เรื่องที่หรงเยว่ตั้งครรภ์ ถูกเผยแพร่ไปยังเหล่าสะใภ้ร่วมตระกูลราชวงศ์อย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างก็ดีใจกับนางมาก หยวนหย่งอี้ถึงกับกระโดดตัวลอยขึ้นมา หวนคิดถึงเส้นทางในการขอลูกของหรงเยว่ ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ
พระชายาทั้งหลายต่างก็เดินทางไปยังจวนอ๋องหวย นอกจากจะไปยินดีแล้ว ยังต้องการไปร่วมดีใจเป็นเพื่อนนางด้วย
สะใภ้ร่วมตระกูลราชวงศ์ ส่วนมากแทบจะมากันหมดแล้ว ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง สอนนางว่าควรบำรุงครรภ์เช่นไร อ๋องหวยฟังอย่างละเอียดตั้งใจมาก จดเอาไว้ทุกสิ่ง
แต่ว่า วิธีการเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกมึนงงมาก ในนี้บอกไว้ว่ามีหลายสิ่งที่กินไม่ได้ แต่เมื่อวานพี่สะใภ้ห้าบอกแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอะไร อยากกินอะไรก็กินสิ่งนั้น แต่ต้องระวังเรื่องในมุ้ง และไม่สามารถเอะอะอะไรก็ใช้วรยุทธอย่างรุนแรง
แต่ว่า พระชายาซุนกลับตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะให้เขายึดมั่นและระวังในเรื่องต่างๆ บอกว่ายากมากกว่าจะตั้งครรภ์ได้ มีเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยงอยู่บ้าง ให้เตรียมพร้อมไว้อย่างเต็มที่
หรงเยว่ย่อมรู้สึกตื่นเต้น จึงให้อ๋องหวยจดเอาไว้ จากนั้นก็ยึดหลักปฏิบัติตามก็พอ ในเมื่อตอนนี้นางกินอะไรไม่ลงเลย ของเหล่านั้นไม่กินก็ไม่เป็นไร
ที่ดีใจที่สุด ไม่มีใครเกินหลู่เฟย
หลู่เฟยได้เตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ชาตินี้คงไม่มีทางได้อุ้มหลาน แต่นางไม่เคยบ่นโทษหรงเยว่เลย เพราะนางดูสุขภาพของหรงเยว่แล้วเป็นคนที่มีบุตรได้ง่าย นางคิดมาตลอดว่าเป็นลูกชายของตัวเองที่มีปัญหา ลูกชายเคยประสบกับการเจ็บป่วยครั้งใหญ่ เรื่องในทางด้านนั้น ใจอยากทำแต่แรงกายไม่ให้ก็คงจะมีอยู่บ้าง
ฉะนั้นหลายปีมานี้หรงเยว่จึงไม่ตั้งครรภ์ นางเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องที่จะให้อ๋องหวยแต่งรองพระชายา เพราะถ้าหากแต่งรองพระชายาแล้วก็ยังไม่มีการตั้งครรภ์อีก เช่นนั้นคนภายนอกก็ต้องรู้แน่ว่าลูกชายของตนเองมีปัญหา ยิ่งทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
เพราะฉะนั้นหลังจากหรงเยว่ตั้งครรภ์แล้ว นางจึงไปทูลกับฮ่องเต้หมิงหยวนว่า จะไปดูแลหรงเยว่ที่จวนจนกว่าจะให้กำเนิดลูกอย่างราบรื่น
ฮ่องเต้หมิงหยวนเองก็ค่อนข้างจะเห็นความสำคัญกับลูกคนแรกของอ๋องสองสามีภรรยาอ๋องหวยมาก หรงเยว่กับเหลิ่งซี่มีความสำคัญแต่เป่ยถังมากแค่ไหน เขารู้ดีแก่ใจ ย่อมต้องอนุญาตให้ไปแน่นอน
