หยวนชิงหลิงมีความรู้สึกเหมือนถูกปั่นหัว มองดูเหลิ่งจิ้งเหยียนที่หน้าตาบริสุทธิ์อย่างงงงัน เขายังกลับมาปลอบใจหยวนชิงหลิงอีก “ตาไม่มีแววก็มีอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงบอกให้เจ้าห้าหิ้วเขาไปอีกด้าน เอ่ยถาม “ท่านเช่นนี้คืออ้างนางมาหลอกท่านแม่ของท่านงั้นหรือ? ท่านไม่ได้ชอบนางโดยสิ้นเชิง?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนกล่าวอย่างสบายๆ “ไม่ได้หลอก แน่นอนว่าก็ไม่ได้ชอบนางจริงๆ เพียงแค่รู้สึกสึกว่าทำเรื่องที่มีความหมายเรื่องหนึ่ง”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้ก็โกรธเป็นอย่างมาก กล่าวด้วยจิตใจที่ร้อนรน “นี่เรียกว่าเรื่องที่มีความหมายอะไรกันล่ะ? ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านย่าท่านนี้ของตระกูลหยวนดีใจเป็นที่สุดเชียว? เดี๋ยวท่านเข้าไป ดูแววตาที่นางมองท่าน ว่าเป็นแววตาแม่ยายที่มองดูลูกเขยหรือไม่? ใต้เท้าเหลิ่ง ชีวิตของท่านไร้รสชาติเกินไปแล้ว ต้องเอาคนสูงอายุมาล้อเล่นงั้นหรือ?”
หยู่เหวินเห้าเห็นนางโกรธจนทนไม่ได้ จึงกล่าว “ช่างเถอะ ประเดี๋ยวค่อยอธิบายให้กระจ่างก็ได้”
หยวนชิงหลิงกลอกตาขาวใส่เขาแวบหนึ่ง กล่าวอย่างโมโห “ท่านยังจะช่วยเขาอีก? ท่านต้องว่าเขาสิ ท่านคิดว่าเรื่องนี้อธิบายก็จบแล้วหรือ? ฮูหยินใหญ่ทางนั้นชื่นชอบเป็นอย่างมากเชียว เพียงได้ยินก็แทบจะจัดงานมงคลแล้ว”
หยู่เหวินเห้าไม่ได้มีความคิดเป็นของตัวเอง ได้ยินยายหยวนพูดเช่นนี้ ก็ตำหนิเหลิ่งจิ้งเหยียนทันที “เจ้าเองก็เช่นกัน ล้อเล่นอะไร? คนสูงอายุล้อเล่นไม่ได้”
เหลิ่งจิ้งเหยียนมองดูสามีภรรยาคู่นี้ ยังจะหัวเราะขึ้นมาอีก “ข้าไม่ได้ชอบนาง แต่มีคนที่ชอบนางนี่ หากว่านางไม่กลับมา จะทำให้ทังหยางพบหน้านางสักครั้งได้อย่างไร? จะว่าไป ทังหยางล่ะ? ไม่เห็นเขาหลายวันแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เขาลากิจไปทำธุระแล้ว อย่างน้อยครึ่งเดือนกว่าถึงจะกลับมา แต่ว่า แม่นางเจ็ดผู้นี้เกี่ยวข้องอะไรกับทังหยางล่ะ?” หยู่เหวินเห้ามองดูเขาอย่างสงสัย
เหลิ่งจิ้งเหยียนเอามือไขว้หลัง สีหน้าสุขุมนิ่งเฉย “เพราะแม่นางเจ็ดก็คนในดวงใจทังหยางที่ได้ฆ่าตัวตายไปแล้วไงล่ะ”
เมื่อคําพูดเหล่านี้หลุดออกมา หยวนชิงหลิงและหยู่เหวินเห้าต่างก็ตกตะลึงเป็นที่สุด พวกเขาสบตากัน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนกล่าวด้วยความเสียดาย “เช่นนั้นพวกเขามีวาสนาได้พบกันแต่ไร้วาสนาที่จะได้เคียงคู่กันแล้วจริงๆ เสียแรงความคิดของข้าเปล่าๆ”
จิตใจของหยวนชิงหลิงเป็นความปีติ อย่างน้อย นางไม่ได้ตาย ท้ายที่สุดทังหยางก็ไม่ได้แบกรับชีวิตคนหนึ่งชีวิตนี้ไว้
สำหรับพวกเขาจะอยู่ด้วยกันได้หรือไม่ นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากความดึงดันของแม่นางเจ็ด บุพเพสันนิวาสครั้งนี้เกรงว่าจะหันหลังกลับไม่ได้แล้ว
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” หยู่เหวินเห้าถามเขา
