พอหงเย่เห็นเขาไม่ฟังคำอธิบายแบบจะเอาเรื่องให้ได้ก็โมโห “ก็บอกแล้วว่าเข้าใจผิดยังไงล่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้ชอบพระชายารัชทายาท นี่มันเป็นแค่การเข้าใจผิด ทรงจะเอายังไงอีก? กระหม่อมสร้างผลงานเพื่อเป่ยถังนะพ่ะย่ะค่ะ…”
“สร้างผลงานแล้วไม่ต้องอัดเจ้ารึ?” หยู่เหวินเห้ากระโจนเข้าหา กัดฟันพูด “คิดจะชิงตัวนาง ถึงเจ้าจะช่วยชีวิตข้า ข้าก็จะสู้ตายกับเจ้า นึกท่าทางการพูดเจ้าตอนที่อยู่ริมทะเลสาบจิ้ง จงใจพูดว่าอีกสองปีจะได้ตัวเจ้าหยวนแบบสูงส่งยากจะคาดเดา เก่งนักนะ”
“จงใจอะไรพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมจะชิงพระชายาก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จ ทรงอย่ายั่วโมโหกระหม่อม ทางที่ดีอย่าให้มันมากนัก พอได้แล้ว!” หงเย่บิดตัวตะลุมบอนกับเขา น่าโมโหชะมัด ทำตัวลึกลับมาสองปี กลับถูกเขาเปิดโปงเสียนี่ เสียหมดเลย!
หยวนชิงหลิงเห็นพวกเขาต่อสู้กันอยู่ไกลๆ อะซี่จดจ่ออยากเข้าไปช่วย หยวนชิงหลิงเอ่ย “ไม่ต้องไป ปล่อยพวกเขาสู้กัน”
“หงเย่ร้ายกาจนะพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทจะไม่บาดเจ็บหรือ?” สวีอีถาม
หยวนชิงหลินดื่มชาอย่างละเมียดละไม “ไม่หรอก พวกเขากำลังกระชับสัมพันธ์”
หลายวันมานี้เห็นพวกเขาเกรงอกเกรงใจกันแล้วนางก็รู้สึกแปลก คู่อริแต่เกิด ถ้าอยู่ๆ กับเกรงใจกันขึ้นมา เช่นนั้นพวกเขาก็จะคบหากันต่อไม่ได้ อย่างไรก็ต้องหารูปแบบการอยู่ร่วมกันที่ดีกว่า
ต่อไปเวลาที่หงเย่มาอีก พวกเขาก็กัดกันสักหน่อย ภาวะแบบนี้ก็ไม่เลว
แต่คิดไม่ถึงว่าอะโฉ่วจะใช้เวทหมอผีกับพวกเขา หยวนชิงหลิงรู้สึกมาตลอดว่าอะโฉ่วชอบหงเย่ แต่อาจคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเขา จึงได้แต่ใช้ฐานะสาวใช้อยู่ข้างกาย
แต่นางใช้เวทหมอผีกับพวกเขา ต้องการแยกนางกับเจ้าห้าออกจากกัน หลักๆ ก็เพื่อปูทางให้หงเย่ นางชอบหงเย่ แล้วทำไมถึงยอมทำเช่นนี้? ดูท่านางคงเข้าใจอะโฉ่วผิด
เมื่อสู้กันเสร็จ หยู่เหวินเห้าก็เดินกะเผลกๆ เข้ามา ส่วนหงเย่ก็เท้าเอวเดินวางมาดจากไป หยู่เหวินเห้าบอกเขาว่าต่อไปไม่ต้องมาอีก แต่หงเย่กลับพูดว่าใครไม่มาเป็นลูกเต่า ด้วยเช่นนั้นทั้งสองจึงกลับสู่สภาพก่อนสงครามใหญ่
“หยวน ทายาให้ข้าหน่อย!” หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง
ทว่าหยวนชิงหลิงกลับลุกเดินไปเสีย “ให้สวีอีช่วยเจ้าแล้วกัน ข้าขี้เกียจจะยุ่ง”
สวีอีมององค์รัชทายาทแบบทื่อๆ “ข้าน้อยก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมเวทหมอผีได้ผลกับอ๋องเว่ย แต่ไม่ได้ผลกับพระองค์ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
