ทำไมเสียนเฟยจะไม่รู้ว่าไทเฮาทรงมีเจตนาเช่นไร ? ตอนที่นางรู้เรื่องนี้ ในใจของนางก็เย็นเฉียบไปหมด จากนั้นก็แสดงความโกรธแค้นและความน้อยเนื้อต่ำใจสุดขีด ไปหยิบกรรไกรขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่งแล้วเอามาจ่อคอตัวเอง ทำเอาคนในวังตกใจจนกรีดร้องเสียงดังเอะอะวุ่นวาย รีบพูดเกลี้ยกล่อมกันจ้าละหวั่น
กรรไกรแทงทะลุเนื้อ ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมา เสียนเฟยร้องไห้พลางตะโกนสั่งเสียงดัง “ไปทูลเชิญฝ่าบาทมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นวันนี้ข้าจะตายลงตรงนี้ให้ดู”
คนในวังทำได้เพียงต้องรีบไปที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อทูลเชิญฮ่องเต้ให้เสด็จมา
เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ วันนี้จึงเริ่มเป็นวันพักผ่อน ฮ่องเต้หมิงหยวนจึงตรวจฎีกาที่เหลืออยู่ในห้องทรงพระอักษร ได้ยินว่าเสียนเฟยถือกรรไกรพลางกู่ก้องร้องตะโกนว่าจะฆ่าตัวตาย ฮ่องเต้หมิงหยวนเพียงเงยพระพักตร์ ไม่มีท่าทีโกรธกริ้ว ตรัสว่า “ฮองเฮาเป็นผู้ดูแลหกตำหนัก เสียนเฟยร่ำร้องว่าอยากจะฆ่าตัวตาย เช่นนั้นก็ไปรายงานฮองเฮาเถอะ ให้ฮองเฮาส่งกริชที่คม ๆ สักเล่มไปให้นาง แทงดาบเดียวให้ตายไปเร็ว ๆ จะได้ไม่ต้องทรมาน”
นางข้าหลวงในวังผู้นั้นถึงกับตกตะลึง ตัวแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูก
ฮ่องเต้หมิงหยวนตบโต๊ะ ตรัสอย่างโกรธเคืองว่า “กล้าขัดคำสั่งข้ารึ? ยังไม่รีบไปอีก?”
นางข้าหลวงผู้นั้นตกใจจนตัวสั่นสะท้าน รีบโขกหัวคำนับแล้วออกไปทันที
ด้วยพระราชโองการอันน่าสยดสยองนี้ นางข้าหลวงก็ไปรายงานที่ตำหนักของฮองเฮา
ฮองเฮาฉู่ได้ฟังรายงานจากนางข้าหลวง ก็เอียงศีรษะ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยว่า “เมื่อคืนนี้ข้านอนฝันร้าย ตื่นขึ้นมาก็ปวดหัวไม่หาย เกรงว่าข้าคงจะจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ เจ้าไปหากุ้ยเฟยเถอะ ข้ามอบอำนาจสิทธิ์ในการดูแลหกตำหนักให้กับกุ้ยเฟย ให้นางเลือกกริชเล่มที่คม ๆ สักหน่อยส่งไปแล้วกัน”
แน่นอนว่าฮองเฮาฉู่ย่อมไม่ใช่คนโง่ นั่นเป็นเพียงคำพูดที่ฝ่าบาทตรัสเพราะความโกรธเคืองเท่านั้น ถ้าส่งกริชไปจริง ๆ แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเสียนเฟย นางจะไม่โดนความผิดฐานฆ่าแม่แท้ ๆ ของรัชทายาทหรอกหรือ?
