โสวฝู่ฉู่หลังจากคำนับทักทายเจ้าพระยาเจียงหนิงแล้ว ก็ให้ทังหยางส่งเจ้าพระยาเจียงหนิงสองสามีภรรยากลับไปที่โรงเตี๊ยม เขาไม่ได้เข้าไปเยี่ยมแม่นมสี่ ได้ยินคำพูดของหยวนชิงหลิง เขาก็วางใจแล้ว
หยวนชิงหลิงไปดักรอเขาที่ห้องโถง
หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นกล่าว โสวฝู่ฉู่บางทีท่านควรจะไปถามที่ร้านชาเต๋อคางหน่อย ข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่ข้างนอก ต้นตอนั้นมาจากร้านชาเต๋อคาง
โสวฝู่ฉู่มองนาง ครู่ใหญ่ จึงค่อยๆกล่าวขึ้น “อืม ขอบคุณพระชายา”
เขาและเซียวเหยากงก็เดินออกไป ยืนอยู่บนถนน เขาที่สวมชุดสีน้ำเงินเข้มถูกลมพัด ผมที่ขาวดั่งหิมะ อยู่ภายใต้แสงแดดยามเช้า เกิดแสงกะพริบ
อากาศหนาวแล้ว ผู้คนที่เดินอยู่บนท้องถนนต่างใส่ชุดกันหนาว
เขาจูงม้า ค่อยๆเดินไป เซียวเหยากงเดินอยู่ข้างกายเขา อยากจะคุยกับเขาสักสองสามประโยค เพียงแต่ ก็รู้สึกว่าภาพที่อยู่ตรงหน้า ช่างเหมือนตอนที่พวกเขาสู้รบอยู่บนทะเลทรายเมื่อไม่นาน พวกเขาไม่ได้คุยกันเลย บางทีศึกในครั้งนั้น ทุกคนต่างรู้ว่า มันเป็นศึกที่น่าเศร้า บางทีไม่มีใครสามารถกลับไปได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่พูดกันแม้แต่คำเดียว
บัดนี้ โสวฝู่ฉู่ที่อายุมาก เมื่อคืนวานเผชิญกับสิ่งที่น่าสลดใจ ก็เกี่ยวกับความเป็นตาย
พวกเขาแยกทางกัน ตรงหัวมุม
โสวฝู่ฉู่ยังคงจูงม้าเดินเพียงลำพัง ผู้ติดตามเดินตามอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้
ตอนแรก แผ่นหลังของโสวฝู่ฉู่นั้นเป็นโค้งงอโดดเดี่ยว เงาได้ก่อตัวเป็นวงกลมสีดำบนพื้น
หลังของเขาก็ค่อยๆยืดตรงขึ้น กระโดดขึ้นไปบนหลังม้า แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องไปบนตัวเขา แต่กลับไม่มีความอุ่นเลย ร่างกายของเขากำลังกระจายไอเย็นออกมา
ผู้ติดตามควบม้าตามไปอย่างรวดเร็ว
หน้าหนึ่งหลังหนึ่ง ม้าสามตัวได้วิ่งไปเส้นทางจวนของตระกูลฉู่
เขาไม่จำเป็นต้องไปตรวจสอบที่ร้านชาเต๋อคาง เมื่อวานตอนที่ออกมาจากวัง ได้สั่งการให้ผู้ติดตามไปตรวจสอบแล้ว และผลจากการตรวจสอบ ก็ได้ส่งมอบมาถึงมือของเขาตอนรุ่งสาง
จวนตระกูลฉู่
เสาหลักของตระกูลฉู่ เมื่อคืนไม่ได้กลับมาทั้งคืน
เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นอกเสียจากว่าจะไปงานราชการ
เมื่อก่อนต่อให้ไปสังสรรค์ดื่มเหล้า ก็จะสั่งคนให้กลับมารายงาน
