หลังจากที่ทังหยางกลับไปแล้ว ก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของเขาและแม่นางเจ็ดสักคำ หยวนชิงหลิงก็ไม่ได้ถาม แต่เห็นว่าความหนักอึ้งที่ซ่อนบนใบหน้าแบบก่อนหน้านี้ไม่มีแล้วจริง ราวกับว่าได้ปล่อยวางก้อนหินก้อนใหญ่ในจิตใจแล้ว
ดูท่า แม่นางเจ็ดไม่ได้ตาย ทำให้ชีวิตของเขาทั้งคนผ่อนคลายขึ้นมา
หยู่เหวินเห้ากลับเคยกระซิบถามว่าเขากับแม่นางเจ็ดยังมีโอกาสอยู่หรือไม่? เขาบอกหยู่เหวินเห้า บอกว่าชาติหน้าจะพยายามให้เร็วขึ้นหน่อย
หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าน่าเสียดายเล็กน้อย หากว่าเป็นยายหยวนของเขา ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะตามกลับมา ตายก็ไม่ปล่อยมือ
เพียงแต่เรื่องของทังหยาง เขาก็ยุ่งไม่ได้ คนก็อายุมากแล้ว ความรู้สึกของตัวเองตัวเองรู้ดี
การคำนวณในเบื้องต้นของหยวนชิงหลิงทางนั้นมีผลสรุปแล้ว จึงให้ซาลาเปาบอกต่อคุณลุงคำหนึ่ง เปิดการทดลองอีกครั้ง ดูความคลาดเคลื่อนนี้เป็นหลัก
ตอนนี้อะซี่ตั้งครรภ์แล้ว สวีอีไปทะเลสาบจิ้งไม่ได้ จึงส่งองครักษ์ลับผีไปสองสามคน สองคนในนั้นรับผิดชอบรายงานสถานการณ์
เดิมทีทะเลสาบจิ้งเคยส่งสิ่งของไปมาได้ แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้น ทําให้รับสิ่งของที่ส่งไปทั้งหมดไม่ได้ ตอนนี้หยวนชิงหลิงคาดการณ์คร่าวๆ หลักๆคือตอนนั้นได้พบกับจุดตัดที่มีการหยุดชะงักเป็นเวลาค่อนข้างนาน เวลานั้น มีกระแสน้ำวนน้อยมาก สิ่งของที่ทิ้งลงไปที่ทะเลสาบจิ้ง แทบจะไม่ได้โยนลงไปทางกระแสน้ำวน แต่สิ่งของที่พี่ชายส่งมา ก็เพียงแค่วางไว้ในทะเลสาบโยวนั่นของภูเขาซีเฉียวตามใจชอบเท่านั้น นางสันนิษฐานว่า มีสนามของแรงที่ไม่รู้จักชนิดหนึ่ง เมื่อขณะที่โลกทำการเคลื่อนไหวโคจรตามวัฏจักรในวิถีโคจร ผลกระทบที่มันได้รับจากสนามของแรงก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะหมุนรอบ การเปลี่ยนแปลงนี้จะก่อให้เกิดการคลาดเคลื่อนหรือการแปรเปลี่ยนต่อประตูแห่งมิติเวลาของทะเลสาบจิ้ง
ดังนั้น ที่นางต้องการทำในตอนนี้ ก็คือเวลาที่มีกระแสน้ำวน สังเกตการณ์ว่ากระแสน้ำวนไหลไปทางมิติเวลาทางหนึ่งอย่างมั่นคงหรือไม่ รอจนถึงเวลาที่สนามของพลังนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระยะการหมุนรอบอีกครั้ง แล้วค่อยดำเนินการทดลองก้าวที่สอง
