องค์หญิงฮุ่ยผิงคิดไม่ถึงว่านอกจากท่านป้าใหญ่จะไม่ช่วยนางแล้ว ยังจะช่วยหยวนชิงหลิงพูดอีก โมโหจนหน้าเขียวคล้ำไปหมด แต่ต่อหน้าท่านป้าใหญ่นางก็ไม่กล้ากำเริบมากเกินไป เอ่ยอย่างเศร้ารันทดไม่กี่ประโยค “เห็นทีท่านป้าใหญ่ก็ดูถูกข้า ใช่ซิ ราชบุตรเขยหลายปีมานี้ไร้อนาคต ลูกชายข้าตั้งหลายคนไม่มีสักคนที่สามารถเป็นขุนนางรับใช้ราชสำนักได้ ขอร้องรัชทายาท เขาก็ไม่ช่วยเหลือจัดการให้ ไม่เหมือน ไม่เหมือนพี่ชายกับพวกหลานๆ รัชทายาทต่างก็จัดการให้เรียบร้อยหมดแล้ว ท่านป้าใหญ่ย่อมช่วยพวกเขาสองสามีภรรยาพูดจา”
หรือพูดอีกอย่างคือ นางคิดว่าองค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วนั้นคอยช่วยหยวนชิงหลิง เพราะว่าหยู่เหวินเห้าได้ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวจัดการเกี่ยวกับตำแหน่งขุนนางให้กับลูกหลานของนาง
องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วโมโหจนรู้สึกปวดหัวมากขึ้น ไม่กริ้วแต่กลับยิ้ม “เป็นคำพูดที่เหลวไหลจริงๆ ลูกชายทั้งหลายของเจ้า บุ๋นไม่ได้ บู๊ก็ไม่ได้ เจ้ายังอยากจะทำให้รัชทายาทลำบากใจเอาพวกเขาเข้าไปรับตำแหน่งขุนนางในราชสำนัก เจ้าลองว่ามา พวกเขาสามารถเป็นขุนนางตำแหน่งไหนได้บ้าง”
ใบหน้าขององค์หญิงฮุ่ยผิงมีความไม่พอใจอยู่บ้าง “จะพูดเช่นนี้ก็มิได้ ไม่ใช่ทุกคนเกิดมาก็สามารถเป็นขุนนางได้เสียหน่อย อย่างไรก็ต้องผ่านการฝึกฝนมิใช่หรือ ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ฝึกฝน ชาตินี้ก็เป็นขุนนางไม่ได้”
เห็นแก่ไท่ซ่างหวง องค์หญิงเจิ่นกั๋วยังยินดีจะพูดกับนางด้วยคำพูดที่มาจากก้นบึ้งของจิตใจว่า “เจ้ายินดีให้พวกเขาไปฝึกฝนหรือ ถ้าเจ้ายินดี ไปเป็นขุนนางเล็กๆในพื้นที่ห่างไกล ถ้าหากมีผลงานดี รัชทายาทจะไม่ช่วยให้พวกเขาได้เลื่อนตำแหน่งหรือ อีกอย่าง ขุนนางรับตำแหน่งเลื่อนตำแหน่ง ก็ไม่ใช่เรื่องที่หลานชายของเจ้าผู้เป็นรัชทายาทเป็นคนดูแล หลานชายเจ้าลำบากแค่ไหน เจ้าที่เป็นป้ามองไม่เห็นหรืออย่างไร ทำไมจึงไม่สงสารเขาบ้าง ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้เจ้ากลับเพิ่มความไม่สบายใจให้เขา เป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรือ ”
ในใจขององค์หญิงฮุ่ยผิงไม่ยินดีจะฟังคำพูดเหล่านี้ “ท่านป้าใหญ่ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว”
“ไม่จำเป็น ถ้าหากเจ้ายังเคารพข้าเป็นป้า ก็อย่าได้สร้างความรำคาญใจให้เขาอีก อย่าได้หาเรื่องฉวยโอกาสขึ้นราคายารักษาที่เป็นเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นถ้าหากรัชทายาทมีมาตรการจัดการลงมา ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
