วิชาตัวเบาของหงเล่ยอดเยี่ยมมาก จับช่องโหว่แล้วพุ่งขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นก็เหาะกลางอากาศไปอีกหลายก้าว เห็นท่าจะข้ามกำแพงวังไปแล้ว
หงเล่ววรยุทธสูงส่ง คนที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครสามารถต่อกรได้ ทหารรักษาพระองค์ส่วนใหญ่ถูกส่งไปข้างนอก ทหารรักษาการณ์ที่อยู่แต่ประจำประตูตำหนักต่างๆ รวมกันแล้วก็มีแค่ไม่กี่ร้อยนาย ถ้าหากเข้าเขาไปแล้ว เช่นนั้นจะอันตรายมาก
หยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่เหลิ่งกระโดดตัวลอยขึ้นคิดจะขวางเขาเอาไว้ แต่ว่าวิชาตัวเบาของพวกเขาเทียบกับหงเล่ไม่ได้เลย ใช้พลังภายในทั้งหมดในร่างกายแล้วยังไม่สามารถไล่ตามเพื่อขัดขวางได้ แต่ในขณะที่ตกอยู่ในช่วงวิกฤตที่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง สวีอีที่อยู่ท่ามกลางการโรมรันฆ่าฟันกันอยู่ก็กระโดดขึ้นไปบนกำแพง กอดร่างของหงเล่เอาไว้ ดึงร่างของเขาให้ลงมาด้านล่าง หงเล่เห็นว่าตัวเองจะโดดข้ามกำแพงได้แล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกสวีอีขัดขวางเอาไว้ เดิมทีเขาก็ร้อนใจมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งเกรี้ยวกราดเข้าไปใหญ่ ใช้ฝ่ามือโจมตีไปที่บริเวณหน้าอกของสวีอี ทันใดนั้นสวีอีรู้สึกถึงสีแดงเข้มที่อยู่ตรงหน้าเขา เลือดได้พุ่งออกมาจากปากของเขา ราวกับปุยฝ้ายที่ฉีกขาด ล่องลอยออกไป
“สวีอี”
หยู่เหวินเห้ามาถึงพอดี อุ้มสวีอีเอาไว้ ท่านชายสี่เหลิ่งได้ต่อสู้ด้วยกระบี่เพื่อขวางหงเล่เอาไว้ จากนั้น แม่ทัพหลอก็เดินทางมาถึง ทั้งสองคนโอบล้อมโจมตีหงเล่
หงเล่บาดเจ็บสาหัส ขณะที่กำลังจะตาย กลับคว้ามือของอะโฉ่วเอาไว้ สายตามีแววตื่นเต้น “ฆ่าเขา เขาฆ่าซะ”
อะโฉ่วแต่ไหนแต่ไรเป็นคนเชื่อฟัง ร้องไห้และพูดว่า “ท่านชายต้องแข็งใจเอาไว้ อะโฉ่วฆ่าเขาแล้วจะมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
นางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้ออย่างลนลานหยิบเอายาเม็ดหนึ่งออกมายัดเข้าไปในปากของหงเย่ แต่เมื่อหงเย่กลืนยาเข้าไปแล้ว กลับกระอักเลือดติดต่อกันหลายครั้ง ดูท่าจะไม่ไหวแล้ว
อะโฉ่วนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ทันใดนั้นก็กรีดร้องเสียงแหลม ราวกับคนบ้าหยิบดาบขึ้นมาฟาดฟันกลับไป นางไม่สนว่าเป็นใคร เห็นคนก็ฟันทันที ตลอดทางฆ่าไปหลายศพ กว่าจะมาถึงตรงหน้าหงเล่ ราวกับสัตว์ป่าที่ฆ่าอย่างเมามัน นางสะบัดกระบี่ฟันไปเรื่อยเปื่อย อะโฉ่วอาศัยกระบี่เร็วในการเอาชนะ เมื่อก่อนตอนที่ยังมีสติสมบูรณ์ ยังมีวิชาดาบและกฏเกณฑ์ให้พูดถึง ตอนนี้อาศัยแค่ความกราดเกรี้ยวเท่านั้น ในสมองเหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว ฆ่าหงเล่ ภายใต้การฟาดฟันอย่างเรื่อยเปื่อย กลับทำให้หงเล่ถูกฟันจนยุ่งเหยิง หงเล่โมโหจนถึงขีดสุด ตะคอกเสียงดุ“อะโฉ่ว ใครเป็นเจ้านายเจ้า”