เมื่อวานหลังจากออกไปแต่เช้า เขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย ราวกับหายเข้าไปในกลีบเมฆ
โชคดีตอนเช้าที่เขาจะออกไปนั้น ได้บอกเอาไว้ว่าจะเข้าวังไปคุยเป็นเพื่อนไท่ซ่างหวง
ดังนั้น ท่านชายใหญ่ตระกูลฉู่สั่งคนที่อยู่นอกวังไปสอบถามหลายรอบแล้ว แต่องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ตรงประตูวังบอกว่าโสวฝู่ฉู่ได้ออกจากวังหลังเที่ยง ก็ไม่ได้เข้าไปในวังมาอีก
มันทำให้คนของตระกูลฉู่ร้อนใจมาก
โดยปกติโสวฝู่ฉู่ตัวคนเดียว ไม่ค่อยมีเพื่อนที่นอกเหนือจากงาน
นอกจากเซียวเหยากง แต่ระยะหลังก็ติดต่อกับเซียวเหยากงน้อยลง ถึงขนาดมีข่าวลือว่าทั้งสองคนแตกคอกัน
ดังนั้น คนของตระกูลฉู่กังวลไปทั้งคืน
แม้กระทั่งฉู่หมิงชุ่ยยังตกใจไปด้วย ภายใต้ความตกใจและร้อนใจ แต่เช้าฉู่หมิงชุ่ยก็พาอ๋องฉีกลับบ้านตระกูลฉู่
เมื่อโสวฝู่ฉู่กลับไปถึงนอกบ้านตระกูลฉู่ คนที่เฝ้าประตูรีบวิ่งมาต้อนรับทันที “นายท่านกลับมาแล้ว? พวกท่านชายใหญ่ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว”
รอจนกระทั่งเขาเห็นผมสีขาวของโสวฝู่ฉู่นั้น ก็ตกใจจนพูดไม่ออกทันที
โสวฝู่ฉู่เอาม้าให้กับคนเฝ้าประตู หันหลังกลับไปสั่งกำชับผู้ติดตาม “เข้าไปถ่ายทอดคำสั่งข้า ทุกคนในจวน ให้มารวมตัวกันที่ห้องโถง”
เขากำชับเสร็จแล้ว ก็เอามือไขว้หลังเดินเข้าไปข้างใน
แล้วสั่งการคนอีกหลายคน ให้พวกเขาออกไป ไปพาคนมาที่จวน
เขายืนอยู่ที่หน้าเก้าอี้หลักของห้องโถง มองป้ายที่แขวนอยู่ในห้องโถง บนป้ายแขวนมีตัวอักษรห้าตัว “ไม่แก่งแย่งชิงดี”!
ตัวอักษรห้าตัวนี้ เมื่อสิบปีก่อนเขาเป็นคนแขวนขึ้นไปเอง
ตอนนั้น คนในจวนไม่มีคนเห็นตัวอักษรห้าตัวนี้อยู่ในสายตา รู้สึกว่ามันไม่สง่างามเลย
มีคนเสนอความเห็น ให้ใช้คำว่าปณิธานของหงส์มาแทน (ปณิธานของหงส์หมายถึงมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่ยาวไกล)
เขาคิดว่า ตัวอักษรห้าตัวนี้เมื่อแขวนอยู่ตรงนี้นานเข้า ในที่สุดพวกเขาก็จะเข้าความหมายของมัน
“เด็กๆ ไปหยิบภาพเขียนอักษรในห้องของข้ามาเปลี่ยนอันนี้ออก” โสวฝู่ฉู่ค่อยๆสั่งการ
พ่อบ้านเดินเข้ามาใกล้ โค้งตัวถาม “ไม่ทราบว่านายท่านต้องการภาพไหน?”
โสวฝู่ฉู่หันหลังกลับมา มองพ่อบ้าน “ที่ข้าเพิ่งจะเขียนเสร็จเมื่อไม่กี่วานก่อน”
พ่อบ้านตกใจ ท่านหมายถึงคำว่ายโสโอหังสี่ตัวอักษรนั้น? ……..นั่นมันไม่ค่อยจะเหมาะมั้ง?”
