บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 1159 แยกกันโจมตี

หยวนชิงหลิงไม่ได้ออกไป กลับไปอยู่ในห้องกับพวกลูกๆ หมาป่าหิมะกลับมีอาการรอไม่ไหวอยู่บ้าง อยากจะวิ่งออกไปข้างนอกท่าเดียว ตอนนี้เองเปาจื่อได้งัดเอาความน่าเกรงขามของการเป็นพระราชนัดดาองค์ใหญ่ออกมา ไม่ให้หมาป่าตัวใดก้าวออกจากพระที่นั่งแม้แต่ก้าวเดียว
สองฝาแฝดใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอนหลับ แต่วันนี้ไม่นอน นั่งอยู่บนเก้าอี้หลอฮั่น สงบนิ่งราวกับพระสังกัจจายน์ตัวน้อย
แต่จะบอกว่าสงบนิ่งก็ไม่ได้สงบนิ่งมาก รู้สึกได้ว่าสายตาของพวกเขามีแววคมกริบอยู่บ้าง และไม่รู้ว่ากำลังมองอะไรกันอยู่ ไม่เคลื่อนไหวสักนิด ราวกับกำลังมองดูสงครามอย่างไรอย่างนั้น เจ้าเสือน้อยหมอบอยู่ข้างกาย มองไปด้านนอก ราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาที่จะกระโจนออกไป
หยวนชิงหลิงเป็นห่วงเจ้าห้า แต่เห็นเจ้าเสือน้อยหมอบนิ่งไม่เคลื่อนไหว รู้สึกได้ว่าทางด้านเจ้าห้าคงไม่มีอุปสรรคอะไร
ด้านนอกท้องพระคลัง สถานการณ์ของหยู่เหวินเห้าที่เผชิญอยู่กลับไม่ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย สองคนกับหงเย่รับมืออย่างยากลำบาก ทั้งสองคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่กลับไม่สามารถทำให้หงเล่บาดเจ็บได้เลยแม้แต่น้อย เขาราวกับยิ่งสู้ก็ยิ่งกล้าแกร่ง ไม่มีท่าทีเหนื่อยล้า ลงมือโหดเหี้ยมแม่นยำ มีอำนาจที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของหงเล่ วันนี้พ่ายแพ้ เป่ยโม่คงไม่มีทางร่วมมือกับเขาอีก เขาเองก็มีหมากที่จะเอาไปต่อรองเกลี้ยกล่อมตระกูลฉินแห่งเป่ยโม่ไม่เพียงพอ
ตอนนั้นที่พ่ายแพ้และจากไป ที่จริงเขาได้นำทหารไปด้วยเพียงแปดหมื่นนาย สองหมื่นคนในจำนวนแปดหมื่นนี้ได้ปลอมตัวเป็นพ่อข้าเข้าไปอยู่ในเมืองหลวงของแค้วนต้าโจวและแคว้นต้าเยว่ ยังมีอีกหกหมื่นคนที่อยู่ในจื่อลี่ตลอดจนเส้นทางเข้าสู่เมืองหลวง ใช้สำหรับเป็นกองทัพขนส่งทองคำ ฉะนั้น คนที่อยู่ในเมืองหลวงและนับว่าเป็นคนของเขา ก็มีแค่สองสามหมื่นคน ส่วนที่เหลือ ล้วนเป็นทหารของค่ายทหารทางเหนือที่ถูกปลุกปั่นให้ทรยศ
เหมือนที่หยู่เหวินเห้าพูด แผนการครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่มีช่องโหว่เลยสักนิด แต่ที่จริงแล้วฉุกละหุกมาก เพื่อเป็นการปกปิดความฉุกละหุกนี้ ฉะนั้นเขาจึงแยกกันโจมตี เพื่อให้การเฝ้าสังเกตการณ์ของหยู่เหวินเห้าสับสน ให้เขาเดาไม่ได้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง แต่ว่าเขาก็ยังคงมาถึงที่ท้องพระคลัง เห็นทีที่นี่คงจะไม่สามารถทำสำเร็จได้ ได้แต่ฝากความหวังว่าจะสามารถแย่งแผนที่ทางการทหารมาได้ และยังหวังว่าจะสามารถได้รับความร่วมมือจากเป่ยโม่
ฉะนั้น ด้านหนึ่งก็รับศึก ส่วนอีกด้านหนึ่งก็สำรวจสถานการณ์การต่อสู้ในท้องพระคลัง พบว่าคนของสำนักเหลิ่งหลังค่อยๆควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และคนของเขามีท่าทีว่าจะถอยร่น ถ้าหากที่นี่ไม่มีการเฝ้าระวัง คนทั้งหมดจะไปช่วยเหลือทางด้านพระที่นั่ง ถึงเวลานั้นคงต้องสูญเสียไปทั้งสองด้าน
ขอเพียงที่นี่ยังคงยืนหยัดไว้ได้ ทหารกองหนุนที่อยู่ด้านนอกก็จะสามารถทำลายเมืองเข้าสู่ด้านในได้ ในเมืองหลวงตอนนี้มีทหารรักษาการณ์อยู่ไม่มากแล้ว ไร้ทางต่อต้านกองทัพฝีมือดีของเขาได้