ตอนนี้นางไม่รู้ว่าสนามของพลังที่ไม่รู้จักคงอยู่เพราะเหตุใดกันแน่ หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของบรรดาดาวบนท้องฟ้าอื่นๆหรือไม่ การสืบเสาะค้นหาในหลายๆด้านเช่นนี้อาจจะยากมาก แต่ตอนนี้นางก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ นอกจากนางจะบอกให้ซาลาเปาบอกให้พี่ชายเตรียมเริ่มการทดสอบแล้ว ก็ยังให้ซาลาเปาบอกต่อพี่ชายว่า ว่าสามารถเอาเรื่องเหล่านี้บอกกับนักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ที่รู้จักเป็นอย่างดีและไว้ใจได้ได้หรือไม่ ช่วยคำนวณทั้งสองด้าน
ซาลาเปาไปแล้วรอบหนึ่ง กลับมาบอกหยวนชิงหลิง บอกว่าคุณลุงจะไปหาคน หลังจากหาพบแล้ว จะบอกนาง
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่ารอบนี้จะสำเร็จ แต่ระหว่างการคำนวณและการทดลองอาจจะจำเป็นต้องสิ้นเปลืองเวลาเล็กน้อย แต่เพียงแค่สามารถหาทางกลับบ้านที่มั่นคงปลอดภัยได้ นางก็ยอมรอ
เหลิ่งจิ้งเหยียนเกลี้ยกล่อมหงเย่ หงเย่พูดโน้มน้าวอะโฉ่ว ให้อะโฉ่วยอมรับการรักษาของเหลิ่งจิ้งเหยียน เหลิ่งจิ้งเหยียนเก็บยากลับมาสองสามชนิด ปรุงยาผงตามตำราโบราณ บวกกับหินปรอทตามธรรมชาติที่ได้ผสมกับน้ำของสวรรค์ และก็คือน้ำฝน หลังจากที่ปรุงออกมาแล้วก็พอกไว้บนใบห้า บอกว่าอีกสามวันให้หลัง เปลวไฟสีดำนี้ก็จะจางไป
ทีแรกอะโฉ่วใช้ยาของฮูหยินใหญ่ประมาณสิบวัน ไม่มีผลแม้แต่น้อย แต่ใช้ยาที่เหลิ่งจิ้งเหยียนปรุงแล้ว วันแรกก็เห็นว่าสีดำที่ใจกลางของเปลวไฟจางไปเล็กน้อย และเส้นรัศมีที่ใจกลางของไฟเริ่มค่อยๆหดลง เกิดเป็นสีแดงขึ้นเล็กน้อย
นางไม่สามารถเชื่อได้จริงๆ พยายามใช้ยาน้ำแปลงโฉมเช็ดอย่างสุดความสามารถ เพราะหากว่าเป็นการประทับสีลงไป ยาน้ำนี้สามารถเช็ดออกได้ แต่นางเช็ดจนผิวแทบจะถลอกแล้ว สีที่ออกมาใหม่นั่นก็ไม่ได้ถูกเช็ดออกไป
รอจนกระทั่งสามวันผ่านไป สีดำตรงใจกลางเปลวไปสีดำ หายไปโดยสมบูรณ์ และรูปลายไฟในเดิมที ก็ค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นลายดอกบัว
นี่ก็คือรูปของหมอผีสวรรค์
อะโฉ่วยืนอึ้งในทันที น้ำตาร่วงลงมาเป็นสาย นางไม่ใช่ปีศาจร้ายที่มาเกิดบนโลก
เพราะการรักษาก่อนหน้านี้ เหลิ่งจิ้งเหยียนจึงให้อะโฉ่วลงนามในสัญญาความร่วมมือ อะโฉ่วก็ไม่ใช่คนกลับคำ ในเมื่อตัวเองไม่ใช่ปีศาจร้ายที่มาเกิดบนโลก นางก็จำเป็นต้องกลับไปบอกคนทั้งหมด
เหลิ่งจิ้งเหยียนหารือกับหงเย่ ออกเดินทางเร็วที่สุด ไปหนานเจียงก่อน จากนั้นคุ้มกันส่งไปที่เจียงเป่ยโดยคนคุ้มกันของอ๋องชุน แต่ก่อนที่จะไป ต้องสร้างสถานการณ์บอกว่าหาหมอผีสวรรค์ของเจียงเป่ยพบ เช่นนี้ จึงจะรับประกันความปลอดภัยของอะโฉ่วและพวกเขาได้
แต่ว่า ตั้งแต่ต้นจนจบหงเย่ก็มีอย่างหนึ่งที่ไม่เข้าใจ นั่นก็คือเรื่องที่อะโฉ่วเป็นหมอผีสวรรค์นี้ หมอผีจะต้องรู้เป็นแน่ แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่เคารพหมอผีสวรรค์แต่กลับยังทำร้ายอีกล่ะ?