เหลิ่งจิ้งเหยียนมองดูเขา “บังเอิญข้ารู้จักคนข้างกายของแม่นางเจ็ด ทุกครั้งที่เขากลับเมืองหลวงล้วนมาหาข้าเพื่อดื่มเหล้า ผู้ชายนี่ ดื่มมากแล้วมักจะควบคุมปากตัวเองไม่ได้ ไม่ทันระวังก็เล่าให้ข้าฟัง ตอนแรกคิดว่าไม่จําเป็นต้องพูด เพราะอย่างไรทังหยางก็แต่งงานแล้ว และตอนนั้นข้าก็รู้สึกว่าใต้เท้าทังค่อนข้างเลว ตอนนี้รู้ว่าเป็นกลลวงและการคิดบัญชีเหตุการณ์หนึ่ง คิดว่าทั้งสองคนควรพูดให้ชัดเจนจะดีกว่า จึงวางแผนการแผนนึ่ง ให้แม่นางเจ็ดกลับเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
เหลิ่งจิ้งเหยียนหวังดี เพียงแต่หยวนชิงหลิงกลับทอดถอนใจแล้ว “หากว่าเจ้าต้องการช่วย เอาเรื่องที่แม่นางเจ็ดไม่ได้ตายบอกกับทังหยางโดยตรงก็ได้แล้ว ตอนนี้ทำจนฮูหยินใหญ่เกิดความเฝ้าหวังจนเปี่ยมล้น ดูซิว่าท่านจะจัดการยังไง”
เหลิ่งจิ้งเหยียนได้ยินหยวนชิงหลิงกล่าวเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าตัวเองทำไม่เหมาะสมเล็กน้อย กล่าวด้วยความอับอายจนเหงื่อตกว่า “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ หมู่นี้ใช้แผนการความคิดจนเคยชินแล้วจริงๆ มักจะรู้สึกว่าทุกๆเรื่องล้วนต้องใช้ความคิดเล็กน้อยเสมอ ใช้ทั้งอุบายลับและอุบายที่โจ่งแจ้งถึงจะสบายใจพ่ะย่ะค่ะ”
สามีภรรยาทั้งคู่กลอกตาขาวใส่เขาแวบหนึ่ง เหลิ่งจิ้งเหยียนเหลือบมองที่สองคนอยู่นาน ตัดสินใจหนีไปดีที่สุด
งานเลี้ยงฉลองวันเกิดนี้ กินอาหารอย่างรีบร้อนเสร็จแล้ว หยู่เหวินเห้าก็กลับจวนบอกให้องครักษ์ลับผีไปตามทังหยางกลับมา ไม่จำเป็นต้องหาแล้ว แต่ว่า กลับไม่ได้ให้องครักษ์ลับผีบอกให้รู้ว่าแม่นางเจ็ดคือคนที่เขาต้องการหา บอกเพียงแค่มีข่าวคราวรู้ว่านางไม่ได้ตาย ให้ทังหยางกลับมาและค่อยพูดกันต่อหน้า
เรื่องการแต่งงานของตระกูลเหลิ่งกับแม่นางเจ็ดไม่สำเร็จ ท่าทีของฮูหยินใหญ่ทางนั้นเป็นอย่างไร หยวนชิงหลิงยังไม่รู้ แต่ฮูหยินของตระกูลเหลิ่งทางนั้นโกรธเคืองจนเกือบตาย มากล่าวขอโทษต่อหยวนชิงหลิงถึงบ้านด้วยตนเอง
แม้กระทั่งความเดือดดาลของตัวเองนางก็ระงับไว้ไม่อยู่ กล่าวด้วยความโกรธเคืองเป็นที่สุดในจวนอ๋องฉู่ “จะรู้ได้อย่างไรว่าแม่นางเจ็ดที่เจ้าเด็กชั่วนั่นพูดจะไม่ใช่แม่นางเจ็ดของตระกูลหยวน แต่เป็นแม่นางเจ็ดจากหอหยวนเซียง ชั่งน่าโมโหจริงๆเชียว โดยปกติแล้วเขาก็ไม่เคยไปสถานที่เช่นนั้น ทําไมถึงได้ถูกผู้หญิงในสถานที่พรรคนั้นทำให้หลงใหลได้? ไม่ว่าเขาจะแต่งหรือไม่แต่งงาน แต่หากแต่งงานและพาแม่นางในหอนางโลมกลับมา ข้ายอมให้เขาเป็นโสดไปทั้งชีวิต ทำให้ข้าเสียแรงปีติยินดีเสียเปล่าๆ ทั้งยังจะทำให้พระชายารัชทายาทเสียหน้าอีก ตระกูลหยวนทางนั้น ข้าไปขอโทษด้วยตัวเองเถอะ จะได้ไม่ต้องเกี่ยวโยงมาถึงพระชายารัชทายาท”
หยวนชิงหลิงฟังจบ ยกนิ้วโป้งขึ้นกับทักษะการแก้ตัวที่แปลกประหลาดรอบนี้ของเหลิ่งจิ้งเหยียนอย่างเงียบๆ ใช้คำของเจ้าห้ามาพูด ตอนนี้เหลิ่งจิ้งเหยียนเป็นคนสารเลวที่ทำความชั่วไว้มากมายอย่างแน่นอน