คิดถึงตรงนี้ เขาชั่งใจตัวเอง ชั่วพริบตาก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า ตะโกนสั่งการลงไปว่า “ถอย โจมตีเข้าสู่ราชวังเป่ยถัง ฆ่าฮ่องเต้หมิงหยวน”
ทางด้านพระราชวัง มีอ๋องอันกับกู้ซือที่นำทหารรักษาพระองค์คอยต้านอยู่อย่างยากลำบาก ทหารสองหมื่นกว่านายภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพที่ทรยศเพียงไม่กี่คน ได้ค่อยๆบีบเข้ามาใกล้แล้ว
หงเล่ได้เคลื่อนย้ายกองกำลังหลัก นี่ทำให้หยู่เหวินเห้าไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำในชั่วขณะ เพราะถ้าหากเคลื่อนย้ายกองกำลังตามไป หากหงเล่หันกลับมาโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว และท้องพระคลังก็คงยากจะป้องกันเอาไว้ได้
มีเพียงวิธีเดียว ก็คือแบ่งกองทัพส่วนหนึ่งออกไป
ตอนที่แบ่งกองกำลัง หรงเยว่กับฮุ่ยเทียนก็เดินทางมาถึง หยู่เหวินเห้าให้พวกเขาสองคนนำคนส่วนหนึ่งของสำนักเหลิ่งหลังเฝ้าอยู่ที่นี่ เขากับหงเย่และท่านชายสี่เหลิ่งจะนำกำลังอีกส่วนไปช่วยเหลือกู้ซือ
ส่วนทางด้านนอกเมือง หงเล่ได้กระจายคนที่อยู่ในจื่อลี่ให้เตรียมพร้อมลงมือ รอให้การช่วยเหลือและขนส่งทองคำอยู่ตลอดเวลา แต่อ๋องเว่ยและอ๋องฉีกลับนำกองทัพของค่ายทหารทางเหนือโอบล้อมเข้ามา ทหารที่นำมาด้วยทั้งหมด เป็นสองกองทัพที่อ๋องซุนได้ส่งออกไปจากค่ายทหารทางเหนือ ทั้งสองกองทัพนี้ล้วนมีแม่ทัพทรยศ แต่หลังจากออกจากเมืองหลวงแล้วก็ถูกกำจัดไปทีละคน อ๋องเว่ยค่อยออกจากเมืองหลวงเพื่อควบคุมและนำทัพอีกครั้ง รอทำศึกใหญ่อย่างสงบ
สนามรบที่แท้จริง อยู่นอกเมือง พื้นที่นอกเมืองทั้งหมดเป็นลานกว้างใหญ่ เมื่อสู้รบกันไม่มีอะไรต้องกังวลทั้งสิ้น เพียงแค่ฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งก็พอ
ที่จริงความโหดเหี้ยมของอ๋องเว่ยในระดับหนึ่งนั้นคล้ายกับหงเล่เป็นอย่างยิ่ง เมื่อเข้าสู่สนามรบ ในสายตาเขามีเพียงสถานการณ์การสู้รบ มีเพียงชัยชนะ ไร้ซึ่งความคิดที่ทำให้ไขว้เขว ทำให้สมองของเขายังคงรักษาความตื่นตัวอยู่ได้เสมอในภาวะสงครามที่วุ่นวาย
เขายังไม่ลืมส่งคนเข้าไปในเมืองหลวง รายงานให้หยู่เหวินเห้าทราบว่าได้ทำการตัดทหารกองหนุนของหงเล่ได้แล้ว