เหลิ่งจิ้งเหยียนมองดูเขา กล่าวว่า “มีเพียงเหตุผลเดียว หมอผีเหล่านั้น ล้วนเป็นผู้ที่ท่านพ่อของเจ้าสั่งให้ไปทำงานบางอย่าง พวกเขาไม่ใช่หมอผีดั้งเดิม ดังนั้น จะไม่ปฏิบัติตามความเชื่อของเจียงเป่ย”
หากกล่าวเช่นนี้ หงเย่ก็เชื่อ เขาช่ำชองวิธีการนี้ที่สุด
ฮ่องเต้หมิงหยวนแต่งตั้งเหลิ่งจิ้งเหยียนเป็นเจ้าพระยาผิงเจียง สั่งให้เขาเดินทางติดตามไปหนานเจียงด้วย กำหนดแผนการอยู่เบื้องหลัง ยุติเรื่องสงครามของเจียงเป่ยและเจียงหนานโดยเร็วที่สุด
เหลิ่งจิ้งเหยียนจึงได้ออกเดินทางพร้อมกับหงเย่และอะโฉ่ว รวมพลกองทัพเป่ยหยิงสามพันนาย นําทัพไปพร้อมกันโดยแม่ทัพหลู่หม่าง มุ่งสู่หนานเจียงเพื่อรวมตัวกับอ๋องชุน
หากสามารถใช้วิธีการนี้แก้ไขปัญหาได้ เช่นนั้น สำหรับเป่ยถังก็ดี สำหรับเจียงเป่ยเจียงหนานก็ดีทั้งสิ้น เป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดแล้ว
ความวุ่นวายภายในไม่ใช้ทหาร ครอบครัวเดียวกัน สามารถเจรจาสงบศึกได้ทหารอาวุธไม่ต้องเผชิญหน้ากัน
หลังจากเหลิ่งจิ้งเหยียนออกเดินทางแล้ว สำนักเหลิ่งหลังมีคนต้อนฝูงหมาป่าจากจื๋อลี่ไปทางหนานเจียง หมาป่าสามร้อยตัว ทั้งหมดเป็นหมาป่าสีเทา นำทัพโดยหมาป่าหิมะของทังหยวน ดุจดั่งกองทัพทหารเช่นนั้นเป็นระเบียบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวดเร็วเป็นอย่างมาก ไม่ถึงสองวันก็ไล่ทันเหลิ่งจิ้งเหยียนพวกเขาแล้ว ทำให้พวกเหลิ่งจิ้งเหยียนไม่กี่คนตกใจจนแทบสำลักโดยแท้จริง
เห็นใบหน้าของเหลิ่งจิ้งเหยียนเปลี่ยนสี หงเย่ก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายขึ้นมา ยังคิดว่าไม่ว่าอะไรเขาก็ล้วนไม่กลัวซะอีกน่ะ เห็นฝูงหมาป่าก็ตกใจแล้วสินะ?