ก่อนหน้านั้นที่คุณหนูรองยืนยันจะแต่งงานกับอ๋องฉู่ ก็เลยประท้วงด้วยการอดข้าวในห้องตัวเอง แถมยังด่าพระชายาฉู่ นายท่านที่อยู่ในห้องหนังสือก็ได้เขียนคำว่ายโสโอหังสี่ตัวอักษรนี้
“ทำตามคำสั่ง!” โสวฝู่ฉู่สั่งการอย่างเฉียบขาด
แต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นคนน่าเกรงขาม ไม่ให้ใครมาคัดค้าน เมื่อคำพูดนี้พูดออกมา พ่อบ้านที่มีความถามมากมาย ก็ทำได้เพียงไปจัดการตามคำสั่ง
คนในตระกูลฉู่ได้ยินว่าเขากลับมา อีกทั้งได้ยินมาว่าให้ไปรวมตัวกันที่ห้องโถง ก็รีบร้อนออกมากัน แม้กระทั่งฮูหยินโสวฝู่ฉู่ที่เป็นใบ้ก็ยังถูกพยุงตัวออกมา
โสวฝู่ฉู่ที่นั่งอยู่ตรงกลางห้อง เห็นดูภรรยาใหญ่น้อยและลูกหลานต่างมากันด้วยความร้อนใจ ฉู่หมิงชุ่ยก็มาด้วย สีหน้าเย็นชา ยืนอยู่ด้านข้างด้วยแววตาที่เย็นชา
เขาไม่พูดแม้แต่คำเดียว ใบหน้าจริงจัง
ทุกคนล้วนตกตะลึงกันไปหมดแล้ว ทำไมออกไปค้างข้างนอกแค่คืนเดียว ผมก็หงอกไปทั้งหัว?
ท่านชายใหญ่ตระกูลฉู่ถามอย่างร้อนใจ “ท่านพ่อ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมผมของท่านถึงขาวไปหมดเลย?”
แววตาของโสวฝู่ฉู่เหมือนดั่งใบมีดที่เย็นเยือกกรีดผ่านไปที่ใบหน้าของท่านชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ แต่ยังคงไม่พูดไม่จา
ทำให้ทุกคนกลัวจนไม่กล้าออกเสียง ต่างมองสบตากัน
จนกระทั่งพ่อบ้านพาคนมาเปลี่ยนป้ายแขวน ทุกคนเห็นตัวอักษรบนป้ายที่จะแขวนขึ้นไป เป็นตัวอักษรคำว่ายโสโอหัง ต่างก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
อ๋องฉีกับพระชายาฉีฉู่หมิงชุ่ยก็มาถึงแล้ว อ๋องฉีเห็นโสวฝู่ฉู่ แล้วมองตัวอักษรสี่ตัวนี้ ก็ตกใจ ขึ้นไปถาม “ท่านตา ท่านทำเช่นนี้ทำไม?”
“อ๋องฉี!” โสวฝู่ฉู่กล่าวด้วยเสียงต่ำ “ท่านคิดว่าคำว่ายโสโอหังบัดนี้เอามาเปรียบเทียบคนของตระกูลฉู่ เหมาะสมกันมั้ย?”