องค์หญิงฮุ่ยผิงเอ่ยด้วยสีหน้ากราดเกรี้ยว “ที่ข้ามาไม่ได้จะมาฟังคำตำหนิจากท่านป้า ในเมื่อท่านป้าไม่ยินดีจะช่วย เช่นนั้นก็ถือซะว่าข้าไม่ได้มา หลานขอลา”
พูดจบ พาคนจากไปทันที ไม่แม้แต่จะคำนับด้วยซ้ำ
องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วโมโหจนนิ่งอึ้ง ทำเสียงไม่พอใจหนึ่งเสียง“ คิดไม่ถึงว่าข้าพูดไปตั้งมากมาย ล้วนเปลืองน้ำลายเสียเปล่า ไม่รู้อะไรควรหรือไม่ควรจริงๆ”
“องค์หญิงใจเย็นเพคะ อย่าได้ถือสาองค์หญิงฮุ่ยผิงเลย นางเองก็เป็นห่วงโรงหมอของนาง”
“ทำให้โรงหมอของนางเสียหายหรืออย่างไร ลดราคาให้ต่ำลงแล้วจะไม่มีเงินซื้อข้าวกินหรืออย่างไร หาเงินอย่างไม่สุจริต ยังไม่กลัวจะถูกกรรมตามสนอง”องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วโมโหจนยิ่งรู้สึกปวดหัวมากขึ้น ขมับยังคงเต้นเบาๆ ยกมือขึ้นเรียกบ่าวเข้ามา สั่งการลงไปว่า “พรุ่งนี้ไปที่จวนอ๋องฉู่ไปบอกพระชายารัชทายาทว่า นางไม่จำเป็นต้องสนใจองค์หญิงฮุ่ยผิง ถ้าหากนางยังกล้าไปหาเรื่องอีก ให้คนมาแจ้งให้ข้าทราบก็พอ”
“พ่ะย่ะค่ะ”ผู้ดูแลบ้านรับคำสั่ง แล้วประสานมือขึ้นคำนับถอยออกไป
องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วสั่งให้คนไปส่งข่าวที่จวนอ๋องฉู่ ในใจของหยวนชิงหลิงรู้สึกว่าท้ายที่สุดแล้วในราชวงศ์นั้นมีคนที่รู้เหตุรู้ผลอยู่มากกว่า องค์หญิงใหญ่คนนี้เป็นผู้ที่มีสายตามองการณ์ไกล และมีจิตใจที่เป็นห่วงประเทศและราษฎร
นางได้ถามไถ่ถึงอาการขององค์หญิง ได้ยินว่าองค์หญิงอาการปวดหัวกำเริบ จึงได้ไปยังจวนขององค์หญิงพร้อมกับคนที่มาส่งข่าว เพื่อตรวจวินิจฉัยให้องค์หญิง
องค์หญิงไม่ได้มีอาการปวดหัวข้างเดียวที่เกิดจากอาการปวดหัวกำเริบ แต่เป็นเพราะอาการของโรคกระดูกต้นคอที่ทำให้เส้นประสาทถูกกดทับ อาการปวดหัวเวียนหัวเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้
หยวนชิงหลิงช่วยนวดให้นางชั่วครู่ จากนั้นก็ใช้การประคบร้อน ร่วมกับการใช้ยาทาให้คนช่วยนางนวดคลึง ความสามารถนี้นั้นเรียนรู้มาจากคุณย่า ในยุคปัจจุบันนางเป็นโรคกระดูกต้นคอ ทุกครั้งที่กลับไป คุณย่าจะทำเช่นนี้กับนางตลอด
เมื่อทำทั้งหมดแล้ว ปรากฏว่าองค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา อาการปวดหัวบรรเทาลงแล้ว นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง มองหยวนชิงหลิง “หลานสะใภ้ห้า รีบนั่งลงพักผ่อนก่อน”
