หยวนชิงหลิงคิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะสงบได้ไม่นานเท่าไหร่ ก็เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว นางถามว่า “รู้หรือไม่ว่าใครเล่นสกปรก สายลับของหงเล่ก่อนหน้านี้ได้กำจัดไปหมดแล้วมิใช่หรือ ทำไมจึงยังมีคนเคลื่อนไหวใกล้กับเมืองหลวงอีก”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิด พูดว่า“ สายลับของหงเล่ แทบจะกำจัดไปหมดแล้ว แต่หงเล่กับตระกูลฉินแห่งเป่ยโม่ได้สมคบคิดกันมานาน คิดว่าก่อนหน้านี้คงต้องมีคนเป่ยโม่แทรกซึมเข้ามาแน่ ตอนนี่เป่ยโม่ยังคงจัดตั้งกองทัพไม่หยุด คงกำลังรอโอกาสอยู่ แต่ว่าเจ้าไม่ต้องห่วง พวกเขาก็แค่ต้องการจะใช้ข้ออ้างเกี่ยวกับอุทกภัยมาสร้างข่าวลือเท่านั้น ให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อราชสำนัก ข้าย่อมมีวิธีการรับมือ”
สายตาของเขามีแววเย็นชาวาบผ่าน “ข้าไม่ยอมสู้รบ แต่ถ้าหากต้องสู้ ทหารของเป่ยถังเราจะไม่ยอมถอยร่นเด็ดขาด”
หยวนชิงหลิงมองแววตาเย็นชาของเขา ทุกครั้งในเวลาเช่นนี้ รู้สึกสงสารเขา แต่ก็ภูมิใจในตัวเขา
“ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนี้แล้ว ราชวงศ์ปีนี้มีแต่เรื่องดี เป็นเรื่องมหามงคล จะให้ข่าวลือเหล่านี้มาทำให้เสียบรรยากาศได้อย่างไร พวกเราต้องรอต้อนรับชีวิตใหม่ที่จะให้กำเนิดในราชวงศ์อย่างสบายใจ ”หยู่เหวินเห้าเก็บสายตาเย็นชาคมกริบกลับไป พูดยิ้มๆ
“พูดถึงชีวิตใหม่……”หยวนชิงหลิงมองเขา เอ่ยขึ้นช้าๆว่า “บ้านเราก็จะเพิ่มเหมือนกัน”
แววตาของหยู่เหวินเห้าอบอุ่นขึ้น “อืม ถูกต้อง อะซี่ตอนนี้ก็นับว่าเป็นคนในบ้านเรา สวีอีจะเป็นพ่อคนแล้ว เจ้าวางใจ อย่างน้อยเขาก็ติดตามข้ามาหลายปี ต้องปฏิบัติต่อเขาให้ดี รอให้ลูกของเขาคลอดแล้ว ถ้าหากเป็นลูกสาว พวกเราก็ช่วยนางขอพระเมตตาจากฮ่องเต้ ถ้าหากเป็นลูกชาย ก็อบรมเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก ภายหน้าต้องเป็นคนที่มีอนาคตสดใสแน่”
หยวนชิงหลิงยิ้ม “ถ้าหากเป็นลูกสาว ท่านจะช่วยนางขอพระเมตตาเรื่องอะไร”
หยู่เหวินเห้ายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ให้พระชายารัชทายาทเป็นแม่บุญธรรมของนาง พระเมตตานี้พอหรือไม่”
“เช่นนั้นก็เท่ากับว่าท่านเป็นพ่อบุญธรรมของนางล่ะสิ ”หยวนชิงหลิงจะไม่รู้ความคิดในใจเขาหรือ เหลือเกินแล้ว
หยู่เหวินเห้าไอแห้งๆหนึ่งเสียง “ต้องคล้อยตามอยู่แล้ว เป็นพ่อบุญธรรมก็เป็น ไม่เคยเป็นพ่อบุญธรรมมาก่อน ลองดูก็ไม่เป็นไร ในเมื่อภายหน้าลูกสาวต้องอาศัยอยู่ในจวนของเรา ก็นับว่าเป็นของเรา”
“น่าไม่อายจริงๆ สวีอีเขาจะยินดีหรือไม่ สวีอียินดีก็ไม่แน่ว่าอะซี่จะยอม”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ก็แค่พ่อแม่บุญธรรม ไม่ใช่การบังคับแย่งชิงเสียหน่อย เพียงแค่ทุกคนต่างช่วยกันเลี้ยงดู ”หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลวเลยจริงๆ
หยวนชิงหลิงมองใบหน้าที่เป็นประกายของเขา “เช่นนั้นถ้าเป็นลูกชายก็จะไม่รับเป็นลูกบุญธรรมหรือ”
“ไม่เอา ไม่เอา ”หยู่เหวินเห้ารีบโบกมือ “ถ้าพูดถึงลูกชาย บ้านใครจะมีมากเท่าบ้านเรา”
หยวนชิงหลิงดึงมือที่โบกไปมาของเขาเอาไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เอาล่ะ ไม่พูดถึงเรื่องพวกนั้นแล้ว ข้าอยากจะบอกกับท่านว่า ข้าท้องแล้ว”