นางมองดูฮูหยินเหลิ่งที่ร้อนรนขนาดนี้ จึงกล่าว “ฮูหยินอย่าได้โมโห โชคชะตาการแต่งงานของใต้เท้าเหลิ่งเกรงว่ายังจะไม่ถึง รออีกสักปีสองปีเถอะ บางทีเขาอาจจะมีความคิดความอ่านเอง สำหรับตระกูลหยวนทางนั้นก็ไม่ต้องอธิบายแล้วแม่นางเจ็ดน่าจะไม่ได้มีใจต่อใต้เท้าเหลิ่ง ดังนั้น แม่นางเจ็ดจะบอกต่อฮูหยินใหญ่เอง”
ฮูหยินเหลิ่งยังคงรู้สึกเป็นทุกข์ใจสุดๆ น้ำตาแทบจะไหล “มีความคิดความอ่าน? เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ก็คงไม่มีความคิดความอ่านแล้วเพคะ ตอนนี้ข้ากลัวว่าหลังจากนี้เขาจะรับสุนัขตัวหนึ่งแมวตัวหนึ่งกลับมาให้ข้า แล้วบอกว่าเป็นภรรยาของเขา ข้าก็ล้วนเตรียมใจดีแล้วเพคะ”
อะซี่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินคําพูดเหล่านี้ ก็หัวเราะคิกคัก “หากเป็นเช่นนี้ ไปหาแม่นางที่หอนางโลมยังจะดีซะกว่า อย่างน้อยก็เป็นคน”
ฮูหยินเหลิ่งทั้งเศร้าใจทั้งจนใจ ทุกคนล้วนบอกว่าบุตรชายของนางโดดเด่นเพียงใด นักปราชญ์ผู้มีความสามารถมีคุณธรรมของเป่ยถัง อายุยังน้อยก็เป็นหัวหน้าของกั๋วจื่อเจียน เป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่ชน แต่ผู้ใดจะรู้ นางที่เป็นมารดานี้ ไม่ได้หวังให้เขามีอนาคตใหญ่โต หวังเพียงให้เขาเหมือนคนทั่วไปเช่นนั้น ให้กำเนิดบุตรธิดา มีความสุขไปทั้งชีวิต
หลังจากส่งฮูหยินเหลิ่งที่อารมณ์กลัดกลุ้มจากไปแล้ว อะซี่ก็อดผิดหวังไม่ได้ “นึกว่าใต้เท้าเหลิ่งจะสนใจท่านอาเล็กของข้าจริงๆแล้วซะอีกน่ะ? จะรู้ที่ไหนว่าจะเป็นการดีใจที่ว่างเปล่าฉากหนึ่ง”
วันนั้นอะซี่กลับมาที่บ้านของตัวเองรอบหนึ่ง จนฟ้ามืดถึงได้กลับมา นางพูดกับหยวนชิงหลิงว่า “ท่านอาเล็กทะเลาะกับท่านย่า ท่านย่าโกรธจนเป็นลมล้มไปแล้ว แต่ลูกไม้ของท่านย่ากลับถูกท่านอาเจ็ดมองทะลุในพริบตา บอกว่าท่านย่าแข็งแรงขนาดนี้ ยังต้องแสร้งทำเป็นลมทำตัวอ่อนแออีก ท่านย่ายิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ จึงออกคําสั่งอย่างเคร่งครัดทันที ให้นางอยู่ในเมืองหลวงพูดคุยเรื่องแต่งงาน ภายในปีนี้จะต้องแต่งงาน มิเช่นนั้น ก็ไล่นางออกไป ตัดความสัมพันธ์แม่ลูก ต่อไปห้ามนางกลับมาที่ตระกูลหยวนอีก ตอนที่ข้าจากไป ท่านอาเจ็ดก็ไปเก็บข้าวของทันที ตอนนี้ในบ้านวุ่นวายไปหมด”
หยวนชิงหลิงจะหัวเราะก็ไม่ใช่จะร้องไห้ก็ไม่เชิง “ท่านอาเจ็ดของเจ้าต้องการจะไปแล้วหรือ?”
“ไม่หรอกเพคะ นางแค่ทะเลาะกับท่านย่า แต่ไม่ได้ไปจริงๆ เพราะครั้งนี้จริงๆแล้วท่านย่าก็โมโหมากเกินไป นางกลัวว่าหากไปจริงๆแล้ว ท่านย่าจะโกรธจนป่วยขึ้นมา ดังนั้น น่าจะอยู่ในเมืองหลวงเพื่อเจรจาเรื่องการแต่งงาน แต่สุดท้ายผู้ใดก็ไม่เข้าตาเป็นแน่” การแสดงนี้เคยแสดงในตระกูลหยวนมาหลายครั้งแล้ว อะซี่ก็รู้แผนการและตอนจบสุดท้ายในนี้ทั้งหมด ท่านย่าสู้ไม่ชนะท่านอาเจ็ดหรอก
หยวนชิงหลิงได้ยินว่าแม่นางเจ็ดไม่ได้จากไป เช่นนั้นบางทีทังหยางกลับมา พวกเขาก็ยังคงสามารถพบหน้ากันได้อีกสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ดี เรื่องนี้ต้องทำให้ชัดเจน นี่คือสิ่งที่ทังหยางติดค้างคนอื่นเขาไว้ ยังไงก็ต้องมีคำอธิบายต่อคนอื่นเขา