมื่อเห็นฮ่องเต้หมิงหยวนที่เป็นเช่นนี้นางก็เกิดความรู้สึกทรมานใจขึ้นมาเล็กน้อย
ตั้งแต่หยู่เหวินจุนเกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ นางก็แค่ทำการรักษาให้ตามหน้าที่ของหมอไปก็เท่านั้น แต่นางไม่เคยมีอารมณ์ร่วมอื่นใดเลยทั้งสิ้น ทว่าในตอนนี้ เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับฮ่องเต้หมิงหยวน นางก็ถึงกับคิดว่าถ้าหยู่เหวินจุนไม่เป็นไร มันคงจะทำให้พระองค์มีความสุขได้ นางจึงหวังขึ้นมาจริง ๆ ว่าหยู่เหวินจุนจะไม่เป็นไร
หลังจากฮ่องเต้หมิงหยวนเสวยเสร็จ ก็เช็ดมุมพระโอษฐ์ รอจนมู่หรูกงกงสั่งให้คนมายกอาหารที่เหลือออกไปจนหมด ก็กดพระหัตถ์ทั้งสองข้างลงบนโต๊ะหนัก ๆ เงยพระพักตร์ขึ้นมองหยวนชิงหลิง ” กินอิ่มแล้ว เช่นนั้นก็พูดมาเถอะ สถานการณ์ของเขาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกทรมานใจมาก เขาอยากกินให้อิ่มก่อนถึงค่อยฟัง เพราะกลัวว่าหลังจากฟังแล้ว คืนนี้คงจะกินข้าวไม่ลงนั่นเอง
เขาแบกแผ่นดินทั้งผืนไว้บนบ่า ดังนั้นเขาจึงต้องกินข้าวเพื่อให้มีแรงต่อ
หยวนชิงหลิงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า : “สถานการณ์ไม่ดีอย่างที่คิด เขาเสียเลือดมากเกินไป ตอนที่พบตัวก็ถือว่าช้าเกินไปแล้ว ตอนนี้เรียกว่าแค่ยื้อลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้ได้เท่านั้น ใช้การสรุปของเจ้าห้ามาวิเคราะห์ได้ว่า หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็รีบปิดผนึกจุดชีพจรไว้ในทันที แม้ว่าผลที่ได้จะไม่ดีนัก แต่ก็ช่วยยับยั้งเลือดที่ไหลออกต่อเนื่องได้ระดับหนึ่ง จึงยังพอจะสามารถรักษาชีวิตนี้ไว้ได้เพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนขยับพระหัตถ์ขึ้นไปข้างหน้า แต่ร่างกายกลับขยับถอยมาข้างหลัง “ถ้าอย่างนั้น ตามความเห็นของเจ้า พอมีโอกาสฟื้นขึ้นมาได้บ้างหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงพิจารณาคำพูดไปรอบหนึ่ง ไม่กล้าพูดคำว่าตายออกมา แค่พูดว่า: “อาจมีโอกาสที่จะดีขึ้นได้ แต่ก็แค่นั้น เพราะต่อให้ดีขึ้นจริง ก็เกรงว่าอาการของโรคที่แสดงออกในภายหลัง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการบาดเจ็บคงจะร้ายแรงมากเพคะ”
“จะเป็นอย่างไรรึ?”
“ ส่วนของสมองอาจจะเสียหาย มีโอกาสที่จะมีสภาพแบบคนที่ต้องนอนเป็นผัก หรือหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาก็อาจสมองรับรู้ช้า หรือลืมเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีตไปเป็นต้น ตอนนี้พวกเรายังคาดเดาอะไรไม่ได้มาก ได้แต่ต้องคอยติดตามความคืบหน้าต่อไปเพคะ”
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้หมิงหยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าเขาไม่ตาย ก็ไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้วอย่างนั้นสินะ?”
“นี่ก็ .… พูดไม่ได้แบบชี้ชัดว่าจะถึงขั้นนั้นเพคะ แต่โดยรวมแล้วมันเป็นเช่นนี้” หยวนชิงหลิงแบ่งรับแบ่งสู้
“มีโอกาสที่จะฟื้นขึ้นมาได้อยู่กี่ส่วน?” ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสถามขึ้นอีกครั้ง
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบา ๆ “ไม่มากเพคะ ไม่ถึงหนึ่งส่วน”
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกเหมือนดั่งตรงหน้าถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันจนดูพร่าเลือน นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา หยวนชิงหลิงก็ไม่กล้ามองพระองค์เช่นกัน พยายามเค้นสมองก็คิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรออกไปดีถึงจะเหมาะ สุดท้ายจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบไปด้วยอีกคน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งแล้วเรียกเจ้าห้ามาที่นี่หน่อย”
“เพคะ!” หยวนชิงหลิงรู้สึกโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ลุกขึ้นยืนแล้วค้อมตัวคำนับทันที “หม่อมฉันทูลลาเพคะ!”
