บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 482 ใจอ่อน

นางโจวเห็นเขาลืมตาขึ้น ก็ตกใจถอยหลัง จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างค่อนข้างน้อยใจว่า “นี่เจ้าเห็นผีหรือ? เหลือกตาโตขนาดนี้ คนไม่รู้ยังจะคิดว่าเป็นศพกระตุกเสียอีก”
เจ้าพระยาจิ้งได้ยินเช่นนี้แล้ว ก็ตะโกนใส่นางว่า “เจ้าหุบปาก ปากสุนัขย่อมคายงาช้างออกมาไม่ได้จริงๆ ศพกระตุกอะไร? ข้าตายแล้วหรือ?”
นางโจวถูกเขาตะคอกใส่จนอึ้ง เห็นช่วงนี้เขาโมโหรุนแรงมาก จึงไม่กล้าทำให้เขาโกรธอีก ยกซุปแก้เมามาให้ พร้อมพูดขึ้นว่า “ดื่มซุปแก้เมาก่อน”
เจ้าพระยาจิ้งคอแห้งอย่างมาก รับมาดื่มจนหมด พร้อมถามขึ้นว่า “วันนี้ท่านแม่ทานข้าวหรือยัง?”
นางโจวเม้นปาก พร้อมพูดขึ้นว่า “ใครจะไปรู้?ฮูหยินดูแลอยู่”
เจ้าพระยาจิ้งปัดผ้าห่มจะลงจากเตียง นางโจวรั้งเขาไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่ท่านจะทำอะไร? ดึกขนาดนี้แล้ว หากท่านจะไปก็ไปพรุ่งนี้เถอะ ฮูหยินใหญ่คงนอนลงแล้ว”
เจ้าพระยาจิ้งเดินโซเซออกจากประตูไป ปากก็บ่นด่าว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร คนที่เป็นโรคลม นอนหลับแบ่งเวลาด้วยหรือ? กลางวันนอนเยอะ กลางคืนก็จะตื่นอยู่”
นางโจวพูดขึ้นอย่างโศกเศร้าว่า “ปกติก็ไม่เห็นกตัญญูขนาดนี้ ไม่รู้ว่าไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า ตอนนี้ถึงคิดอยากที่จะตอบแทน ไม่ใช่เจ้าหรือที่ทำให้ฮูหยินใหญ่โกรธ?”
เจ้าพระยาจิ้งหันกลับมา พูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หากเจ้ายังพูดไปเรื่อยอีก ข้าจะฆ่าเจ้า”
นางโจวเห็นท่าทีเขาเหมือนกับจะฆ่าคน ก็ตกใจตกตะลึงเงียบทันที
ฮูหยินใหญ่ตื่นอยู่จริงๆ หมอหลวงเฉาฝังเข็มให้เขา เพื่อให้เลือดไหลเวียนสะดวก อาการค่อนข้างดีขึ้น แต่ยังคงไม่สามารถพูดได้
เจ้าพระยาจิ้งเดินโซเซไปที่ข้างเตียง กลิ่นเหล้าในร่างกายยังไม่จางหาย ฟุ้งกระจายใส่ฮูหยินใหญ่
เจ้าพระยาจิ้งนั่งลงด้านข้างเตียง มองเห็นฮูหยินใหญ่เหลือกตาโต เขาตกใจจนตัวหด ตกลงมา
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านตื่นแล้วหรือ?”เขาค่อยๆปืนขึ้นมา นั่งลงอย่างเรียบร้อย ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
ฮูหยินใหญ่มองดูเขา ตั้งแต่เป็นโรคลม นางพูดไม่ได้ ในหัวสมองคิดถึงภาพเรื่องราวในวัยเด็กของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กชายตัวน้อยที่เดินโซเซมายื่นมือเรียกว่าท่านแม่ ตอนนี้กลับเติบโตขึ้นมากลายเป็นคนที่น่ารังเกียจ
เลือดแห่งความโกรธพุ่งขึ้นมา นางบีบคำพูดออกมาจากปากว่า “สามารถ…ทำตัวให้เป็นคนหน่อยได้ไหม?”
เจ้าพระยาจิ้งสะลึมสะลือ เมื่อได้ยินประโยคนี้แล้ว เขาเหมือนโดนฟ้าผ่า นิ่งอึ้งไปสักพัก ทันใดนั้นแล้วก็โอบกอดฮูหยินใหญ่ ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
ฮูหยินใหญ่ถอนหายใจ อ้าปากกว้าง น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง
นางเหนื่อยอย่างมากแล้ว กลั้นลมหายใจสุดท้ายไว้ ไม่ยอมตาย ก็เพื่อลูกเวรคนนี้
ซุนมามาเข้ามา มองเห็นทั้งสองแม่ลูกต่างก็กำลังร้องไห้ นางก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล รีบปิดประตูแล้วก็ออกไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าพระยาจิ้งไปยังจวนอ๋องอาน