ใบหน้าของหยู่เหวินเห้าค่อยๆหันกลับมา ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย มองนางยิ้มๆ “ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่”
“จริง ข้าท้องแล้ว เพิ่งจะตรวจออกมา”หยวนชิงหลิงมองเขา พูดอย่างจริงจัง
ทันใดนั้นหยู่เหวินเห้าก็รู้สึกว่าหายใจลำบากขึ้นมา แต่เขาพยายามพูดยิ้มๆว่า “จริงหรือ เช่นนั้นก็ดีมากเลย”
“ดีหรือ”
“ดี ”เขากุมมือของนางเอาไว้อย่างตื่นเต้น ดวงตามีน้ำตารื้นขึ้นมา “ย่อมต้องเป็นเรื่องดี เจ้าว่า จะเป็นลูกสาวหรือไม่”
หยวนชิงหลิงมองปฏิกิริยาของเขา “อืม อย่างน้อยก็มีโอกาสเป็นไปได้ครึ่งหนึ่ง”
“เช่นนั้นก็ดียิ่งขึ้นไปใหญ่”รอยยิ้มบนใบหน้าของหยู่เหวินเห้ายังคงขยายกว้างขึ้น มือที่จับอยู่ก็ออกแรงมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว บีบจนกระดูกที่มือของนางเกิดเสียงดังกร๊อบ
“ยายหยวน เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้าว่าทำไมเจ้าจึงได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้”รอยยิ้มของเขา ยิ่งยิ้ม ก็เหมือนจะร้องไห้ออกมาอย่างไรอย่างนั้น ภายใต้การเฝ้าสังเกตอาการของหยวนชิงหลิง สุดท้ายก็กลั้นไว้ไม่อยู่ รอยยิ้มถูกเก็บกลับไปจนหมดเผยให้เห็นสีหน้าที่อยากจะร้องไห้ออกมา ตบไปที่ใบหน้าของตนเองหนึ่งที พูดอย่างดุดันว่า “ทำไมข้าจึงควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้”
ว่าแล้ว……หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ
“ท้องก็ท้องแล้ว ท่านตบตัวเองแล้วได้อะไรขึ้นมา”หยวนชิงหลิงพูด
หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นมา เดินวนอยู่หลายรอบ ร้อนใจราวไร้สิ้นหนทาง “แล้วจะทำอย่างไรกันดี จะคลอดออกมาหรือ”
หยวนชิงหลิงพูดด้วยระดับเสียงที่สูงขึ้น“ทำไม ท่านคิดจะไม่เอาหรือ”
“ไม่ใช่ข้า……”สีหน้าของหย่าเหวินเห้าซีดลงไปเล็กน้อย ข่าวนี้เกิดขึ้นกะทันหันไปบ้าง ในสมองของเขามีภาพตอนที่คลอดเหล่าเด็กๆปรากฏขึ้น ยังมีตอนที่คลอดเจ้าแฝดแล้วนางสลบไปช่วงนั้น
เขาไร้ทางสงบจิตใจลงได้
หยวนชิงหลิงเดินเข้าไปกอดเข้าเอาไว้ พูดเสียงเบาว่า “อย่าคิดเช่นนี้ ทุกอย่างต้องดีแน่ เหมือนที่ท่านพูดเมื่อครู่ พวกเรารอต้อนรับชีวิตใหม่อย่างสบายใจก็พอ”
หยู่เหวินเห้ากอดนางเอาไว้ ในใจมีความกังวลที่พูดไม่ออก เหตุไม่คาดคิดครั้งเดียว ยังพอปล่อยไปได้ แต่รู้อยู่แก่ใจว่านางคลอดหนึ่งครั้ง ก็ต้องเผชิญกับอันตรายหนึ่งครั้ง ทำไมจึงไม่ระวังตัวอีก
เขามันปากพล่อย พูดอยู่ตลอดว่าต้องการลูกสาว และไม่รู้ว่าเทพองค์ไหนถึงได้ศักดิ์สิทธิ์ถึงเพียงนี้ ให้ยายหยวนตั้งครรภ์ขึ้นมาจริงๆ
“บางทีนี่อาจจะเป็นบุญวาสนาที่คนอื่นขอแต่ก็ไม่อาจได้มา”หยวนชิงหลิงพูดต่อ
เขาพยักหน้า “ใช่แล้ว นี่เป็นบุญวาสนา ในเมื่อลูกมาแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ต้องรับเอาไว้”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่เอาแล้วจะทำอย่างไร”หยวนชิงหลิงยังคงรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับคำพูดของเขาเมื่อครู่ ถึงกับถามว่าจะทำอย่างไร จะคลอดหรือไม่