หยู่เหวินเห้าถลึงตาใส่เขา “เพราะว่าพี่สามไม่เชื่อมั่นจิ้งเหอ เดิมทีพวกเขาก็แคลงใจกันอยู่แล้ว เวทหมอผีแค่เพิ่มความระแวงเท่านั้น แต่ข้ากับเจ้าหยวน นอกจากระแวดระวังเรื่องหงเย่แล้วก็ไม่มีเรื่องอื่น ตอนที่กลับมาจากเจียงเป่ย เราก็ทะเลาะกันเพราะหงเย่ไปทีหนึ่ง เป็นข้าที่ระแวง ขุ่นเคือง ตอนหลังข้ากับหงเย่ร่วมเป็นพันธมิตร ข้าเคยบอกแล้วว่าใช้คนไม่ระแวง เมื่อไม่ระแวง เวทหมอผีก็ต้องไม่ได้ผลอยู่แล้ว”
พอสวีอีเห็นท่าทางองค์รัชทายาทพูดอย่างกับทะนงตัว แถมระหว่างที่พูดน้ำเสียงก็ยโสมาก จึงเอ่ย “อยากลองบ้างจังเลยพ่ะย่ะค่ะ ดูสิว่าข้าน้อยกับอะซี่จะทะเลาะกันไหม”
“ให้ตายสิ แกว่งตีนหาเสี้ยน!” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างไม่สบอารมณ์
สวีอียักไหล่ “ทำไงได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ? ก่อนหน้านี้ยุ่งจะตายชัก ตอนนี่อยู่ๆ ก็ว่างซะงั้น ไม่รู้จะทำอะไรดี ชีวิตช่างน่าเบื่อจริงเชียว”
นี่เป็นเรื่องจริง
ก่อนทำสงคราม ความวิตกกังวลต่างๆ การเปลี่ยนแปลงยากจะคาดเดาต่างๆ ยุ่งจนม้าไม่หยุดหย่อนทุกวัน แทบอยากให้สิบสองชั่วยามกลายเป็นยี่สิบสี่ชั่วยาม บัดนี้จู่ๆ ก็หยุดเสีย ชีวิตราวกับไร้ทิศทางในบัดดล ดีที่อะซี่ตั้งครรภ์ ต่อไปก็หยอกเล่นกับลูกได้
ครั้นแล้วสวีอีก็จากไปอย่างระรื่น
เมื่อหงเย่ออกจากจวนอ๋องฉู่ ริมฝีปากบึนขึ้นข้างบน ถึงจะชกต่อยไปยกหนึ่งแล้วจะเจ็บอยู่บ้าง แต่ก็เหมือนสนุกอยู่เหมือนกัน
หลังจากแคว้นซู่ล่มสลาย เขาก็พาอะโฉ่วมาเมืองหลวง ที่จริงเขาจะทำอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ไร้จุดหมาย อยู่ไปวันๆ ชีวิตราวกับน้ำในทะเลสาบที่หยุดนิ่ง ส่งกลิ่นเหม็น เขาได้กลิ่นเองยังรู้สึกเน่าเฟะ
แต่ตอนนี้ดีมาก
พอกลับไปแล้วก็บอกกับอะโฉ่ว ว่าไม่ต้องต้มซุปใส่ยาอีก พวกเขาสองสามีภรรยาไม่เป็นอะไรสักนิด
อะโฉ่วไม่เชื่อ บอกว่ายานี้เคยไม่ได้ผล ไม่มีสามีภรรยาคู่ไหนในโลกที่เชื่อกันสนิทใจ
หงเย่ไม่สนใจนาง นอนอยู่บนเก้าอี้นอนในลานบ้าน มองท้องนภาที่หมื่นลี้ไร้เมฆ
อะโฉ่วยังพูดเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ ไม่หยุด บอกว่าเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
ทันใดนั้นหงเย่ก็มองนาง “อะโฉ่ว ถ้าพระชายารัชทายาทศึกษาความลับของทะเลสาบจิ้งไม่ได้ พวกเราก็อยู่ที่เป่ยถังเถอะ ไม่ต้องไปไหนแล้ว”
อะโฉ่วมองเขาอย่างประหลาดใจ นางรู้ว่าที่ท่านชายอยู่ที่เป่ยถังเพราะอยากตามหาบ้านเกิดของลิง และจุดสำคัญในการหาบ้านเกิดของลิงก็คือพระชายารัชทายาท หากพระชายารัชทายาทศึกษาไม่ได้ แล้วเขาจะอยู่ที่นี่ไปทำไม?
