หลังจากเหลิ่งจิ้งเหยียนออกจากจวนของหงเย่แล้ว ก็ไปหาหยู่เหวินเห้าที่กรมทหาร แจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ
หยู่เหวินเห้ากำหนดแผนการขึ้นมาทันที ยังมีสัญญาลงนามฉบับหนึ่งของราชสำนักและหมอผีสวรรค์ ป้องกันเมื่อถึงเวลาที่รักษาอะโฉ่วหายดีแล้ว อะโฉ่วจะเปลี่ยนสีหน้าจำคนไม่ได้ เขาให้เหลิ่งจิ้งเหยียนดำเนินการเรื่องนี้ทันท่วงที จำเป็นต้องทำให้หนานเจียงสงบภายในปีนี้ให้ได้ ให้ราชสำนักวางหินที่หนักอึ้งในใจลง จะได้ตั้งใจจดจ่อต่อกรกับสภาวะความกดดันของกองทัพใหญ่ของเป่ยโม่
เขากล่าวต่อเหลิ่งจิ้งเหยียน “หากว่าเรื่องนี้สำเร็จ เป็นสวรรค์ที่ช่วยเหลือเป่ยถังของเรา ยุติความวุ่นวายภายใน แม้เป่ยโม่จะโหดเหี้ยมป่าเถื่อน เป่ยถังของเราก็ไม่กลัว”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพยักหน้า “เป็นเช่นนี้จริงๆ ตอนนี้ก็เหลือแค่ก้าวนี้แล้ว”
ปัจจุบันนี้ความสงบสุขลอยอยู่เบื้องหน้า มีเพียงความโกลาหลทั้งภายในและภายนอกยุติลง จึงจะสามารถพัฒนากําลังประเทศอย่างแข็งขันได้ พวกเขามองหน้ากัน มีความทะเยอทะยานที่จะหล่อหลอมความเจริญรุ่งเรือง สงบสุขไม่ง่าย แต่การรักษาก็ยิ่งไม่ง่าย เส้นทางของพวกเขายังคงอีกยาวไกลน่ะ
วันเกิดของฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนในวันนี้ ฮ่องเต้หมิงหยวนได้แต่งตั้งฮูหยินใหญ่เป็นฮูหยินชั้นหนึ่งของประเทศ พระราชทานอักษรคำเรียกขาน หนังสือคำสั่งใช้ผ้าไหมลายหงส์และก้อนเมฆ นี่เป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่ราชวงศ์เป่ยถังได้ก่อตั้งขึ้น ครั้งที่สองของการแต่งตั้งฮูหยินของประเทศอีกทั้งใช้ผ้าไหมลายหงส์และก้อนเมฆที่เป็นรูปมังกรพันขึ้นไปทำเป็นหนังสือคำสั่ง
แต่จะว่าไปก็บังเอิญ ฮูหยินของประเทศคนแรก ก็เป็นคนของตระกูลหยวน เป็นแม่ทัพใหญ่คนแรกของราชสมัยนี้และถึงปัจจุบันก็เป็นเพียงคนเดียวที่ออกทำศึกทั้งเหนือใต้เคียงข้างฮองเฮาที่สถาปนาประเทศ
ตอนนี้ตระกูลหยวนมีบุรุษค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะในรุ่นอะซี่นี้ ตระกูลหยวนมีหลานชายเพียงสองคน หลายปีก่อน แม่ทัพหญิงของตระกูลหยวนยังขึ้นสนามรบทําสงครามเพื่อประเทศชาติ ต่อมามีอ๋องชินเกิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน มีอ๋องเว่ยอ๋องอานก่อน หลังจากนั้นก็มีอ๋องฉู่หยู่เหวินเห้าเป็นต้น ตระกูลหยวนจึงค่อยๆลาออก ประกอบกับฮ่องเต้หมิงหยวนมีความคิดจะปกป้องอนาคตของตระกูลหยวน จึงพระราชทานที่ดินนาดีในอาณาบริเวณของกษัตริย์ให้พวกเขาได้อยู่อย่างสุขสบาย สืบสกุลลูกหลาน
พระคุณอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้ คนตระกูลหยวนรู้สึกซาบซึ้งใจ เพียงรอวันเกิดผ่านไปแล้ว ก็จะเข้าวังเพื่อขอบพระทัย
งานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินใหญ่ มีผู้มาร่วมอวยพรมากมาย เหล่าขุนนางทั้งราชสำนัก ไม่มีผู้ใดไม่ให้เกียรติ ตระกูลหยวนจึงประกาศจะจัดงานเลี้ยงกินดื่มติดต่อกันสามวัน ให้ราษฎรมากิน ร่วมเฉลิมฉลองพร้อมกัน
หยวนชิงหลิงเตรียมของขวัญอย่างดีไว้ แล้วพาคุณย่าพร้อมทั้งเด็กๆกลุ่มหนึ่งเข้ามาพร้อมกับเจ้าห้าตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะหมาป่าหิมะถูกยืมตัวไป เจ้าเสือน้อยก็ยังต้องตามมาด้วย พร้อมทั้งแม่นมสี่และคนอื่นๆ ประชากรของจวนอ๋องฉู่นี้ ก็เต็มหนึ่งถึงสองโต๊ะแล้ว
ถึงตระกูลหยวนทางนั้น ก็มีแขกมาไม่น้อยแล้ว เพราะวันนี้ช่วงเช้าตรู่ก็ได้รับราชโองการแล้ว ฉะนั้น ตอนนี้ทุกคนจึงเปลี่ยนคําเรียกขานต่อฮูหยินผู้ใหญ่ เรียกว่าฮูหยินติ้งกั๋วเหมือนกันทั้งหมด
วันนี้ฮูหยินติ้งกั๋วสวมชุดราชสํานักของสตรีที่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ชั้นที่หนึ่ง ไม่ได้สูญเสียความห้าวหาญในวัยเยาว์ไปแม้แต่น้อย กระดูกสันหลังแข็งแรง ฝีเท้าการก้าวเดินรวดเร็วราวกับเหาะเหิน ภายใต้การห้อมล้อมของลูกหลานตระกูลหยวน บุคลิกเจ้านายแห่งตระกูลที่สูงศักดิ์ เผยออกมาอย่างชัดเจนโดยไร้ข้อกังขา
ในที่สุดหยวนชิงหลิงก็ได้เห็นแม่นางเจ็ดแล้ว
นางเพิ่งจะกลับถึงเมืองหลวงเมื่อคืน เพราะเป็นวันเกิดของฮูหยินติ้งกั๋ว วันนี้นางก็สวมชุดสีแดงที่เป็นมงคล หวีผมเกล้ามวยสูง ประดับด้วยหินปะการังสีแดงและไข่มุก โฉมหน้าคล้ายคลึงกับหยวนหย่งอี้และอะซี่เล็กน้อย มีความห้าวหาญในลักษณะเฉพาะที่ตระกูลหยวนมี ดวงตาคมกริบสุขุม มองแวบเดียว ก็ดูมีลักษณะน่าเกรงขามของผู้มีอำนาจ เคยได้ยินอะซี่กับหยวนหย่งอี้พูดว่า ไม่กี่ปีมานี้นางเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ เพื่อขยายอาณาเขตการค้าขายให้ตระกูลหยวน ช่างเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
นางมองดูหยวนชิงหลิงและหยู่เหวินเห้า ภายใต้การชะเง้อคอของท่านแม่ของอะซี่ ขึ้นหน้าไปคารวะ
คุกเข่าข้างหนึ่งลงพื้น ทำความเคารพโดยใช้พิธีการของการพบมกุฎราชกุมาร “หม่อมฉันถวายบังคมองค์ชายรัชทายาท ถวายบังคมพระชายารัชทายาทเพคะ!”