หยู่เหวินเห้าได้รับรายงาน หัวใจลิงโลด การโอบล้อมนอกเมืองมอบให้พี่สามจัดการนั้นถูกต้องจริง พี่สามสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และรอท่านด้านพระที่นั่งของราชวงศ์กับคลังอาวุธแล้ว
ลู่หยวนกับแม่ทัพหลู่หม่างอยู่ทางด้านคลังอาวุธ ยังค่อนข้างกินแรงมาก ดีที่หลังจากทังหยางควบคุมซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานได้แล้ว ก็ได้ส่งองครักษ์ลับผีบางส่วนมาช่วยเหลือ
ทั้งภายในและภายนอกเมืองหลวง ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยไฟแห่งสงคราม ทหารในที่ทำการของกรมการพระนครได้ตีฆ้องป่าวประกาศ ให้ประชาชนปิดประตูอยู่แต่ในบ้าน ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีประชาชนออกมาวิ่งไปมาให้วุ่นวาย ทำให้มีผลกระทบไม่มาก ก่อนหน้านี้ไม่เคยป่าวประกาศ เพราะเกรงว่าประชาชนจะแตกตื่นหนีตาย ทำให้เกิดสถานการณ์วุ่นวายขึ้น
การแยกกันโจมตีของหงเล่ ถูกทำลายย่อยยับโดยการแยกกันปราบปรามของหยู่เหวินเห้า
หงเล่รู้สึกอารมณ์เสียและร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว มองไม่เห็นสัญญานว่าบรรลุเป้าหมายจากทางด้านพระที่นั่งของราชวงศ์สักที กลับกันมีคนเข้ามารายงานหยู่เหวินเห้า บอกว่าศัตรูทางด้านพระที่นั่งได้ถูกโจมตีจนล่าถอยไปแล้ว
ได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยิ่งร้อนใจ ไม่มีความหวังอื่นใดอีกแล้ว สั่งการลงไปอีกครั้ง ต้องโจมตีเข้าไปในพระราชวังให้ได้ ฆ่าฮ่องเต้หมิงหยวน ค่อยฆ่ารัชทายาทหยู่เหวินเห้า ให้เป่ยถังเข้าสู่สถานการณ์ที่ไร้ซึ่งผู้นำ เช่นนี้ ก็นับว่าได้สร้างผลงานให้กับเป่ยโม่ เป่ยโม่สามารถฉวยโอกาสชุลมุนเข้าโจมตีได้
นอกประตูวังหลวง เหล่าทหารฆ่าฟันศัตรูอย่างดุเดือด

