บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 434 เจ้าไม่เคยครุ่นคิดหรือ

ทางด้านอ๋องฉี หยวนหย่งอี้กับฮองเฮายังคงเฝ้าอยู่ อะซี่ก็อยู่
เจ้าอาวาสถูกเชิญไปดื่มชาแล้ว หมอหลวงหลายคนเฝ้าอยู่ด้านข้าง
“พี่หยวน เขาจะฟื้นขึ้นมาไหม?” หยวนหย่งอี้ร้องไห้จนตาบวม ดึงมือหยวนชิงหลิงไว้แล้วถามขึ้น
ฮองเฮาได้ยินเช่นนี้ ก็หันหน้ามา จ้องมองดูหยวนชิงหลิง
หยวนชิงหลิงฝืนยิ้มพร้อมพูดปลอบว่า “คนดีฟ้าคุ้มครอง ไม่เป็นไร”
ประโยคนี้ เป็นคำพูดปลอบใจที่ธรรมดามาก แต่เป็นเพราะหยวนชิงหลิงพูดออกมา หยวนหย่งอี้รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“ฮองเฮา ท่านไปพักก่อนเถอะ” หยวนชิงหลิงเห็นนางนั่งอยู่อย่างโอนเอน ดูแล้วเหมือนจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ จึงพูดขึ้น
ฮองเฮาโบกมือ มองดูลูกชายที่รูปลักษณ์งดงามแต่ร่างกายทรุดโทรม ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ล่ะ เฝ้าเขาไว้ดีล่ะ”
สองวันติดต่อกัน ผ่านชีวิตความเป็นความตายของลูกชาย ฮองเฮาถือได้ว่าปลงแล้ว
ต่อให้ตำแหน่งฮ่องเต้ดีแค่ไหน หากไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?
ดังนั้น นางจึงมีท่าทีต่อหยวนชิงหลิงแบบคิดใหม่ อย่างน้อย กับเจ้าแปดแล้วครั้งนี้ นางก็มาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แม้กระทั่งยังถูกนักฆ่าลอบทำร้าย
นางพูดกับหยวนชิงหลิงว่า “มีหมอหลวงเฝ้าอยู่ที่นี่ เจ้ากลับไปพักเถอะ ร่างกายเจ้าตอนนี้ก็ไม่สะดวก”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าตอนนี้เฝ้าอยู่ก็ไม่มีประโยชน์ เขาจะไม่เป็นขึ้นมาเร็วขนาดนั้น เพราะใช้ยาชาทั่วทั้งร่างกายให้กับเขา
ออกไปแล้ว นางคิดว่ากลับไปก็นอนไม่หลับ เจ้าห้าก็ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ กลับไปสงบจิตใจแล้วทำให้คิดถึงภาพสะอิดสะเอียนนั่น สู้ไปหาพูดคุยกับเจ้าอาวาสคนรุ่นหลังยังจะดีกว่า
เจ้าอาวาสยังดูแข็งแรง เด็กเฒ่าคนนี้ ร่างกายผ่ายผอม ดูมีเมตตา แลดูคล้ายจางซานเฟิง
“สีหน้าผู้อาวุโสดูไม่ค่อยดีเลย” เจ้าอาวาสลุกขึ้นมา พนมมือไหว้หยวนชิงหลิง เห็นอะซี่ตะลึง เขาจึงยิ้มพร้อมพูดกับอะซี่ว่า “แม่นาง เจ้ากลับไปเถอะ คิดว่าพระชายาคงมีธุระจะคุยกับอาตมา”
อะซี่อ้อขึ้นมา มองดูหยวนชิงหลิงอย่างแปลกใจ เมื่อกี้ไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม? เจ้าอาวาสเรียกพระชายาว่าผู้อาวุโส?
หยวนชิงหลิงเคยส่งจดหมายให้กับเจ้าอาวาส แต่เจ้าอาวาสไม่ได้ตอบเลยสักครั้ง ตอนนี้จะได้ถามดู
ภายในห้องจุดธูปหอมไว้ เงียบสงบจิตสงบใจ หยวนชิงหลิงนั่งอยู่กับเขา ในใจค่อยโล่งอก
ความรู้สึกแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะความผูกพันของคนบ้านเดียวกัน
ถึงแม้ ระหว่างพวกเขาจะห่างกันสองสามร้อยปี
หยวนชิงหลิงถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เมื่อกี้เจ้าบอกว่ายาของข้าล้าสมัย ไม่รู้ว่าสมัยของพวกเขา การแพทย์พัฒนากลายเป็นอย่างไร? สามารถรักษามะเร็งได้หรือไม่?”
“รักษาได้แล้ว การพัฒนาทางการแพทย์ในอนาคตเป็นไปอย่างรวดเร็ว”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า “สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ งั้นก็ดี งั้นก็ดี”