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกว่าโชคชะตาของประเทศชาติได้เปิดทางแล้ว ตั้งแต่หวงกุ้ยเฟยและฮู่เฟย จนถึงสะใภ้ของอ๋องหวยตั้งครรภ์ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าราชวงศ์กำลังจะแผ่กิ่งก้านสาขาแล้ว โดยเฉพาะเป็นข่าวมงคลที่ส่งมาหลังจากสงบสุขแล้ว ทำให้สิ่งที่ดีอยู่แล้วยิ่งดีมากขึ้นไปอีก
ตอนนี้เป่ยถังต้องการสิ่งที่ดีเพิ่มมากขึ้น ให้ภาพแห่งความสงบสุขและรุ่งโรจน์ทับถมกันขึ้นมา เผยให้ประชาชนทั่วไปได้เห็นอย่างชัดเจน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจ
ตอนนี้อำนาจของเขาได้มอบไว้ที่ตัวขององค์รัชทายาท เขาเองก็คิดว่าหยู่เหวินเห้าจะย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในตำหนักบูรพา การเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนพระราชนัดดาเปาจื่อก็ต้องเริ่มขึ้นแล้ว
ฉะนั้น หลังจากการประชุมราชสำนักช่วงเช้าแล้ว ก็เรียกตัวหยู่เหวินเห้าไปยังห้องทรงพระอักษร พูดเรื่องนี้กับเข้า
ย้ายไปที่ตำหนักบูรพา หยู่เหวินเห้าไม่ค่อยจะยินดีนัก ตอนนี้อาศัยอยู่ในจวนอ๋องฉู่ ทุกสิ่งสามารถทำได้ตามแต่ใจต้องการ ถ้าไปยังตำหนักบูรพาแล้ว ในวังมีกฎของวัง ยายหยวนไม่คุ้นเคย ไม่สามารถเข้าออกตามใจได้ และตอนนี้นางเองก็กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของทะเลสาบจิ้ง ไม่แน่ว่าต้องออกไปอีกเมื่อไหร่ ฉะนั้นจึงไม่สะดวก
เขาปฏิเสธเรื่องการเข้าไปอยู่ในตำหนักบูรพาอย่างนุ่มนวล แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนยืนกรานจะให้เปาจื่อศึกษาเล่าเรียนที่ห้องหนังสือใต้ แต่งตั้งราชครูหนึ่งคนรับหน้าที่อบรมสั่งสอน
เขาได้กำหนดตัวเลือกไว้หลายคน ล้วนเป็นคนในราชสำนักที่มีการศึกษาเล่าเรียนมามาก หยู่เหวินเห้ามองดูชั่วครู่ ขมวดคิ้วขึ้นมา
ขุนนางเก่าแก่เหล่านี้ เป็นผู้คงแก่เรียนจริงๆ แต่ความคิดคร่ำครึ รักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัด สั่งสอนตามระเบียบแบบแผน บางทีอาจจะเหมาะสมกับเด็กๆมากมาย แต่ไม่เหมาะสมกับเปาจื่ออย่างแน่นอน
นิสัยของเปาจื่อสดใสมาก อีกทั้งยังมีความคิดเป็นของตนเอง อาจดื้อรั้นบ้างในบางครั้ง แต่ภายใต้การอบรมสั่งสอนที่คร่ำครึ บางทีอาจทำลายสัญชาตญาณตามธรรมชาติของเขา
“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ลูกขอกลับไปปรึกษาหารือกับพระชายารัชทายาทก่อน ”หยู่เหวินเห้าไม่ได้ปฏิเสธไปโดยตรง ยังคงเอ่ยด้วยความนุ่มนวล
