หลังจากตี๋กุ้ยเฟยออกจากจวนอ๋องอานแล้ว ก็ส่งคนเอาผ้าพันคอไปที่จวนอ๋องหวยทันที
หรงเยว่รีบไปที่จวนอ๋องฉู่ ให้ตอเป่าดมผ้าพันคอครู่หนึ่ง พานางไปที่วัดฮู่กว๋อรอบหนึ่งก่อน
สวีอีทางนั้นที่ได้จับตามองจ้าวหงฟ่างก็มีข่าวคราวแล้ว แอบสืบรอบหนึ่ง พบว่ามีพ่อค้าเร่ขายยาไม่น้อยไปขอเงินจากเขาถึงบ้าน จากตรงนี้สามารถยืนยันได้ว่าเขาก็คือตัวตั้งตัวตีที่อยู่เบื้องหลังการรับซื้อยาอย่างโจ่งแจ้ง แต่ว่าสวีอีก็ได้ตรวจสอบอีกเล็กน้อย ทุกปีร้านยานี้ทำเงินได้แค่ไม่กี่ร้อยตำลึง ต้องการรับซื้อยาจำนวนมากมายขนาดนี้อย่างโจ่งแจ้งนั้นเป็นไปไม่ได้ เมื่อตรวจสอบอีกรอบ จึงได้พบว่าเขามีการไปมาหาสู่อย่างใกล้ชิดกับพ่อค้าที่ร่ำรวยของเจียงหนาน
ดังนั้น จ้าวหงฟ่างไม่ใช่ตัวตั้งตัวตีอะไร ในสายลับของหงเล่เขาเป็นเพียงแค่มุมเล็กๆเท่านั้น
ขณะที่สืบหาจุดซ่อนตัวของพระชายาอาน หยู่เหวินเห้าแบ่งออกเป็นสองเส้นทาง หรงเยว่ทางนี้หาอย่างโจ่งแจ้งเอิกเกริก สวีอีแอบสืบหาอย่างลับๆ
เพื่อเบาะแสที่มากขึ้น เขาพากู้ซือไปหาหงเย่ หงเย่ก็ให้แผนที่ภาพหนึ่ง วงกลมสถานที่แอบสืบที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นที่ซ่อนตัว เขากล่าวอธิบาย “นอกจากบนภูเขา ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือบ้านของราษฎร และอาจจะเป็นสลัม พระชายาหวยไปวัดฮู่กว๋อแล้ว แต่ว่าวัดฮู่กว๋อไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสถานที่ตรงนั้นมีชื่อเสียงแล้ว พวกเขาจะไม่กักขังคนไว้ทางนั้น ไปทางสลัมเถอะ”
หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกว่ามีเหตุผล “สวีอีให้คนซุ่มอยู่บริเวณรอบๆมากมาย หากว่าอยู่ที่สลัม เชื่อว่าไม่ช้าก็จะมีข่าวคราว”
“ทำไมอ๋องอานจึงได้ให้ความสำคัญกับจ้าวหงฟ่างนั่น? แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังเรื่องยาสมุนไพร แต่ตามหลักไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลักพาตัวพระชายาอานและจวิ้นจู่น้อย” กู้ซือเอ่ยถาม
หงเย่ส่ายหน้า “ไม่ใช่เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะดูแลเรื่องยาสมุนไพร ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำเรื่องอื่นไม่ได้ ข้าสงสัยว่าพ่อบ้านนั่นพาพระชายาอานไปที่ร้านยาของเขาก่อน แล้วก็ขนส่งออกไป”
กู้ซือยังไม่เข้าใจ “เช่นนั้นทำไมอ๋องอานถึงรู้ว่าเป็นจ้าวหงฟ่างล่ะ? ขณะที่พระชายาอานถูกลักพาตัว เขาก็อยู่ในพระราชวัง”
หยู่เหวินเห้ากล่าว “หงเล่เคยเชิญเขาให้ร่วมมือกัน เขาย่อมรู้เรื่องราวความลับของหงเล่เล็กน้อย จ้าวหงฟ่างผู้นี้เปิดร้านยาในเมืองหลวง ทั้งยังเป็นสายสืบให้หงเล่ คิดว่าเขาก็คงรู้ เขาเอาชื่อของจ้าวหงฟ่างบอกแก่ข้า ไม่ใช่เพียงแค่เป็นเพราะจ้าวหงฟ่างลักพาตัวพระชายาอานก็ได้ เพราะอยากจะเปิดช่องทางจากจ้าวหงฟ่างตรงนี้ ความลับเป็นแหหลังหนึ่ง ฉีกช่องออกช่องหนึ่ง ก็จะสามารถตามเก็บต่อไปได้”
กู้ซือเข้าใจแล้ว กล่าวด้วยความเสียดาย “พูดมาเช่นนี้ อ๋องอานรู้เรื่องราวมากมาย หากว่าสามารถร่วมมือกับพวกเราได้เร็วหน่อย จะมาถึงขั้นนี้หรือ? ตอนนี้เขาอยากจะบอกพวกเราก็ไม่ได้”
ชะงักครู่หนึ่ง กู้ซือกล่าวอีกครั้ง “แต่ทว่าเขาเลือกกลับจวนเจียงเป่ย และไม่ได้ต่อกรกับพวกเราพร้อมกับหงเล่ ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
หงเย่กล่าวอย่างราบเรียบ “เขาก็ไม่ได้โง่ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าร่วมมือกับหงเล่ในตอนนี้เขาจะตายอย่างน่าอนาถยิ่งกว่า ที่พึ่งอะไรเขาก็ไม่มี ทันทีที่ทำสำเร็จ หงเล่จะเอาหัวของเขามาแสดงอำนาจให้คนหวาดกลัว วิธีการของเขาอ๋องอานอาจจะไม่รู้”
เขามองดูหยู่เหวินเห้า “ขั้นตอนต่อไปจะทำอย่างไร?”