หยวนชิงหลิงเช็ดมือ แล้วนั่งลง พูดว่า “กลับไปข้าจะให้ฮูหยินใหญ่มาฝังเข็มให้ท่านเสียหน่อย ท่านเองก็ต้องให้ความร่วมมือในการออกกำลังบ้าง โรคกระดูกต้นคอ ไม่มียาอะไรจะรักษาได้ ได้แต่อาศัยความระมัดระวังของตนเอง ”
“ทำไมจึงเป็นโรคกระดูกต้นคอได้”องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วเองก็รู้สึกสับสนไม่เข้าใจ ทุกครั้งที่ท่านหมอตรวจชีพจร ล้วนบอกว่าเป็นโรคปวดศีรษะ เพราะในร่างกายของนางมีความเย็นมากเกินไปจึงทำให้เกิดโรคนี้ขึ้นมา
“ท่านก้มหน้าอยู่บ่อยๆใช่หรือไม่”หยวนชิงหลิงถาม
“ใช่ ทำงานเย็บปักถักร้อยต้องก้มหน้ามิใช่หรือ”องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วพูดขึ้นยิ้มๆ
ฝีมือการปักขององค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วนั้นดีมาก ตอนที่ยังเป็นสาว เคยปักภาพแม่น้ำและขุนเขาภาพหนึ่ง ทำเอาตื่นตะลึงไปทั้งเมืองหลวง
หยวนชิงหลิงพูดว่า “เช่นนั้นวันหน้าก็ไม่สามารถปักได้อีกแล้ว ถ้าจะปัก ก็ต้องระวังเรื่องเว้นระยะในการพักผ่อน”
องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วมองนางด้วยสายตาที่แฝงด้วยความรักและเมตตา “ข้าก็มีความสามารถอยู่แค่นี้ ให้ข้าหยุดปัก ข้าเองก็ไม่มีงานอื่นทำเพื่อฆ่าเวลา ฮูหยินใหญ่ที่เจ้าพูดถึงคนนั้น มีความสามารถจริงๆ ข้าเลื่อมใสนางมาก ถ้าหากมีเวลาว่าง ก็พานางมาที่นี่บ่อยๆหน่อย”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นเล็กน้อย เหลือบตาขึ้นมององค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋ว “หลายปีมานี้ฮูหยินใหญ่กำลังอบรมสั่งสอนนักเรียนในโรงเรียนแพทย์ หนึ่งในนั้นมีสาขาวิชาการฝังเข็ม โรคกระดูกต้นคอของท่านใช้การฝังเข็มจะเหมาะสมที่สุด ไม่ทราบว่าท่านจะยินดีหรือไม่หากให้นักเรียนมาฝังเข็มให้ท่าน ”
ถ้าหากนางยินดีละก็ นั่นเท่ากับสามารถเป็นการยืนยันได้ว่า เหล่านักเรียนไม่ใช่หมอไร้ฝีมือที่ไม่มีประโยชน์
หยวนชิงหลิงพูดเช่นนี้ออกไป แม่บ้านเก่าแก่ที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้นว่า “พระชายารัชทายาท จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร องค์หญิงเป็นผู้ที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง จะให้นักเรียนที่เพิ่งจะเรียนแค่สองสามปีมาฝังเข็มให้ได้อย่างไร ”
หยวนชิงหลิงก็รู้สึกว่าตัวเองพูดจาเกินขอบเขตไป เอ่ยอย่างรู้สึกเกรงใจว่า “องค์หญิงอย่าถือสา ข้าเพียงแต่พูดไปเช่นนั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกิน”