“ข้าแค่ร้อนใจไปชั่วขณะ พูดผิดไป”หยู่เหวินเห้าชดใช้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ปล่อยนางออก มองดูใบหน้างดงามที่ซูบผอม เดิมคิดว่าจะเลี้ยงดูให้นางอวบอิ่มกว่านี้สักหน่อย เฮ้อ
ยอมรับเรื่องการตั้งครรภ์ได้แล้ว แต่หยู่เหวินเห้าคิดว่า ช่วงนี้อย่าเพิ่งพูดออกไป มีข่าวลือเช่นนี้ออกมา บอกว่าราชวงศ์ที่ผ่านการทำลายจะฟื้นคืนอีกครั้ง ถ้าหากเรื่องที่นางตั้งครรภ์ถูกแพร่ออกไปอีกละก็ นั่นยิ่งจะทำให้จิตใจของประชาชนคาดเดากันไปเรื่อยเปื่อย
เกรงว่าข่าวลือนี้จะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ข่าวนี้ หยวนชิงหลิงไม่ได้ปิดบังคุณย่า หลังจากบอกให้นางรู้แล้ว นางก็รู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง นางยังฟื้นฟูภายในได้ไม่ดีก็ตั้งครรภ์อีกแล้ว นี่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
ดีที่หลังจากตรวจชีพจรให้หยวนชิงหลิงแล้ว กลับไม่พบปัญหาอื่น นางผอมไปบ้าง แต่ลมปราณนั้นเพียงพอ
นักเรียนรุ่นแรก จะสำเร็จการศึกษาแล้ว
หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าแนะนำว่า ให้จัดตั้งโรงหมอหลวงให้มากขึ้น เก็บค่าหมอต่ำ ราชสำนักค่อยจัดสรรเงินเพื่อเลี้ยงท่านหมอเอาไว้ พยายามให้ประชาชนจ่ายแค่ค่ายาก็พอ
หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกว่า โรงหมอส่วนตัวในตอนนี้ราคาสูงเกินไป ทำให้ประชาชนยากจนมากมายที่ไม่สบายไม่สามารถหาหมอได้ สร้างโรงหมอให้มากขึ้น สามารถกดราคาในตลาดในต่ำลงบ้าง จึงได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ในการประชุมราชสำนักช่วงเช้า
แต่นี่ก็เท่ากับไปแตะเข้ากับเป้าหมายของคนบางกลุ่ม ในราชสำนักมีทั้งคนเห็นด้วย และคนที่คัดค้าน ทำให้ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ในทันที
เรื่องดีๆที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน หยู่เหวินเห้ามั่นใจแล้วก็ลงมือทำ ฉะนั้น จึงได้เรียกประชุมปรึกษาหารือกับเน่ย์เก๋อหลายครั้ง
ดีที่ หลังจากที่นักเรียนรุ่นนี้ออกมาแล้ว ยังต้องฝึกงานอีกอย่างน้อยครึ่งปีจึงจะสามารถรับการตรวจวินิจฉัยได้เอง ฉะนั้น คุณย่าหยวนจึงได้จัดการให้พวกเขาไปทำการฝึกงานที่โรงหมอหุ้ยหมิงเป็นการชั่วคราว เช่นนี้ก็สามารถช่วยบรรเทาความกดดันเรื่องที่โรงหมอหุ้ยหมิงขาดแคลนหมอได้
ผ่านเรื่องที่มีการกักตุนยาสมุนไพรในครั้งที่แล้ว หยู่เหวินเห้าเริ่มควบคุมตลาดยาอย่างเข้มงวด ทุกกระบวนการล้วนแต่งตั้งคนจับตาควบคุมเป็นการเฉพาะ เป็นการให้อำนาจกับโรงหมอหุ้ยหมิงมากขึ้น ให้พวกเขาดูแลรับผิดชอบและรายงานกับเขาโดยตรง
แต่ว่า ตอนนี้ราคาในร้านขายยาและโรงหมอไม่เหมือนกัน ในความเป็นจริงแล้วยากจะทำให้เท่ากันได้ เพราะว่าโรคเดียวกัน แม้จะมีผลรักษาเช่นเดียวกัน แต่ส่วนผสมในใบสั่งยาไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ต้องให้ผู้ป่วยมีทางเลือกมากขึ้น จึงจะสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องราคาที่เพิ่มสูงมากขึ้นไม่หยุด
ตั้งแต่หยู่เหวินเห้าเอ่ยถึงเรื่องการจะจัดตั้งโรงหมอหุ้ยหมิงในการตรวจรักษาให้มากขึ้นแล้ว โรงหมอในเมืองหลวงราวกับได้ปรึกษาหารือกันเรียบร้อยแล้ว ได้จำกัดจำนวนการตรวจรักษาในทุกวัน โรงหมอหนึ่งแห่ง จะทำการตรวจรักษาห้าสิบคน แต่ค่าตรวจและค่ายาต่างก็สูงขึ้น