ในพระราชวัง ฮ่องเต้หมิงหยวนอยู่ที่ตำหนักหมิงเต๋อพร้อมกับสนมทั้งหมด บนใบหน้าของเขาไม่มีแววสับสนวุ่นวาย การศึกครั้งนี้เขามั่นใจในตัวหยู่เหวินเห้ามาก การคิด การวางอย่างเป็นขั้นเป็นตอน การจัดเตรียมความพร้อม ให้หงเล่ใช้ความรุนแรงในเมืองหลวง เขาล้วนเห็นด้วย ไม่เช่นนั้น คงไม่สามารถดึงตัวหงเล่ให้ออกมาได้ในระยะเวลาอันสั้น
มีเพียงการสร้างโอกาสเท่านั้น ให้หงเล่รู้สึกว่ามีโอกาสแล้ว จึงจะสามารถจับตัวได้ทุกคนโดยไม่สามารถเล็ดลอดไปได้แม้แต่คนเดียว
สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้ว ต่างก็ใช้แผนการที่อันตราย หากล้มเหลว ก็ถือเป็นการพ่ายแพ้อย่างแท้จริง
ฮู่เฟยนั่งอยู่ข้างกายเขา วันนี้นางสวมชุดสีแดงท้อทั้งตัว ใบหน้าที่สะท้อนให้เห็นถึงผิวพรรณผุดผ่องขาวยิ่งกว่าหิมะ แต่ในสายตากลับมีไอสังหารแผ่ออกมา ราวกับรอให้คนของหงเล่บุกเข้ามา นางก็จะทำการต้านทานอย่างเต็มกำลัง
มู่หรูกงกงได้นำคนสามร้อยคนเฝ้าประตูตำหนักเอาไว้ ดวงอาทิตย์ค่อยๆเคลื่อนคล้อยไปยังทิศตะวันตก การสู้รบจนถึงบัดนี้ ได้ผ่านไปเป็นเวลาสองชั่วยามแล้ว
เสียงแห่งไฟสงคราม ยังคงดังต่อเนื่อง
สถานการณ์สงครามรุนแรง วรยุทธของหงเล่สูงส่งเกินไปแล้วจริงๆ หลายคนล้อมโจมตีเขา กลับยังคงไม่ทิ้งร่องรอยเช่นเดิม หยู่เหวินเห้ามองออกถึงความคิดที่ว่าเขาจะบุกเข้าไปในวังด้วยตนเอง ด้วยวรยุทธที่สูงส่งของเขา เข้าวังแล้วไปตัดศีรษะของเสด็จพ่อ ก็ง่ายราวกับล้วงมือเข้าไปเอาสิ่งของในกระเป๋า ฉะนั้นจึงร่วมมือกับอ๋องอันท่านชายสี่เหลิ่งและหงเย่ถ่วงเวลาเขาเอาไว้ ไม่ให้เขาบุกเข้าไปในวังได้
พวกเขาโอบล้อมเอาไว้ ทำให้หงเล่ไม่สามารถหลุดออกไปได้ เขาโกรธมาก ตัดสินใจจะฆ่าหงเย่ก่อน เพื่อระบายความแค้นที่สุมอยู่ในอก ด้วยเหตุนี้จึงออกกระบวนท่าติดต่อกันหลายท่ามุ่งตรงไปยังหงเย่ ตัดเอ็นแขนขา ในขณะที่เขาละเลยการปัดป้อง กระบี่ก็พุ่งตรงไปยังหน้าอกของเขา
หงเย่ถูกกระบวนท่าของเขาบีบจนแทบจะหายใจไม่ทัน ในขณะที่กระบี่พุ่งตรงเข้ามา เขาได้รับรู้อยู่ลึกๆแล้วว่าท่าจะไม่ดี อยากจะดีดตัวขึ้นเพื่อหนี แต่สุดท้ายก็ช้าไปหนึ่งก้าว กระบี่จรดลงไปที่บริเวณหน้าท้อง แทงทะลุไปด้านหลัง เลือดแดงฉานสาดกระจายกลางอากาศ
“ท่านชาย”อะโฉ่วก็กำลังต่อสู้กันอยู่ในกลุ่มคน แต่ว่าได้คอยเฝ้าจับตาดูสถานการณ์การต่อสู้ของทางด้านนี้ เห็นหงเย่ถูกทำร้าย ทันใดนั้นดวงตาของนางก็มีเลือดพุ่งขึ้นมา ถือกระบี่ฟาดฟันเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
หงเย่ถูกทำร้าย วงล้อมโจมตีน้อยลงไปหนึ่งคน ง่ายต่อการเผยให้เห็นช่องโหว่ นี่ทำให้พวกหยู่เหวินเห้าต้องเสียแรงเป็นอย่างยิ่ง ท่านชายสี่เหลิ่งวรยุทธสูงส่ง แต่ว่ากำลังภายในไม่ได้ล้ำลึกดังเช่นหงเล่ บวกกับการโจมตีของหงเล่ที่มีต่อหยู่เหวินเห้านั้นเป็นกระบวนท่าที่ถึงแก่ชีวิตทั้งสิ้น นี่ทำให้เขานอกจากจะต้องต้านรับในส่วนของตนเองแล้วยังต้องไปช่วยหยู่เหวินเห้าแก้ไขสถานการณ์คับขันด้วย ด้วยเหตุนี้กลยุทธ์โอบล้อมโจมตีจึงถูกทำให้วุ่นวายในชั่วขณะ เห็นว่ากำลังจะเผยช่องโหว่ให้หงเล่ได้หนีออกไปแล้ว

บัลลังก์หมอยากเซียน

บัลลังก์หมอยากเซียน

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง"หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: "ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น"อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: "เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่" หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: "ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ"

Comment

Options

not work with dark mode
Reset