ท่านชายสี่อบรมหมาป่าเสร็จสิ้น พาหมาป่าของซาลาเปาและข้าวเหนียวกลับเมืองหลวงรับหยู่เหวินหลิงภรรยาตัวน้อยกลับไป เห็นสีหน้าของหยู่เหวินหลิงแดงระเรื่อ ราวกับว่ายังจะอิ่มเอิบขึ้นหน่อยด้วย ดีใจชั่วขณะจึงสะบัดตั๋วเงินสองใบเป็นค่าอาหารให้หยวนชิงหลิง
หยวนชิงหลิงดีใจเป็นอย่างมาก ตลอดทางที่ส่งออกไป โบกมือบอกให้องค์หญิงมาบ่อยๆหน่อย
หยู่เหวินเห้าต้องการแบ่งตั๋วเงินเหล่านั้นกับหยวนชิงหลิง บอกว่าอย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีราชสำนักเล็กๆของตัวเองแล้ว ไม่มีเงินไม่สะดวกจริงๆ หยวนชิงหลิงไตร่ตรองครู่หนึ่ง ให้เขาก่อตั้งคลังเก็บเงินส่วนตัวคลังหนึ่ง อนาคตจะใช้เงินก็หยิบจากในคลังเก็บเงินส่วนตัว
หลายปีขนาดนี้ ในที่สุดก็มีคลังเก็บเงินส่วนตัวของตัวเอง หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าตัวเองนับได้ว่าทนมาได้จนผ่านพ้นไปได้แล้ว
ผ่านไปสองวัน ในวังมีข่าวส่งออกมา บอกว่าฮองเฮาอาการไม่ค่อยดีนัก
ตั้งแต่หลังจากที่ฮองเฮาถูกกักบริเวณในตำหนักฟางหมิง สุขภาพก็ไม่ดีนัก และนางก็ไม่ค่อยเต็มใจพบอ๋องฉี กลับเป็นหยวนหย่งอี้ที่พาพี่หญิงเป่าเข้าวังไปเยี่ยมนางเป็นบางครั้งบางคราว นางยอมพบหลานสาวครั้งหนึ่ง ไม่เช่นนั้น โดยส่วนมากก็อยู่เป็นเพื่อนองค์ชายแปด
หลังจากประสบกับเรื่องราวมามากมาย ฮองเฮาก็คงปลงตกบ้างแล้ว แต่หลายปีก่อนความคิดยึดติดหนักเกินไป หลังจากถูกกักบริเวณจิตใจย่ำแย่ สุขภาพก็ย่ำแย่ ในขณะที่ป่วยก็ไม่ยอมเชิญหมอหลวง ทำให้อาการป่วยยืดเยื้อ รอจนกระทั่งคนในพระราชวังทูลต่อฮ่องเต้หมิงหยวน อาการป่วยของนางก็ค่อนข้างหนักแล้ว
อ๋องฉีมาเชิญหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงจึงหิ้วกล่องยาเข้าพระราชวังไป
มาถึงตำหนักฟางหมิง องค์ชายแปดนั่งกอดตะกร้ออยู่บนบันไดหินด้านล่างระเบียงทางเดิน ใส่แว่นตาที่หยวนชิงหลิงมอบให้เขาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจิตใจเหม่อลอย เห็นอ๋องฉีและหยวนชิงหลิงมา เขาค่อยๆลุกขึ้นยืน ดวงตาเปียกชุ่ม “พี่สะใภ้ห้า พี่เจ็ด เสด็จแม่ป่วยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
น้อยมากที่องค์ชายแปดจะยอมพูดคุยกับผู้คน แม้ว่าจะพูดคุยก็ไม่มองดวงตาของคน นอกจากกับน้องเก้า
จิตใจของอ๋องฉีเจ็บปวด เดินเข้าไปจูงมือของเขาอย่างรวดเร็ว กล่าวด้วยเสียงเบาๆ “ไม่เป็นไร พี่สะใภ้ห้าอยู่ พี่สะใภ้ห้าจะรักษาเสด็จแม่ให้หาย”
องค์ชายแปดจึงมองดูหยวนชิงหลิง “พี่สะใภ้ห้า จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หยวนชิงหลิงไม่รู้ว่าฮองเฮาป่วยเป็นอะไร แต่ตอนนี้ทำได้เพียงปลอบใจเขา พยักหน้าแล้วกล่าว “จริงสิ”