หยู่เหวินเห้ามองดูเขา “หลังจากหาพระชายาอานพบ นัดเจรจากับหงเล่ จัดงานเลี้ยงหงเหมิน”
“แต่ เขาอาจจะรู้ว่าพวกเรามองตัวตนของเขาทะลุแล้ว” หงเย่ขมวดคิ้ว “เขาอาจจะไม่มาตามนัด แม้ว่าจะมาตามนัด ก็เป็นไปได้ว่าจะสร้างกับดักไว้แล้ว”
“เลี่ยงได้ยาก ไม่ต้องยืดเยื้อต่อไปแล้ว ยืดไปอีก กองทัพศัตรูของเป่ยโม่ก็ใกล้จะมาถึงกำแพงเมืองแล้ว ดีที่สุดต้องบีบจนพวกเขาเคลื่อนไหวเร็วขึ้นหน่อย จะได้ย้ายมือออกไปต่อกรกับเป่ยโม่” หยู่เหวินเห้ากล่าว
กู้ซือเห็นด้วยกับการพูดของหยู่เหวินเห้า “หงเล่วางแผนได้ พวกเราทำไม่ได้หรือ? หากว่าเขากล้ามา แม้ว่าจะทุ่มเทชีวิตนี้ก็จะทำให้เขามาแล้วกลับไปไม่ได้อีก”
หงเย่ขมวดคิ้ว มักจะรู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติอยู่เสมอ เขาจะทำให้คนมองทะลุอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างกันล่ะ?
แต่ว่าอ๋องผิงหนานซื่อจื่อที่ได้เห็นวันนั้น ไม่ว่าจากจิตใจหรือการกระทำ ก็ล้วนเหมือนเขาเป็นที่สุด
เขารู้สึกว่าตัวเองคิดมากไปแล้ว เขาจะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่ได้มีสามหัวหกแขน ยังจะไม่ใช่คนธรรมดาผู้หนึ่งอีกหรือ?
หาพระชายาอานให้พบ กลายเป็นห่วงสำคัญที่สุด มีเพียงหาพวกนางให้พบ ถึงจะสามารถทำให้อ๋องอานร่วมลงมือได้อย่างไร้กังวล
โดยผิวเผินเมืองหลวงดูเหมือนสงบมาก แต่ภายใต้ความสงบนี้ คลื่นใต้น้ำโหมกระหน่ำ
งานศพของตี๋จงเหลียง ตระกูลตี๋และตระกูลจูล้วนไม่สนใจ แต่ตระกูลจูได้บอกให้คนไปแจ้งตี๋เว่ยหมิงที่กำลังรักษาสุขภาพอยู่ให้ทราบ ตี๋เว่ยหมิงออกหน้าจัดการเรื่องนี้
ขณะที่ตี๋เว่ยหมิงปรากฏตัวในเมืองหลวง เป็นอ๋องฉีที่ไปต้อนรับด้วยตัวเอง
ตี๋เว่ยหมิงทั้งคนแก่ลงเป็นอย่างมาก เส้นผมขาวโพลน หางคิ้วมีริ้วรอยมากมาย เหมือนดั่งร่องน้ำตามภูเขานับหมื่น โดยเฉพาะขณะที่หรี่ตามองอ๋องฉี นัยน์ตาไม่มีความกล้าหาญฮึกเหิมไม่ว่า ยังแสดงให้เห็นถึงความชราภาพอีกด้วย
ศพของตี๋จงเหลียงใช้ปูนขาวคลุมไว้ แต่ส่งกลิ่นเหม็นจางๆแล้ว เคลื่อนย้ายไปสถานที่เก็บศพ ยังไม่ได้บรรจุโลง แค่วางไว้บนเตียงไม้เท่านั้น อ๋องฉีมอบหมายให้คนคลุมผ้าห่มผืนใหม่ให้เขาผืนหนึ่ง จะได้ไม่ถึงขั้นซอมซ่อเกินไปนัก
เพราะว่าต้องตรวจสอบศพ ตี๋เว่ยหมิงต้องไปสถานที่เก็บศพด้วยตนเองรอบหนึ่ง อ๋องฉีจึงจัดเตรียมครู่หนึ่ง เขาเข้าไปพร้อมกับตี๋เว่ยหมิงด้วยตัวเอง
ขณะออกจากประตู หยู่เหวินเห้ามาถึงกรมการพระนครพอดี ขณะที่เห็นตี๋เว่ยหมิง ในใจของเขาก็ตะลึงเล็กน้อย ทำไมถึงได้แก่ไปมากขนาดนี้?