“แต่คนที่นี่ไม่เชื่อพวกเรานะเจ้าคะ พวกเขาเอาแต่คิดว่าเราจะทำร้ายพวกเขา”
“งั้นก็ให้พวกเขากังวลไป ให้พวกเขาระแวดระวังตลอดเวลา แบบนี้ไม่ดีหรือ?” หงเย่ยิ้มแย้ม ในดวงตามีความเปรมปรีดิ์อยู่มาก
อะโฉ่วมองเขาอย่างใจเย็น รู้สึกว่าระยะนี้ท่านชายเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เจ้าอยากกลับหนานเจียงหรือ? ถ้าเจ้าอยากกลับไป พรุ่งนี้ข้าจะให้ค่าเดินทาง เจ้ากลับไปเถอะ” หงเย่เอ่ยถาม
อะโฉ่วส่ายหน้า “อะโฉ่วไม่ไปเจ้าค่ะ อะโฉ่วเคยพูดว่าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านชายตลอดชีวิต”
“ตามใจเจ้า!” ตอนนี้หงเย่ไม่ฝืนใจแล้ว
แต่อะโฉ่วกลับงุนงง “งั้นพวกเราจะทำอะไรในเมืองหลวงหรือเจ้าคะ?”
“เรื่องแรก หาสามีให้เจ้าสักคน” หงเย่มองนาง แล้วยิ้มเล็กน้อย
อะโฉ่วตื่นตกใจ ยื่นมือลูบหน้าตัวเอง “มะ ไม่ ข้าน้อยไม่แต่งงาน ละไม่มีใครชอบข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่ต้องใส่หน้ากาก ถอดออกเถอะ เจ้าสวยนะ” หงเย่กล่าว
“มะ ไม่ ไม่ได้เจ้าค่ะ!” ทันใดนั้นจิตใจอะโฉ่วก็ระส่ำระสาย “ข้าน้อยถอดไม่ได้ ถอดแล้วก็จะถูกตีตายเจ้าค่ะ”
“อะโฉ่ว ที่นี่ไม่เป็นอย่างนั้น ที่นี่ไม่ใช่เจียงเป่ย…” หงเย่พยายามเกลี้ยกล่อม
อะโฉ่วหมุนตัววิ่งออกไป “ไม่ ข้าน้อยไม่!”
หงเย่มองแผ่นหลังนาง ถอนหายใจเบาๆ ปมในใจฝังแน่นเกินไป แค่เดี๋ยวเดียวจะเป็นปกติได้อย่างไร?
แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงดอกเตอร์หยวน ลิงเคยบอกว่าพระชายารัชทายาทนอกจากจะรักษาโรคได้แล้ว ยังรักษาโรคในใจได้ด้วย บางทีควรพาอะโฉ่วไปหาหมอสักหน่อย
แต่อะโฉ่วต้องไม่ยอมแน่ เดิมทีนางก็เห็นพระชายารัชทายาทเป็นศัตรู ภายหลังที่เปลี่ยนท่าทีกับพระชายารัชทายาท ยังเพราะอีกฝ่ายช่วยชีวิตเขา รักษาเขา แต่หากให้นางเปิดใจกับพระชายารัชทายาท เกรงว่าจะไม่ได้
อะโฉ่วติดตามเขามาหลายปีขนาดนี้ นอกจากนิสัยที่ประหลาดไปหน่อย ฉุนเฉียวไปนิดและกระหายเลือดไปบ้าง เรื่องอื่นก็ดีมาก แถมยังทำกับข้าวเป็น ถ้ารักษานางให้หายแล้วให้นางออกเรือนไป เช่นนั้นภายภาคหน้าถ้าเขากระโดดลงทะเลสาบจิ้งได้ก็วางใจแล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ วันถัดมาจึงปรากฏตัวอยู่ปากประตูจวนอ๋องฉู่ด้วยใบหน้าบวมแดง
ชะโงกศีรษะเข้าไปดูอยู่นานถึงเข้าไปถามยามเฝ้าประตู อีกฝ่ายบอกเขาว่าองค์รัชทายาทไปประชุมเช้าแล้ว เมื่อนั้นเขาถึงโล่งอก เอามือไพล่หลังเดินเข้าไป “เข้ามาขอพบพระชายารัชทายาท!”
หยวนชิงหลิงเพิ่งกลับมาจากทางอะซี่ อะซี่ดูแลครรภ์ได้หนึ่งเดือน อยู่ตัวเป็นการชั่วคราว พอได้ยินว่าหงเย่มาหาแต่เช้าก็ไปพบเขาที่ห้องโถงหลัก