องค์หญิงใหญ่ทำท่ากดมือลง มองหยวนชิงหลิง “นักเรียนเหล่านั้น ล้วนเป็นคนที่ฮูหยินใหญ่สั่งสอนด้วยตนเองหรือ”
“นอกจากฮูหยินใหญ่แล้ว ยังมีหมอหลวงเฉา ส่วนอาจารย์คนอื่นๆ ล้วนเป็นท่านหมอที่มีชื่อเสียงที่เชิญมาจากอำเภอต่างๆ ไม่ใช่คนธรรมดา”หยวนชิงหลิงพูด
องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เอาอย่างนี้ ช่างปักหลายคนในจวนข้าล้วนเป็นโรคกระดูกต้นคอ เจ้าให้พวกเขามาฝังเข็มให้กับช่างหัก ถ้าหากได้ผล ข้าก็ยินดีจะลองดูสักครั้ง ”
หยวนชิงหลิงดีใจมาก “จริงหรือ เช่นนั้นก็ดีมากเลย”
องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วพูดยิ้มๆ “ข้ารู้ความคิดในใจของเจ้า ตอนนี้ข้างนอกมีเรื่องวุ่นวาย ล้วนเป็นฮุ่ยผิงที่ชักจูงอยู่เบื้องหลัง จงใจบอกว่าฝีมือการรักษาของนักเรียนจากโรงเรียนแพทย์ไม่ดี ทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกไม่พอใจต่อการจะสร้างโรงหมอหุ้ยหมิงเพิ่ม ถ้าหากนักเรียนเหล่านี้สามารถรักษาข้าให้หายได้ หรือทำให้พวกได้เห็นข้าก็ยินดีให้นักเรียนเหล่านั้นมารักษาให้ ต้องทำลายข่าวลือนี้ได้แน่ๆ ”
หยวนชิงหลิงใบหน้าแดงขึ้น “เป็นเช่นนี้จริงๆ”
อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ องค์หญิงใหญ่ช่างมีหัวใจที่ปราดเปรื่องจริงๆ มองความคิดของนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ยังยินดีจะช่วยเหลือนางด้วย
“พรุ่งนี้เจ้าให้พวกเขามา อย่าเพิ่งให้คนนอกรู้เป็นการชั่วคราว รักษาดูก่อนสักระยะได้ผลอย่างไรค่อยว่ากัน”องค์หญิงใหญ่เจิ่นกั๋วพูด
หยวนชิงหลิงลุกขึ้นมาคำนับ “ขอบคุณที่องค์หญิงใหญ่ที่เชื่อใจข้า”
หลังจากไปจากจวนขององค์หญิงใหญ่แล้ว หยวนชิงหลิงก็ตรงไปที่โรงเรียนแพทย์ทันที พูดเรื่องนี้กับคุณย่า
ข่าวลือข้างนอก มีผลกระทบต่อนักเรียนที่กำลังจะจบการศึกษาอย่างแน่นอน พวกเขาเองก็คิดว่า แม้จะไปฝึกงานที่โรงหมอหุ้ยหมิง คนไข้ก็ไม่มีทางเชื่อพวกเขา เพราะว่าพวกเขาดูแล้วอายุค่อนข้างน้อย
ได้ยินพระชายารัชทายาทบอกว่ามีโอกาสฝึกฝีมือให้พวกเขา เป็นการยืนยันความสามารถของพวกเขา ต่างก็ดีใจมาก ต่างก็เสนอตัวเองออกมา
คุณย่าหยวนคัดเลือกไปหลายคน พรุ่งนี้ให้พวกเขาติดตามหยวนชิงหลิงไปที่จวนขององค์หญิงใหญ่
คุณย่าหยวนมั่นใจในลูกศิษย์ที่ตัวเองสอนเป็นอย่างยิ่ง การรักษาช่วยชีวิตคนไม่เหมือนเรื่องอื่น จำเป็นต้องระมัดระวัง ละเอียดอ่อน ส่วนวิชาฝังเข็ม นางได้เปิดการเรียนการสอนเป็นการเฉพาะและทำการสอนด้วยตนเอง ตอนที่นางเปิดให้การตรวจรักษา คนไข้ที่ต้องฝังเข้ม ส่วนใหญ่จะมีนักเรียนเป็นคนฝังเข็มให้