ฮ่องเต้หมิงหยวนขมวดคิ้วมองเขา “เรื่องเหล่านี้ เจ้าตัดสินใจเองก็ได้ ยังต้องถามอะไร หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว หรือยังไม่เข้าใจเรื่องการอบรมสั่งสอน”
“อย่างไรเสียปรึกษากันก่อนก็ดี”หยู่เหวินเห้าพูด
“ใช่ว่าข้าอยากว่าเจ้า เจ้ากลัวเมียถึงเพียงนี้ ไม่กลัวว่าคนใต้บังคับบัญชาเจ้าจะหัวเราะเยาะเจ้าหรือ”ฮ่องเต้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ
หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เสด็จพ่อ ข้าไม่ได้กลัวเมีย แต่เปาจื่อเป็นลูกที่ยายหยวนให้กำเนิดมาโดยแทบจะแลกด้วยชีวิต เรื่องของเขา นางจำเป็นต้องมีอำนาจตัดสินใจด้วย”
ฮ่องเต้หมิงหยวนถึงกับไร้ทางตอบโต้ ผ่านไปชั่วครู่ ยกมือขึ้น “ไสหัวไป”
หลังจากหยู่เหวินเห้ากลับไปแล้ว ได้ปรึกษาหารือเรื่องเปาจื่อกับยายหยวน เรื่องตำหนักบูรพาเขาสามารถต้านรับได้ แต่เปาจื่อเป็นพระราชนัดดา การอบรมสั่งสอนด้วยวิธีการจักรพรรดิไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องเรียนรู้ และคงไม่ถึงตาเขาที่จะตัดสินใจ บางครั้ง ก็ไม่ถึงตาที่เสด็จพ่อตัดสินใจ ขุนนางเก่าแก่เหล่านั้นก็คงจะขอร้องพร้อมกับร้องไห้จนขี้มูกโป่งแล้ว
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ในวังซินะ ”หยวนชิงหลิงไม่ค่อยเต็มใจ แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันเป็นเรื่องใหญ่ นางจึงถามขึ้นอย่างอดทนซะหน่อย
“ลำบากหรือไม่ เปาจื่อจะรับไหวหรือไม่”
หยู่เหวินเห้าบอกว่า “ลำบากนั้นต้องลำบากแน่ ท้ายยามโฉ่ว(01.00น.-03.00น.)ก็ต้องไปถึงห้องหนังสือ ยามเฉิน(07.00น.-09.00น.)ต้องเริ่มเรียนหนังสือ ยามอู่(11.00น.-13.00น.)พักผ่อน พักครึ่งชั่วยาม ก็เริ่มเรียนอีกครั้ง เลิกเรียนยามโหย่ว(17.00น.-19.00น.) ยังมีเรียนตอนค่ำอีก ถ้าหากคำนวณตามนี้ ตอนกลางคืนมีเวลานอนแค่สามชั่วยาม ถ้าหากกินข้าวเที่ยงเร็วหน่อย ก็สามารถนอนหลับเอาแรงได้ครึ่งชั่วยาม ทั้งวันรวมกันแล้ว สามารถนอนได้ไม่เกินประมาณสี่ชั่วยาม ”
“เจ้าห้า เจ้าคิดว่าเหมาะสมหรือไม่”หยวนชิงหลิงได้ยินเรื่องการเรียนที่มีความเข้มข้นสูงเช่นนี้ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา แค่ได้ยินยังอึดอัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเปาจื่อที่ต้องเผชิญด้วยตนเองเลย
หยู่เหวินเห้าเองก็ไม่ค่อยจะยินดีนัก เขาเองตั้งแต่เล็กก็ไม่เคยได้รับความลำบากเช่นนี้มาก่อน แต่พี่ใหญ่หยู่เหวินจุนเคยประสบมาแล้ว แต่ก็ไม่เห็นจะสั่งสอนได้ดี กลับกันยิ่งสอนยิ่งทำให้จิตใจทะเยอทะยานมากขึ้นไปอีก
“แต่เสด็จพ่อยืนกรานเช่นนี้……”
“ปฏิเสธได้หรือไม่”หยวนชิงหลิงถาม