ดีสำหรับคนที่เป็นหมอ ดีสำหรับคนที่วิจัยและพัฒนาทางการแพทย์ นี่ถือเป็นข่าวที่น่าตื่นเต้นจริงๆ
วกเข้าหาประเด็น พร้อมพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ที่ส่งจดหมายไปหาเจ้าอาวาส ว่าเมื่อถึงตอนที่ข้าคลอด เจ้าอาวาสจะสามารถมาช่วยค่าผ่าท้องได้ไหม? หากเจ้าอาวาสยินยอม เมื่อถึงตอนก่อนใกล้คลอดข้าจะหาเหตุผลเชิญเจ้าอาวาสมาขอพร เรียนเชิญเจ้าอาวาสมาที่จวน”
เจ้าอาวาสถามขึ้นว่า “การผ่าท้องคลอด เจ้าคิดว่าสามารถกระทำได้ภายในห้องหนึ่งในจวนอย่างง่ายดายหรือ?”
“ข้าจะสร้างห้องผ่าตัดอย่างมิดชิดขึ้นมาก่อนล่วงหน้า เว้นวันทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ พวกมีดผ่าตัด ก็จะทำการฆ่าเชื้อด้วย”
เจ้าอาวาสพูดขึ้นว่า “อันที่จริงนี้ไม่สามารถรับประกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อ”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จะกระทำได้อย่างพิถีพิถันเข้มงวดขนาดนั้น ทำได้เพียงทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ที่สุด”
เจ้าอาวาสพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ ในเมื่อผู้อาวุโสขอร้องอาตมา อาตมาต้องช่วยอยู่แล้ว”
“เรื่องนี้ข้าจะสั่งคนให้เก็บเป็นความลับ คนที่สามารถเข้าไปในห้องผ่าตัดได้ ล้วนเป็นคนที่ข้าไว้ใจ เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นข่าวออกไปแล้วทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเสื่อมเสีย”
ยังไงเจ้าก็เป็นเจ้าอาวาสวัดฮู่กว๋อ เท่ากับเป็นราชครู หากมีใครรู้เข้าว่าเขาช่วยผู้หญิงทำคลอด จะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
เจ้าอาวาสกลับหัวเราะขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “จะมีอะไร? ทำคลอด เป็นการโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์โดยทั่วกัน ข้าพระพุทธเจ้าสนับสนุน”
หยวนชิงหลิงฟังเช่นนี้แล้ว ค่อยโล่งใจ
“แต่เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ คิดว่าก่อนหลังที่ข้าจะทำคลอด จะมีคนไม่น้อยจับตาดูข้าอยู่ เจ้าคืออาวุธลับสุดท้ายของข้า นอกจากเจ้ากับข้าแล้ว ข้าจะไม่พูดกับบุคคลที่สาม ส่วนทางด้านท่านอ๋อง ข้าก็จะเก็บเป็นความลับก่อน”
ไม่ได้กลัวว่าเจ้าห้าจะพูดออกไป เพียงแต่ เจ้าห้าคนนี้มีความคิดดื้อรั้นและอนุรักษนิยม หากให้เขารู้ ว่าจะให้ชายชราคนหนึ่งทำคลอดให้กับตนเอง จะต้องรับไม่ได้แน่
ที่สำคัญที่สุดคือ การผ่าท้องไม่เคยมีในที่นี้ เจ้าห้าจะคิดว่าเป็นอันตรายอย่างมาก ไม่ยินยอมอย่างแน่นอน
เมื่อถึงตอนนั้น สถานการณ์กระชั้นชิด เขาไม่ยินยอมก็ต้องยินยอม
เมื่อพูดเรื่องสำคัญเสร็จแล้ว หยวนชิงหลิงก็คุยเรื่อยเปื่อยกับเขาอยู่พักหนึ่ง
เจ้าอาวาสถามขึ้นมาในทันใดว่า “ผู้อาวุโส เจ้ารู้สึกว่าเจ้ามีความสามารถอะไรไหม?”
หยวนชิงหลิงมองมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ความสามารถ? ซักผ้าทำกับข้าวหรือ?”
เจ้าอาวาสหัวเราะ มองดูนางด้วยแววตาอ่อนโยนพร้อมพูดขึ้นว่า “อย่างเช่น ดึงสิ่งของจากอากาศได้”
หยวนชิงหลิงหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไม่ใช่เทพเทวดา”