หลังจากถามถึงอาการบาดเจ็บแล้ว ก็ควรจะถามเกี่ยวกับคดีนี้สักหน่อย หยวนชิงหลิงคิดในใจว่าถ้าหยู่เหวินจุนจะลดความทะเยอทะยาน หรือปรารถนาในอำนาจให้น้อยลงหน่อย ก็คงจะไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้จริง ๆ นั่นแหล่ะ
หยวนชิงหลิงเพิ่งหันหลังไป แต่กลับได้ยินเสียงของฮ่องเต้หมิงหยวนดังขึ้นมาอีกครั้งว่า“ช้าก่อน เจ้านั่งลงก่อน!”
หยวนชิงหลิงตอบรับขึ้นมาเสียงหนึ่ง แล้วกลับมานั่งลงอีกครั้ง จ้องมองฮ่องเต้
ฮ่องเต้หมิงหยวนดึงพระหัตถ์ออกจากโต๊ะ วางหัตถ์ขวาไว้บนพระนลาฏ ใช้สองนิ้วถูขมับทั้งสองข้าง เงาพระหัตถ์ทั้งสองข้างปกคลุมพระพักตร์ สีพระพักตร์ในยามนี้มืดมนดำคล้ำ สายพระเนตรฉายแววเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าออกมาให้เห็น
หลังจากถูไปได้ครู่หนึ่ง ก็ค่อยวางลงแล้วมองดูหยวนชิงหลิง สุรเสียงเหนื่อยล้า สีพระพักตร์ขาวซีด “เมื่อคืนนี้ข้าแทบจะนอนไม่หลับเลย พอจะได้งีบหลับไปครู่หนึ่งช่วงก่อนรุ่งสาง แต่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาทันทีเพราะความฝัน”
หัวใจของหยวนชิงหลิงหดเกร็งน้อย ๆ “เสด็จพ่อโปรดทำพระทัยให้สบาย พระวรกายของท่านมีความสำคัญนะเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกด ๆ พระหัตถ์ แล้วตรัสว่า: “ในความฝัน ข้าเห็นเขามาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ข้ายกโทษให้เขาในบาปกรรมที่ตัวเองไม่กตัญญู ยังบอกด้วยว่าต่อจากนี้ไป เขาคงไม่สามารถคอยดูแลรับใช้อยู่ข้าง ๆ ข้าได้อีกต่อไปแล้ว”
หัวใจของหยวนชิงหลิงเต้นระทึก “เสด็จพ่อ นั่นเป็นเพียงความฝันนะเพคะ”
“ใช่แล้ว เป็นแค่ความฝัน!” ความโศกเศร้าในดวงเนตรของฮ่องเต้หมิงหยวนค่อย ๆ มา รวมตัวกันช้า ๆ “แต่มันดูแล้วสมจริงมาก ข้ายังถึงกับได้ยินเสียงร้องไห้ของเขาอยู่เลย ช่างชัดเจนยิ่งนัก แต่ดูเหมือนว่าเพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นานมานี้เอง เขายังไม่ค่อยโตเท่าไหร่ ยังเดินไม่เป็นด้วยซ้ำ พอข้าอุ้มเขา ดวงตาคู่นั้นของเขาก็สว่างจ้าราวดวงดาวบนท้องฟ้า ตอนนั้นพวกขุนนางต่างก็บอกว่าลูกชายคนนี้จะสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ในอนาคต เขา… เป็นลูกชายคนโตของข้า เป็นลูกชายคนแรกของข้า แม้ว่าต่อมาข้าจะมีลูกอีกหลายคน แต่ถึงอย่างไรลูกคนแรกก็ต่างออกไปจริง ๆ”
หยวนชิงหลิงได้ฟังในใจก็รู้สึกทรมานมาก พลันรู้สึกแสบร้อนที่จมูก น้ำตาก็ไหลออกมาจนได้ สะอื้นเบา ๆ พลางพูดว่า: “เสด็จพ่อ อย่าได้โศกเศร้าเลยนะเพคะ”
“ตรงนี้ล่ะ คือสิ่งที่น่าเศร้าที่สุด” ฮ่องเต้หมิงหยวนลุกขึ้นยืนช้า ๆ ราวกับว่าพระองค์ดูชราลงไปมากในระยะเวลาสั้น ๆ น้ำเสียงสั่นหวิวไหวหวั่น “เขาไม่คู่ควรที่จะให้ข้าโศกเศร้าเสียใจให้ด้วยซ้ำ เขาเป็นถึงองค์ชายใหญ่ แต่กลับเป็นคนที่ไม่เอาไหนใช้ไม่ได้ที่สุดในหมู่มวลลูกทั้งหมด ”
ตอนที่หยู่เหวินจุนถูกลดตำแหน่ง ฮ่องเต้หมิงหยวนก็เคยโศกเศร้ามากเช่นกัน ในเวลานั้นหยวนชิงหลิงก็รู้ดี แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งนั้น เพราะครั้งนี้หยวนชิงหลิงได้ยินความสิ้นหวังในน้ำเสียงของพระองค์ด้วย
“ น่ากลัวว่าเขาคงจะทำอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้วล่ะ เจ้าไปบอกตี๋กุ้ยเฟยว่าให้นางเลื่อนกำหนดการแต่งงานของเทียนเอ๋อขึ้นมาให้เร็วที่สุดจะดีกว่า” ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสด้วยสุรเสียงหนักอึ้ง จากนั้นค่อยยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นสัญญาณให้หยวนชิงหลิงออกไป
หยวนชิงหลิงค้อมกายคำนับจากด้านหลังพระองค์ “เพคะ เสด็จพ่อโปรดระวังสุขภาพด้วย!”