“แม่นางเจ็ดเชิญลุกขึ้น!” หยวนชิงหลิงอมยิ้มมองดูนาง มิน่าล่ะเหลิ่งจิ้งเหยียนถึงได้ชอบนาง จริงๆแล้วนอกจากโฉมหน้า ราศีก็โดดเด่นเกินผู้คน คิดว่าหากส่งเสริมให้เรื่องนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ก็เป็นเรื่องที่ดี
หยวนชิงหลิงกำลังคิดเรื่องนี้ ใครจะรู้หลังจากที่แม่นางเจ็ดลุกขึ้นก็กล่าวต่อหยวนชิงหลิง “พระชายารัชทายาทเพคะ เชิญเข้าไปพูดคุยสักสองสามคำในเรือนด้านข้างได้หรือไม่เพคะ?”
“ได้!” หยวนชิงหลิงก็อยากถามนางเป็นการส่วนตัว นางเป็นคนที่อยู่ได้ด้วยตัวเองเช่นนี้ หากใช้เพียงคำสั่งของบิดามารดาเป็นแม่สื่อมาควบคุมนาง ก็ไม่เหมาะสม
ทั้งสองคนจึงเดินเข้าไปที่เรือนด้านข้าง เมื่อมือใหญ่ๆของแม่นางเจ็ดโบก ไล่คนรับใช้ที่กำลังยุ่งอยู่ในเรือนด้านข้างออกไป เชิญหยวนชิงหลิงเข้าที่นั่ง
หยวนชิงหลิงเห็นทุกการกระทำทุกย่างก้าวของนาง ค่อนข้างมีพลังน่าเกรงขาม ยิ่งมีความชื่นชม
หลังจากนั่งลงแล้ว แม่นางเจ็ดก็ไม่อ้อมค้อม มองดูหยวนชิงหลิงแล้วกล่าวโดยตรง “เมื่อคืนได้ฟังท่านแม่ของข้าบอกว่า พระชายารัชทายาทมีพระประสงค์เป็นแม่สื่อให้หม่อมฉัน หม่อมฉันขอขอบพระทัยในความหวังดีของพระชายารัชทายาทก่อน ใต้เท้าเหลิ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมในฝูงชน เป็นคนที่มีความสามารถของประเทศชาติ แต่หม่อมฉันเชื่อว่าใต้เท้าเหลิ่งไม่ได้ชอบหม่อมฉันเพคะ”
หยวนชิงหลิงงงงันเล็กน้อย “ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนี้?”
แม่นางเจ็ดยิ้มเล็กน้อย กล่าวอย่างสงบนิ่ง “ใต้เท้าเหลิ่งเคยพบหม่อมฉันทั้งหมดสามครั้ง ครั้งแรกตอนที่ทุกคนยังเป็นหนุ่มสาว ไม่เข้าใจเรื่องความรัก ครั้งที่สองเป็นขณะที่บิดาของข้าเสียชีวิต เขามาเซ่นไหว้กับครอบครัวของเขา ครั้งที่สาม เป็นในงานเลี้ยงงานหนึ่ง ทักทายกันอย่างรีบร้อน เขาจำหม่อมฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ ยังเป็นคนข้างๆที่ชี้แนะ เขาจึงจำได้ สองครั้งก่อนหน้าที่พบกัน แทบจะสามารถมองข้ามไม่ต้องเอ่ยก็ได้ เพราะเขาจำไม่ได้แม้แต่น้อย เช่นนั้นก็มีเพียงการพบหน้ากันอย่างรีบร้อนครั้งที่สาม พระชายารัชทายาทคิดว่า การทักทายคำนั้น เพียงพอที่จะทำให้ใต้เท้าเหลิ่งมีความลุ่มหลงต่อหม่อมฉันจนฝันถึงมานานหลายปีหรือเพคะ? หม่อมฉันกล้ารับรองว่า ตอนนี้หม่อมฉันปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็จำหม่อมฉันไม่ได้เพคะ”
หยวนชิงหลิงกล่าว “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก?”