“เอาอย่างนี้”เขาใช้ความคิด “พวกเราถามความคิดเห็นเปาจื่อกันก่อนดีหรือไม่”
“ถ้าหากถามเขา ย่อมต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน ”หยวนชิงหลิงพูด ให้กำเนิดลูกชายจะไม่รู้นิสัยลูกชายได้อย่างไร เขาฉลาดมาก ความรู้หลายอย่างแค่ชี้แนะเล็กน้อยก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอบรมสั่งสอนเช่นนี้เลย
“แต่ลองถามดูเถอะ ”เจ้าห้าตัดสินใจแล้ว ขอเพียงเปาจื่อบอกว่าไม่ยินดี เช่นนั้นก็ให้เปาจื่อไปขอร้องเสด็จปู่ด้วยตนเอง เสด็จปู่รักเขามาก ขอร้องไม่กี่คำคงจะทนไม่ได้ที่จะให้เขาต้องลำบาก ย่อมดีกว่าเขาไปขอร้องเสด็จพ่อ
ไหนเลยจะรู้ว่าพอเรียกเปาจื่อเข้ามาถาม เปาจื่อกลับไม่ได้ไม่พอใจมากขนาดนั้น เพียงแค่ถามว่า “แล้วเมื่อไหร่จึงจะได้กลับมา ข้าไม่อยากทิ้งน้องๆเอาไว้”
“เรียนจบแล้ว อาจารย์รู้สึกว่าใช้ได้แล้ว เช่นนั้นก็สามารถกลับมาได้ แน่นอนว่า ถ้าหากเจ้ามีความสามารถ ร่ำเรียนสิ่งที่อาจารย์สั่งสอนได้เป็นอย่างดี ก็สามารถกลับบ้านได้”หยู่เหวินเห้าพูด
เปาจื่อจึงยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ไม่ยาก สามเดือนข้าก็กลับมาได้แล้ว”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าลูกคนนี้ ทำไมจึงได้ดูถูกอาจารย์ถึงเพียงนี้ พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีการศึกษาสูงส่ง ความรู้ของพวกเขา ชาตินี้ไม่แน่ว่าเจ้าจะเรียนรู้ได้ทั้งหมด ”
เปาจื่อกลอกตากลมโตรอบหนึ่ง “อาจไม่แน่ก็ได้”
หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เจ้ายินดีอย่างนั้นหรือ”
“ศึกษาหาความรู้ ทำไมจะไม่เห็นด้วย”เปาจื่อมองไปทางหยวนชิงหลิง ลังเลอยู่ชั่วครู่ “ท่านแม่ท่านบอกว่าความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ให้พวกเราอย่าหยุดที่จะเรียนรู้มิใช่หรือ”
“แต่เสด็จปู่ต้องการให้เจ้าเรียนรู้เหมือนกับว่าที่ราชาคนหนึ่ง ตั้งแต่เช้าจนค่ำ……”
เปาจื่อตัดบทคำพูดของนาง “จะเรียน ก็ต้องเรียนดีๆ ลำบากก็ไม่เป็นไร ที่สำคัญคืออาจารย์สามารถสอนบางสิ่งที่ข้าไม่รู้ได้ ”
หยวนชิงหลิงสบตากับเจ้าห้าแวบหนึ่งอย่างประหลาดใจ เปาจื่อตั้งใจจริง
“เจ้าอย่าก่อกวนล้ออาจารย์เล่น เสด็จปู่จะโมโหเอาได้ ถ้าเจ้าไม่เรียนก็ไม่ต้องเรียน ถ้าจะเรียนก็ต้องเรียนดีๆ ถ้าหากเจ้าไม่ยินดีจะเรียน แม่จะไปพูดกับเสด็จปู่ของเจ้า”
เปาจื่อไขว้มือเล็กๆของตัวเองไว้ด้านหลัง มองนาง ขมวดคิ้วขึ้นมาราวกับเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ชอบก่อกวนเสียหน่อย เรียนกับใต้เท้าทัง พวกข้าก็ไม่เคยก่อกวนอะไรเลย”