หยวนชิงหลิงไปที่พระตำหนักฉินคุน แล้วบอกหยู่เหวินเห้าว่าให้ไปที่ห้องทรงพระอักษร
“เสด็จพ่ออารมณ์เป็นอย่างไรบ้างรึ?” หยู่เหวินเห้าถามเบา ๆ
“เศร้ามาก” ขอบตาของหยวนชิงหลิงยังคงเป็นสีแดงเรื่อ ๆ
หยู่เหวินเห้าตกตะลึงไปชั่วขณะ “วันนั้นข้าเข้าวังไปรายงาน พระองค์ไม่ตรัสอะไรเลย ทั้งยังไม่มีท่าทีเศร้าโศกให้เห็นเลยด้วย ข้ายังนึกอยู่ว่า…. พระองค์จะไม่สนพระทัยแล้วเสียอีก”
“สุดท้ายก็เป็นลูกชายแท้ ๆ ล่ะนะ ทำไมจะไม่สนใจได้ล่ะ?” หยวนชิงหลิงรู้สึกขมฝาดในใจ “พวกเราเองก็เป็นพ่อแม่คนเหมือนกัน นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถตัดขาดละทิ้งได้”
หยู่เหวินเห้าถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “เอาเถอะ ข้าจะไปที่นั่นก่อน เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนเสด็จปู่เถอะนะ ท่านเองก็ไม่มีความสุขนักหรอก”
เรื่องเช่นนี้ ใครจะไปมีความสุขไหวกันล่ะ?
หยวนชิงหลิงเดินเข้าไป หยู่เหวินเห้าก็เดินออกไป ทั้งสองคนจับมือกันกลางอากาศเพียงครู่สั้น ๆ แล้วแยกกันไป
ไท่ซ่างหวงประทับนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ฝูเป่ากำลังคลานไปมาอยู่ใต้พระบาท หนึ่งคนหนึ่งสุนัข แลดูบรรยากาศช่างสงบผ่อนคลายมาก
หยวนชิงหลิงเอนตัวเข้าไป แล้วจับพระหัตถ์ของไท่ซ่างหวงไว้ “ท่านอย่าเศร้าไปเลยนะเพคะ”
“ทำอะไรไว้ ก็ต้องว่ากันไปตามเนื้อผ้า ไม่มีอะไรต้องเศร้าเสียหน่อย” ไท่ซ่างหวงตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ตลอดชีวิตนี้ของเขา ได้ผ่านประสบการณ์ที่ได้พบเจอ แล้วต้องพรากจากมากมายจนนับไม่ถ้วน ตัวเขาเอง ก็มีประสบการณ์ที่ผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้งหลายหนแล้วเช่นกัน
หยวนชิงหลิงไม่พูดอะไรอีก แค่นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ เขา
ฝูเป่าส่งเสียงครางหงิงในลำคอขึ้นมาเสียงหนึ่ง เหยียดตัวแล้วกระโจนเข้ามา ไปทิ้งตัวบนรองเท้าที่อยู่ตรงหน้าหยวนชิงหลิง รอยแผลเป็นบนตัวของมันยังคงมองเห็นได้ชัดเจนอยู่มาก ค่อนข้างดูน่ากลัวไม่น้อย หยวนชิงหลิงกวาดสายตามองทั่วพระตำหนักฉินคุนแห่งนี้ ในสมองก็นึกหวนไปถึงครั้งแรกที่ได้เข้าวังมา ณ. เวลานั้นไท่ซ่างหวงทรงประชวรหนัก ส่วนนางเองก็เรียกได้ว่าเป็นตายเท่ากัน เพียงชั่วพริบตา ก็พบว่าเวลาได้ผ่านพ้นไปถึงสี่ปีแล้ว