ทันใดนั้น ก็หัวเราะพร้อมพูดประชดว่า “หรือว่าเจ้าเป็น?”
เจ้าอาวาสค่อยๆยื่นมือออกมา หยวนชิงหลิงเห็นแก้วบนโต๊ะของตนเองค่อยๆลอยขึ้นมาในทันใด แล้วก็เคลื่อนไหวอย่างราบรื่นอีกครั้ง สุดท้ายหล่นมาบนมือเจ้าอาวาสอย่างมั่นคง
หยวนชิงหลิงตกใจจนแทบตกลงพื้น มองดูเขาอย่างตะลึงงัน พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่….เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“จิตของคน ที่จริงก็เป็นกำลังอย่างหนึ่ง เจ้าเพียงแค่ต้องแข็งกล้าจนสามารถควบคุมจิตของตนเองได้ ทุกอย่างก็จะสมความปรารถนา” เจ้าอาวาสยิ้มพูด แล้วค่อยๆเอาแก้วน้ำส่งกลับไปไว้ตรงหน้าของนาง จากนั้น แก้วน้ำก็ลอยอยู่ในอากาศตรงหน้าหยวนชิงหลิง อย่างไม่สอดคล้องกับหลักการทางกายภาพ
“โอ้พระเจ้า นี่ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ” หยวนชิงหลิงตกตะลึง
“ผู้อาวุโสศึกษาพัฒนาการของสมอง ไม่มีเหตุผลที่จะต้องตกตะลึง นี่ไม่ใช่การคาดเดาความสามารถของสมองหลังการพัฒนาของเจ้าหรือ? ข้าเคยอ่านงานวิจัยที่เจ้าเขียน เจ้าบอกว่าเพียงแค่สมองพัฒนาไปถึงร้อยละสามสิบ ก็จะสามารถใช้จิตควบคุมทุกสิ่งอย่างได้ หรือว่าผู้อาวุโสจะลบล้างข้อโต้แย้งของตนเอง?” เจ้าอาวาสแลดูค่อนข้างผิดหวัง
หยวนชิงหลิงส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไม่ได้คิดเช่นนี้ เพียงแต่…..ตั้งสมมติฐานไว้อย่างนั้น แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ ที่ประสบความสำเร็จที่สุด คือการทำให้ลิงในห้องทดลองฉลาดขึ้น รู้จักหนีออกไปจากห้องทดลอง สามารถไขรหัสล็อกประตูแล้วก็หนีออกไป สุดท้ายถูกรถชนตาย”
เจ้าอาวาสส่ายหัว “ไม่ สิ่งที่เจ้าประสบความสำเร็จที่สุดไม่ใช่ลิง แต่คือตัวเจ้าเอง เจ้าดูสิว่าเจ้าอยู่ในมิติพื้นที่ไหน? เจ้าดูสิว่าเจ้าเป็นใคร? ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้? ผู้อาวุโส เจ้าไม่เคยครุ่นคิดถึงปัญหาพวกนี้หรือ? เจ้าทอดทิ้งงานวิจัยของตนเอง เจ้าทำให้ข้าเทิดทูนเจ้าโดยเปล่าประโยชน์”
สีหน้าหยวนชิงหลิงแผดร้อนขึ้นมาทันที รู้สึกผิด ถึงขั้นค่อนข้างกระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุข
ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ดิ้นรนเอาชีวิตรอดในทุกๆวัน ยังจำหัวข้อวิจัยของตนเองได้ที่ไหน?
ที่จริง นางพูดอยู่ตลอดว่าไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา แต่ในจิตใต้สำนึก นางยังคงถือว่าการข้ามภพของนาง เกี่ยวข้องกับทฤษฎีวิญญาณ
นางยังคิดว่า ตนเองเป็นการที่วิญญาณข้ามภพมา

บัลลังก์หมอยากเซียน

บัลลังก์หมอยากเซียน

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง"หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: "ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น"อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: "เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่" หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: "ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ"

Comment

Options

not work with dark mode
Reset