ตี๋เว่ยหมิงมองดูหยู่เหวินเห้าแวบหนึ่ง ริมฝีปากที่เหี่ยวแห้งก็โค้งขึ้นอย่างเย็นยะเยือก “องค์รัชทายาทไม่รู้จักข้าน้อยแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงนี้ ก็แก่ชราเป็นอย่างมาก แฝงด้วยความหมายของการเย้ยหยัน
หยู่เหวินเห้ากล่าว “จะไม่รู้จักได้อย่างไร? แค่ชราขึ้นเล็กน้อย ทุกคนก็ล้วนต้องแก่ชรา”
ตี๋เว่ยหมิงพยายามยืดเอวให้ตรง รักษาศักดิ์ศรีที่เหลือ เดินเข้าไปทีละก้าวทีละก้าว
หยู่เหวินเห้าเรียกอ๋องฉีเข้ามา เอ่ยถาม “เขามาเพื่อเก็บศพให้ตี๋จงเหลียงหรือ?”
อ๋องฉีกล่าว “พ่ะย่ะค่ะ น่าจะเป็นจูกั๋วกงทางนั้นแจ้งให้เขามา พอเข้ามาก็ทำให้ข้าตกใจแล้ว ทำไมถึงได้แก่ลงเพียงนี้นะ?”
หยู่เหวินเห้ากล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเอง บอกให้คนพาเขาไปก็ได้แล้ว”
“ไม่เป็นไร ข้าไปรอบหนึ่งเถอะ ตี๋จงเหลียงนี่ก็ช่างน่าสงสารเสียนี้กระไร” อ๋องฉีกล่าว
“พาคนไปให้มากหน่อย” หยู่เหวินเห้ารู้ว่าเขาสงสารตี๋จงเหลียง ก็ขี้เกียจจะหยุดยั้งเขาไว้
“รู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านพี่ห้าท่านมาเป็นการเฉพาะมีเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” อ๋องฉีเอ่ยถาม
หยู่เหวินเห้ากล่าว “ไม่มีอะไร ข้าสืบเรื่องนิดหน่อย เจ้าไปเถอะ รีบไปรีบกลับ เรื่องนี้ติดอยู่ในใจของเจ้ามานานขนาดนี้ แก้ไขปัญหาให้เร็วหน่อย เจ้าก็จะไม่ต้องพูดพร่ำ”
อ๋องฉีตอบรับคำหนึ่ง “ตี๋จงเหลียงผู้นี้น่าสงสารจริงๆ คนก็ตายไปแล้ว ตระกูลตี๋ยังไม่ยอมออกหน้าฝังศพให้เขาอีก ล้วนกลัวว่าท่านจะกล่าวโทษ”
หยู่เหวินเห้าไม่อยากพัวพันกับเรื่องนี้ เอ่ยว่า “ไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” อ๋องฉีพูดจบ จึงลงบันไดหิน
หยู่เหวินเห้าเดินไปทางด้านใน คิดแล้วคิดอีก ก็หันกลับไปมองตี๋เว่ยหมิงแวบหนึ่ง เขาค่อยๆขึ้นรถม้า การกระทำงุ่มง่ามเป็นอย่างมาก ท่าทางเหมือนคนที่สุขภาพย่ำแย่จริงๆ คิดถึงความน่าเกรงขามในวันนั้นของเขา วันนี้ตกอับ หยู่เหวินเห้ารู้สึกจริงๆว่า เป็นคนอย่าลำพองตัวอวดดีมากนักจะดีกว่า
หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว มือของตี๋เว่ยหมิงดึงม่านลงช้าๆ ดวงตาที่เฉียบคมเย็นยะเยือกคู่หนึ่งทะลุออกมาจากร่องของม่านที่ตกลงมาช้าๆนั่น เหมือนดั่งแสงไฟเช่นนั้น
หยู่เหวินเห้ายืนเอามือไขว้หลัง มองดูรถม้าหมุนออกไปช้าๆ