อะโฉ่วคลุ้มคลั่งร้องตะโกนเสียงดังว่า “ท่านชาย ท่านชายต่างหากที่เป็นเจ้านายข้า ข้าจะฆ่าท่านล้างแค้นให้ท่านชาย ข้าจะฆ่าท่าน”
เดิมทีนางก็มีหน้าตาน่าเกลียด ตอนนี้คลุ้มคลั่งสะบัดกระบี่อย่างวุ่นวาย คลุ้มคลั่งจนสุดขีด ออกกระบี่อย่างรวดเร็ว ทำให้หงเล่ที่อารมณ์เสียและร้อนใจไม่สามารถต้านรับได้ในชั่วขณะ ท่านชายสี่เหลิ่งและแม่ทัพหลอมองเห็นช่องว่าง รวมตัวกันโจมตี
หลังจากที่เจ้าห้ารับตัวสวีอีได้ก็ให้คนรีบส่งสวีอีกับหงเย่ไปยังพระตำหนัก อย่าเสียเวลาเป็นอันขาด
สวีอีได้รับบาดเจ็บสาหัสทำให้หัวใจเขาโกรธเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่ฆ่าหงเล่ ยังต้องมีคนตายอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้น เขาหยิบกระบี่และลุกขึ้น ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะสู้กับหงเล่ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
วิกฤตทางด้านท้องพระคลังได้ถูกคลี่คลายลงแล้ว หรงเยว่ได้นำฮุ่ยเทียนเมี่ยตี้มา และได้เข้ารวมวงล้อมในการฆ่าหงเล่ คนเหล่านี้ ล้วนเป็นชั้นหนึ่งของยอดฝีมือทั้งสิ้น โดยเฉพาะท่านชายสี่เหลิ่ง ก่อนหน้านี้สามารถพูดได้ว่าสำรวจดูอู๋หลินแล้ว มีไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถต่อกรได้
แต่ว่า คนมากมายเช่นนี้ล้อมโจมตีหงเล่คนเดียว เขากลับไม่ได้เผยให้เห็นร่องรอยของความพ่ายแพ้เลยแม้แต่น้อย นี่อดไม่ได้ที่จะทำให้รู้สึกประหลาดใจ
แต่ ที่จริงหงเล่ได้สูญเสียสถานการณ์ที่เอื้อประโยชน์ไปแล้ว ในจำนวนคนที่พามาด้วย บ้างก็ตาย บ้างก็ถูกจับกุม ที่เหลืออยู่กลับเป็นทหารที่นำโดยแม่ทัพของค่ายทหารทางเหนือที่ทรยศและต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายอย่างมีเงื่อนไข เพราะพวกเขาจะยอมจำนนไม่ได้ จำนนแล้วก็มีแต่ต้องตาย
หงเล่รู้ตัวว่าไม่สามารถบุกเข้าไปในวังได้อีกแล้ว ให้ถอยอีก ก็ไร้ทางให้ถอยแล้ว การกระทำครั้งนี้ได้ใช้กำลังทั้งหมดที่มีของเขาแล้ว และถ้าหากหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว ชาตินี้ก็ไม่สามารถกลับมายิ่งใหญ่ได้อีก ภายใต้ความหมดกำลังใจ ก็ก่อเกิดความคิดที่อยากจะฆ่าขึ้นมาทันที คิดว่าฆ่าได้คนหนึ่งก็ยังดี ใช้วิธีการโจมตีที่ไม่คิดชีวิต