เขามองดูอ๋องอาน รวบรวมความกล้าครั้งแรก พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ท่านอ๋อง เรื่องที่ท่านสั่งเมื่อวาน ข้ากลับไปคิดดูแล้ว คิดว่าข้าทำไม่ได้ ขอท่านอ๋องให้อภัย”
อ๋องอานหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “อ๋อ? เช่นนี้ เจ้าพระยาจิ้งไม่อยากกลับมารับราชการอีกแล้วใช่ไหม?”
เจ้าพระยาจิ้งพูดขึ้นว่า “แม้แต่ฝันยังอยาก แต่ข้าขี้ขลาดมาครึ่งชีวิต ไม่มีความสามารถที่จะรับใช้ราชสำนัก ขอบคุณในความหวังดีของท่านอ๋อง”
เขายกมือประสาน พร้อมพูดขึ้นว่า “ขอลา”
อ๋องอานมองดูเขาหันตัว ดวงตาก็มืดมัวลงในทันใด พร้อมพูดขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้าพระยาจิ้ง มีคนฝากให้ข้าบอกกับเจ้าพระยาจิ้งประโยคหนึ่ง”
เจ้าพระยาจิ้งตะลึงอย่างคาดไม่ถึง หันกลับมามองดูอ๋องอาน พร้อมพูดขึ้นว่า “ใคร? พูดว่าอย่างไร?”
อ๋องอานหรี่ตาลง พร้อมพูดขึ้นว่า “ฮูหยินซ่าง นางให้ข้าถามเจ้าพระยาว่า ทำไมนานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ไปหานาง”
เลือดบนใบหน้าเจ้าพระยาจิ้งจางซีดลงทันใด ขาทั้งคู่อ่อนลง ฟุบล้มลงพื้นทันที ตัวสั่นเทาเหมือนเขย่าตะแกรง
อ๋องอานนั่งลง มองดูเขาอย่างหยิ่งผยอง พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าพระยา คนที่ไม่คิดอ่านกระทำการใดย่อมประสบหายนะ ครึ่งชีวิตของเจ้าที่ผ่านมาไม่เคยเห็นแก่ความสัมพันธ์ในสายเลือด เพื่อตำแหน่งหน้าที่การงานอนาคต เสียสละทั้งหมดที่มี ตอนนี้ มีโอกาสอยู่ตรงหน้า เจ้าจะยอมทิ้งจริงๆหรือ? เจ้าปกป้องพระชายารัชทายาทขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า นางจะยังปกป้องเจ้าเช่นนี้ไหม?”
เจ้าพระยาจิ้งคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างกายยังสั่นเทา แทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“ท่านอ๋อง ท่านได้มาได้อย่างไร?”เขาถามขึ้นด้วยเสียงสั่น
เขาคิดเองว่า ตนเองปิดบังไว้ได้เป็นอย่างดี และฮูหยินซ่างไม่มีทางพูดกับคนอื่นแน่ อ๋องอานรู้ได้อย่างไร?
อ๋องอานหัวเราะเย้ย พร้อมพูดขึ้นว่า “เรื่องชั่วที่เคยทำไว้ ยังไงก็ปรากฏขึ้นในสักวัน ไม่เพียงฮูหยินซ่าง เรื่องทั้งหมดของเจ้าพระยา ข้าล้วนรู้ทั้งหมด ตอนนี้เจ้าพระยามีเพียงสองทางเลือก อย่างแรกก็คือทำตามแผนเมื่อวาน อย่างที่สองก็คือ ข้าป่าวประกาศให้ทุกคนรู้เรื่องนี้ เจ้าพระยาเลือกเอง”
เจ้าพระยาจิ้งคุกเข่าไปขอร้องว่า “ไม่ ท่านอ๋อง ทุกอย่างสามารถคุยกันได้ ขอท่านอ๋องต้องรักษาไว้เป็นความลับ”
“งั้นก็ไปทำตามที่ข้าบอก”อ๋องอานพูดขึ้นอย่างเย็นชา
เจ้าพระยาจิ้งพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่เป็นสุขว่า “ท่านอ๋อง หากเรื่องนี้ถูกพูดออกไป นั่นคือโทษประหาร ท่านอ๋อง ข้าไม่กล้า ข้าท่านอ๋องปล่อยข้าไปเถอะ นอกจากเรื่องนี้ ท่านอ๋องให้ข้าทำอะไรก็ได้”
อ๋องอานมองดูเขาอย่างโอหัง พร้อมพูดขึ้นอย่างไม่โกรธเคืองว่า “เสียดายเจ้าพระยาจิ้งไม่มีความสามารถ ไม่สามารถช่วยงานอย่างอื่นให้ข้าได้ เรื่องนี้หากถูกจับได้โทษถึงตายจริง แต่ข้าไม่มีทางที่จะให้เจ้าถูกจับได้แน่ เจ้าถูกจับได้ เท่ากับข้าก็ถูกจับได้เช่นกัน ข้าไม่ห่วงชีวิตของตนเองหรือ? อีกอย่าง เรื่องของเจ้ากับฮูหยินซ่างหากถูกเปิดเผย โทษไม่ถึงตาย? ยังจะสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น”