แม่นางเจ็ดหัวเราะเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ลองดูเพคะ หากว่าเขาจำหม่อมฉันได้ หม่อมจะทบทวนเรื่องการแต่งงานนี้ หากว่าเขาจำไม่ได้ งั้นสิ่งที่เขาพูดเหล่านั้นก็มีเจตนาอื่นแล้ว สำหรับเจตนาอะไร หม่อมฉันไม่สนใจเพคะ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า เป็นไปไม่ได้ที่เหลิ่งจิ้งเหยียนจะพูดออกมาว่าตัวเองจำคนออกมาไม่ได้โดยไม่คิด สามารถพูดกับมารดาของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่าชอบได้ อย่างน้อยที่สุดจะต้องจำได้เป็นแน่ล่ะ?
ดังนั้นนางจึงกล่าวว่า “ได้ ใต้เท้าเหลิ่งน่าจะใกล้ถึงแล้ว เช่นนั้นก็ลองดูหน่อย”
แม่นางเจ็ดมองดูหยวนชิงหลิง “ต้องการทดลอง ก็ต้องใช้วิธีการทดลองของหม่อมฉันเพคะ”
“ได้!” หยวนชิงหลิงรับปากทันที นางค่อนข้างมีความมั่นใจต่อเหลิ่งจิ้งเหยียน เขาฉลาดอีกทั้งความจำดีเป็นพิเศษ แม้ว่าจะไม่ได้มีความหมายทางนั้นกับแม่นางเจ็ดจริงๆ ก็ไม่ถึงขึ้นลืมหน้าตาของนาง
ทั้งสองคนออกไป แยกย้ายกัน หยวนชิงหลิงไปบอกเจ้าห้าครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวต้องการจะทดสอบใต้เท้าเหลิ่งด้วยกันสักหน่อย
รอครู่หนึ่ง คนของตระกูลเหลิ่งก็มาแล้ว เหลิ่งจิ้งเหยียนก็อยู่ในนั้นด้วย หลังจากเข้ามาแล้วก็เข้าไปพบเจ้าของวันเกิดก่อน จึงออกมาสนทนาด้วยกัน
หยวนชิงหลิงก็เข้าไปพูดคุยกับเหลิ่งจิ้งเหยียนสองสามคำ จากนั้นแสร้งทำเป็นเงยหน้าชี้ไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่กับใต้เท้าอู๋ ถามเหลิ่งจิ้งเหยียน “ฮูหยินผู้นั้นไม่คุ้นหน้าจริงๆ ไม่เคยพบมาก่อน ใต้เท้าเหลิ่งรู้ว่าเป็นใครหรือไม่?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนมองไป จำใต้เท้าอู๋ได้ แล้วเห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นยืนอยู่ใกล้ชิดกับใต้เท้าอู๋เพียงนี้ จึงกล่าว “น่าจะเป็นฮูหยินอู๋ล่ะมังพ่ะย่ะค่ะ?”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำนี้ มองดูเขาด้วยแววตาที่ซับซ้อน “ใช่หรือ?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนก็ไม่ได้สนใจ หันกลับไปพูดกับหยู่เหวินเห้า หยู่เหวินเห้าก็ได้ยินคำถามของยายหยวนและคำตอบของเหลิ่งจิ้งเหยียนแล้ว ขมวดคิ้วขึ้นมา “ไม่ถูกนี่ ใต้เท้าเหลิ่ง เจ้าบอกว่าชอบแม่นางเจ็ด ทำไมแม้แต่นางท่านก็ไม่รู้จักล่ะ? นางคือฮูหยินอู๋ที่ไหนกัน? นางคือแม่นางเจ็ดนะไงล่ะ!”
เหลิ่งจิ้งเหยียนงงงัน รีบหันกลับไปมอง ดูอย่างละเอียดสองสามรอบ “อ๋อ ถูก อยู่ระยะไกลไม่ได้มองให้ชัดเจนจริงๆ เป็นแม่นางเจ็ดจริงๆ”
หยวนชิงหลิงแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว “ท่านนั่นคืออาสะใภ้ของอะซี่ ท่านจำไม่ได้จริงๆว่าแม่นางเจ็ดหน้าตายังไง? ท่านยังจะบอกว่าชอบนางอีก?”