โจมตีติดต่อกันหลายครั้ง กระบี่ฟันลงไปที่ข้างหูของอ๋องอัน ตัดหูข้างหนึ่งของอ๋องอันจากนั้นก็พลิกกระบี่ในมือ เกือบจะตัดคอของเขาให้ขาดอยู่แล้ว เดิมทีอ๋องอันก็อยู่ในอาการบาดเจ็บ ตอนนี้ได้รับบาดเจ็บซ้ำเติม แทบจะไร้เรี่ยวแรงในการยกกระบี่ ล้มลงไปกับพื้น
ดวงอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้า ลมพัดหวีดหวิว ฆ่ากันจนถึงตอนนี้ ทุกคนต่างก็เหน็ดเหนื่อยกันสุดขีดแล้ว เสื้อผ้าถูกทำลายไปจุด บนร่างเปื้อนเลือดไปหลายแห่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่ในใจยังคงมีแต่ความดื้อดึง ต้องให้ชีวิตของหงเล่จบลงที่นี่
โดยเฉพาะอะโฉ่ว นางราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และไร้ทางรับรู้ถึงความเจ็บปวด บนร่างได้ถูกกระบี่ฟันไปหลายแห่ง แต่นางไม่ยอมถอยร่นเลยสักนิด กลับกันยิ่งฆ่าก็ยิ่งโหดเหี้ยม คนที่หงเล่กลัวมากที่สุดกลับกลายเป็นนางเสียแล้ว
ภายใต้การโจมตีขนาบทั้งสองข้าง ในที่สุดหงเล่ก็เผยให้เห็นท่าทีเหนื่อยล้า ยกกระบี่เพื่อลงมือยังเชื่องช้าลงไปมาก ที่แขนและบริเวณอกถูกทำร้ายไปหลายจุด สุดท้าย กระบวนท่าที่ราวกับดาวตกหมุนวน ส่งกระบี่เข้าสู่ใจกลางหน้าอกของเขา
จนถึงบัดนี้ หงเล่ได้สู้รบเป็นเวลาเกือบสามชั่วยามแล้ว ต่อกรกับศัตรูทั้งหลายด้วยตัวคนเดียว และที่ต่อสู้ด้วยล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของอู๋หลิน
หยู่เหวินเห้ามองกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาที่กระตุก ความโหดเหี้ยมและความจองหองในแววตายังไม่จางหายไป เลือดแดงฉานไหลออกมาจากอกและหยดลงไปข้างล่าง เขายังคงจ้องมองหยู่เหวินเห้าอย่างชิงชังปนความไม่อ่อนข้ออยู่เช่นนั้น ไม่ได้ล้มลงหรือคุกเข่าลง ใช้พละกำลังที่เหลือเพียงน้อยนิดค้ำยันเอาไว้ รอให้ชีวิตของตัวเองค่อยๆหายไปทีละเล็กทีละน้อย
แล้วหันมาดูหยู่เหวินเห้า ก็ไม่เห็นว่าจะดีสักเท่าไหร่ แทบจะไม่มีคนไม่ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ขาทั้งสองข้างของพวกเขาแทบจะอ่อนแรง แม้แต่ท่านชายสี่เหลิ่งยังต้องใช้กระบี่ค้ำยันกับพื้นเพื่อให้ยืนได้อย่างมั่นคง ทรงผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้าถูกตัดจนขาดวิ่นไปเกือบครึ่ง เป็นความอเนจอนาถที่ไม่เคยมีมาก่อน
หงเล่ก็ตายเช่นนี้เอง ก่อนตาย กระทั่งคำพูดโหดเหี้ยมก็ไม่มี เพียงแต่จ้องมองหยู่เหวินเห้าตลอดเวลา ราวกับพยายามจะมองคนที่ฆ่าเขาให้ชัดเจนถ่องแท้ กระบี่ค้ำยันกับพื้น สุดท้ายก็ค่อยๆล้มลงไป ตลอดชีวิตที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกร จบลงด้วยการสู้รบในสงครามที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน แต่ตอนที่ตายนั้น ไร้สุ้มเสียง