อ๋องฉีตกใจอีกครั้ง มองไปรอบๆ ทุกคนยังคงมองหน้าซึ่งกันและกัน ไม่รู้ว่าทำผิดอะไร
คนที่อยู่ในห้องโถง มีท่านชายหลายคนของตระกูลฉู่ ฮูหยิน ยังมีหลานชายหลานสาวของโสวฝู่ฉู่ หลานชายส่วนใหญ่โตเป็นหนุ่มแล้ว บางคนแต่งงานมีลูกแล้ว
อ๋องฉีลังเลไปครู่หนึ่ง “ท่านตา คำพูดของท่าน ข้าไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี”
“ว่ามาตามตรงก็พอ” โสวฝู่ฉู่กล่าวอย่างเรียบเฉย
บ่าวยกน้ำชามาให้ เขาก็ไม่ดื่ม ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้กินข้าวแม้แต่คำเดียว ไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่หยดเดียว
ไฟโกรธแผดเผาอยู่ข้างใน ใจของเขาร้อนระอุ ไม่ใช่น้ำแก้วเดียวก็จะสามารถทำให้มันมอดลงได้
อ๋องฉีที่กำลังจะพูดนั้น ก็ถูกฉู่หมิงชุ่ยแตะไปที่ข้อศอกของเขาหนึ่งที จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงเบาที่หนักแน่น “ท่านปู่ หลานคิดว่า ตระกูลฉู่ไม่มีคนที่ยโสโอหัง มากสุด ก็แค่เป็นคนที่มีความมั่นใจ ไม่เป็นคนที่ต่ำต้อยและก็ไม่เย่อหยิ่ง ที่ตระกูลฉู่สามารถมีความมั่นใจเช่นนี้ ก็เพราะท่านปู่”
โสวฝู่ฉู่หัวเราะ เสียงหัวเราะเยือกเย็นจนผิดสังเกต เขาจ้องมองฉู่หมิงชุ่ย “ไม่ต่ำต้อยและก็ไม่เย่อหยิ่ง?
แววตานี้ทำให้ฉู่หมิงชุ่ยตกใจจนสะดุ้งต้องไปหลบอยู่ที่หลังของอ๋องฉี ไม่กล้าพูดจากอีก
“ท่านปู่ ท่านเป็นอะไรเหรอ?” คุณใหญ่ตระกูลฉู่อดไม่ได้ที่จะถาม
โสวฝู่ฉู่ค่อยๆหมุนแหวนหยกที่อยู่บนมือ สายตาไปหยุดอยู่บนใบหน้าของฮูหยินใหญ่ตระกูลฉู่ จ้องมองฮูหยินใหญ่ตระกูลฉู่จนนางขนลุกซู่
นางยิ้มเจื่อนๆ “ท่านพ่อมีอะไรก็พูดมาเลย จ้องมองข้าเช่นนี้ ข้ารู้สึกไม่สบายใจ”
โสวฝู่ฉู่รอให้พ่อบ้านเอาป้ายแขวน “ไม่แก่งแย่งชิงดี” ลงมาแล้ว จึงได้จ้องมองไปที่ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉู่แล้วกล่าว ข้าอยู่ข้างนอก ได้ยินข่าวลือที่ชั่วร้าย
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉู่ได้ยินคำพูดนี้ ในใจก็สั่นไปหลายที แต่ก็ได้ควบคุมความรู้สึกเอาไว้ ต่อให้ท่านพ่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่มันก็ไม่ได้ทำร้ายชื่อเสียงของท่านพ่อแม้แต่นิดเดียว ข่าวลือล้วนพุ่งเป้าไปสู่แม่นมสี่
อีกอย่าง ข่าวลือพวกนี้ ใครจะไปรู้ว่าใครเป็นคนปล่อย? ยังไงก็ไม่มีทางสาวถึงตัวนาง
ต่อให้สาวถึง นางแต่งเข้ามาในตระกูลฉู่มานานหลายปี ดูแลงานบ้าน ปรนนิบัติแม่สามีมาหลายปี ช่วยตระกูลฉู่แตกกิ่งก้านสาขา ท่านพ่อคงไม่เพราะขี้ข้าคนหนึ่งแล้วจะทำอะไรนาง
ดังนั้น หลังจากที่ตกใจแล้ว ก็ตั้งสติได้ทันที
บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 293 กลับจวนถามหาความผิด
Posted by ? Views, Released on September 28, 2021
, บัลลังก์หมอยากเซียน
ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง"หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: "ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น"อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: "เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่" หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: "ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ"
Recommended Series
Comment
Facebook Comment