ประโยคสุดท้าย เป็นการข่มขู่อย่างร้ายแรง
ถึงแม้เจ้าพระยาจิ้งจะเลอะเลือน แต่ก็รู้ว่าคนตรงหน้าคนนี้คือเสือร้าย ขอร้องเขาไม่ได้เลยสักนิด
เพียงแต่เขาไม่เข้าใจ ทำไมอ๋องอานจะต้องวางแผนหลอกลวงเขา? ทำไมจะต้องจ้องจับตาดูเขา?
“เจ้าพระยาลองคิดดูแล้วเป็นอย่างไร? ด้านหนึ่งคือความมั่งคั่ง ด้านหนึ่งคือเหวลึก เจ้าพระยายังจะครุ่นคิดต่อไหม?”อ๋องอานพูดเร่งเร้าอย่างเย็นชา
เจ้าพระยาจิ้งเข่าอ่อนนั่งลงบนพื้น แววตาหมดหวัง เขายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?
เขาไปจากจวนอ๋องอานด้วยแขนขาเย็นเฉียบ ในใจกระวนกระวายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หลังจากหยู่เหวินเห้าถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์ชายรัชทายาท ตามหลักแล้วคือจะต้องย้ายเข้าไปอยู่ในตำหนักบูรพาตงกง
แต่หยู่เหวินเห้าอ้างว่าหยวนชิงหลิงเพิ่งคลอด ไม่สะดวกที่จะย้าย จึงขออาศัยอยู่ในจวนอ๋องฉู่ไปก่อน
หยวนชิงหลิงไม่ยินยอมที่จะไปอยู่ตำหนักบูรพาตงกง อาศัยอยู่ในวัง ประตูใหญ่ที่ใช้เดินทางเข้าออกก็คือประตูวัง ไม่สะดวกอย่างยิ่ง ต่อไปนางจะเปิดโรงเรียนแพทย์ จะเข้าออกวังได้ตามอำเภอใจแบบนี้ไม่ได้
ดังนั้น ตอนนี้นางก็กำลังคิดหนักหลังจากครบเดือนแล้ว จะพูดกับในวังอย่างไรว่าพวกเขายังคงอยากที่จะอยู่ในจวนอ๋องฉู่ต่อ
หลังจากที่นางพูดเรื่องที่นางไม่สบายใจให้กับหยู่เหวินเห้าฟัง หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “งั้นไม่ง่ายหรือ ให้เจ้าอาวาสไปบอกกับเสด็จพ่อว่า รูปทั้งสามคนของเราเกิดภายในวัด สถานที่เกิดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเด็ก จะต้องอาศัยอยู่ในจวนจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะถึงจะสามารถย้ายออกไปได้ เสด็จพ่อกับเสด็จปู่ต่างก็เชื่อฟังคำพูดของเจ้าอาวาส ใช้ให้เขาไปพูดเหลวไหลเลย”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำว่าเหลวไหลสองคำ ก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี แต่ว่าเมื่อคิดดูดีๆแล้ว ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี
หากไม่เข้าไปอยู่ในตำหนักบูรพาตงกง งั้นงานเลี้ยงครบเดือนของเด็กๆ ก็จะต้องจัดจวนอ๋องฉู่แล้ว
งานเลี้ยงครบเดือน สิ่งที่จะต้องเตรียมมีเยอะมาก แม่นมฉีไปที่สำนักนางชีหมิงเยว่ แม่นมสี่กับทังหยางพาคนในจวนทำงานยุ่งกันจนสี่ขาชี้ฟ้า

บัลลังก์หมอยากเซียน

บัลลังก์หมอยากเซียน

ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง"หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: "ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น"อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: "เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่" หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: "ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ"

Comment

Options

not work with dark mode
Reset