อ๋องอันเกลียดเขาที่สุด ยกกระบี่ขึ้นมาอย่างยากลำบากเดินเข้าไปข้างหน้า เอ่ยอย่างโมโหว่า “กล้าจับตัวเหยียนเอ๋อของข้า ข้าจะปล่อยให้เจ้าตายดีได้อย่างไร”
เขายกกระบี่ขึ้นจะตัดศีรษะของหงเล่ หยู่เหวินเห้าเกิดความคิดชั่ววูบ รีบร้องขึ้นทันทีว่า “ไม่ได้”
ทันใดนั้นกลับเห็นหงเล่ลืมตาสีแดงฉานขึ้นมา ขยับมือ เคลื่อนกระบี่แทงทะลุบริเวณท้องของอ๋องอัน
“ท่านอ๋อง”แม่ทัพหลอพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้กระบี่แทงไปที่หน้าอกของหงเล่
หงเล่รวบรวมลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก็คือรอให้หยู่เหวินเห้าเดินมาข้างหน้า เขาคิดว่าหยู่เหวินเห้าต้องหิ้วศีรษะของเขาไปแขวนไว้บนประตูเมือง ไหนเลยจะรู้ว่า คนที่เดินเข้ามากลับเป็นอ๋องอัน
เขาตะแคงหน้า ปากมีเลือดไหลออกมา หลังจากลมปราณเฮือกหนึ่งกระจัดกระจายไปจนสิ้น อวัยวะภายในไม่สามารถทำงานต่อไปได้อีก จากนั้นก็ถูกแม่ทัพหลอแทงเข้าไปอีกครั้ง แสงในแววตาค่อยๆหม่นหมองลง แต่ยังคงจ้องมองไปยังหยู่เหวินเห้าเช่นเดิม เอ่ยพึมพำว่า “เสียดาย เสียดาย……”
ลมปราณที่หยู่เหวินเห้าควบคุมเอาไว้เฮือกหนึ่งก็กระจายไปแล้ว ล้มตัวนั่งลงกับพื้น “ให้ตายเถอะ หงเล่เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างที่ยากจะพบเจอจริงๆ”
ท่านชายสี่เหลิ่งก็นั่งลงด้วย สองมือเหนื่อยจนมีอาการสั่นอยู่บ้าง ลมปราณกระจายไปมากกว่าครึ่ง ไม่มีเวลามาสนใจและรักษารูปลักษณ์ที่เอาแต่ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา ผ่อนลมหายใจหนึ่งเฮือก “เป็นคนอหังการ เป็นอหังการที่ร้อยปีจะพบเจอครั้งหนึ่ง ถ้าหากมีความคิดและจิตใจที่ถูกต้อง เซียนเปยไหนเลยจะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นทุกวันนี้ ”
แม่ทัพหลอพาองครักษ์ลับผีกับคนของสำนักเหลิ่งหลังไปจัดการกับสถานการณ์ที่โกลาหล แม่ทัพทั้งหลายเหล่านั้นก็ต่อสู้ไม่ไหวแล้ว ถูกจับตัวไว้อย่างพร้อมเพรียงกัน วิกฤติคอขาดบาดตายที่เกิดขึ้นหน้าประตูบ้านครั้งนี้ จนบัดนี้นับว่าได้ถูกกำจัดไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“ไป ไปน้อมทักทายพ่อตาเจ้ากันดีกว่า”หยู่เหวินเห้าใช้กระบี่ค้ำยันลุกขึ้นยืน สะบัดเลือดที่ไหลอาบอยู่ในมือ เอ่ยกับท่านชายสี่เหลิ่ง
“อ๋องอันเล่า”ท่านชายสี่เหลิ่งลุกขึ้นมา ถามขึ้น
“เรียนองค์รัชทายาท เรียนท่านชายสี่เหลิ่ง อ๋องอันได้ถูกส่งเข้าไปรักษากับหมอหลวงในวังแล้ว ”แม่ทัพหลอตอบ
“หวังว่าเขาจะไม่เป็นไร”หยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่เหลิ่งประคองกันเข้าไป เสียงเงียบสงบ แต่ว่าแววตายังคงมีความซับซ้อนอยู่บ้าง