นางข้าหลวงจนใจ ได้แต่นำพระราชโองการนั้นไปรายงานกุ้ยเฟยต่อ กุ้ยเฟยเห็นว่านางข้าหลวงมีท่าทีเหมือนใกล้จะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว จึงกรีดกรายนิ้วที่เคลือบย้อมด้วยยาทาเล็บสีสดขึ้นมามองนิ่ง ๆ พลางพูดว่า “เจ้าโง่หรือ? ยังไม่รีบกลับไปกล่อมเสียนเฟยอีก ?” บอกนางไปว่าฝ่าบาทยุ่งอยู่ ไม่ว่างเสด็จไปหา บอกนางด้วยว่าอย่าก่อปัญหาอีก”
นางข้าหลวงคิดในใจว่า ถ้านางพูดอย่างนั้นออกไป เกรงว่าเสียนเฟยจะฆ่าตัวตายขึ้นมาจริง ๆ เสียมากกว่า
กุ้ยเฟยเลิกคิ้ว “ยังไม่รีบไปอีก ? ข้าก็กำลังยุ่งอยู่เหมือนกันนะ”
นางข้าหลวงโขกศีรษะแล้วรีบออกไปทันที
กุ้ยเฟยแค่นหัวเราะเย็นชา ก่อปัญหาต่อไปเถอะ ก่อให้มันใหญ่โตบานปลายได้ยิ่งดี ไทเฮาโกรธมากจนเกินจะรับไหวแล้ว หากโกรธจนเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นมาล่ะก็ ฝ่าบาทจะยังทรงละเว้นนางได้อีกหรือ?
เมื่อเสียนเฟยได้ยินว่าฮ่องเต้ไม่เสด็จมา ก็ทั้งโศกเศร้าทั้งโกรธเกรี้ยว เกิดบันดาลโทสะจนแทงกรรไกรเข้าเนื้อไปอีกครั้ง แต่ความเจ็บปวดนั้นชัดเจนมากจนนางไม่กล้าลงมือต่อ เกิดเสียงดัง “เคร้ง” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง กรรไกรในมือนางก็หล่นลงไปบนพื้น นางทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น แล้วร้องไห้ออกมาอย่างน่าสังเวช
หลังร้องไห้เสร็จ ก็อาละวาดขว้างปาข้าวของในตำหนักของตัวเองต่ออีกยก เพราะนางถูกสั่งกักบริเวณไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก จึงทำได้แค่ทุบทำลายข้าวของในตำหนักของตัวเอง ไม่มีใครสนใจนางทั้งสิ้น
ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงมีรับสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดไปทูลเรื่องนี้กับไทเฮาเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไทเฮาพิโรธจนเกิดประชวรขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเสียนเฟยจะก่อเรื่องอาละวาดแค่ไหน ก็ไม่มีใครสนใจนางแล้ว
อีกด้านหนึ่ง หยู่เหวินเห้าสามีภรรยา กับอ๋องฉีสามีภรรยานั่งรถม้าออกจากเมืองมุ่งไปยังซีโจวซีโจวเป็นอำเภอที่อยู่ติดทะเล อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปประมาณร้อยลี้ อันที่จริง การเดินทางไปกลับในสามวัน ค่อนข้างเป็นอะไรที่เร่งรีบไปหน่อย ดังนั้น ตลอดการเดินทางจึงเป็นไปอย่างเร่งรีบ ต้องหวดแส้เพื่อขับม้าทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว รถก็โคลงเคลงสั่นไหวจนไม่เหมือนมีไว้ให้คนนั่งแล้วด้วยซ้ำ
ออกมาครั้งนี้ ยังได้พาหมันเอ๋อกับอาซี่มาด้วย มีสวีอีทำหน้าที่ขับรถ
อ๋องฉีสามีภรรยา ก็พาคนรับใช้มาด้วยเช่นกัน นอกเหนือจากคนขับรถ ก็คือคนที่มีหน้าที่ดูแลรับใช้ทั่วไป ดังนั้น ในการเดินทางครั้งนี้จึงมีคนราว ๆ แปดถึงเก้าคน แบ่งกันนั่งรถม้าทั้งหมดสามคัน
เดิมทีอ๋องฉีคิดว่า หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าหนึ่งคัน เขากับหยวนหย่งอี้หนึ่งคัน ส่วนที่เหลือก็ไปอัดอยู่รวมกันหนึ่งคัน
แต่อาซี่ไม่ยอม นางบอกว่าจะอยู่กับพี่สาว หลังจากการจัดสรรคนเพื่อโดยสารรถม้าเสร็จสิ้น ก็จัดให้หยู่เหวินเห้ากับอ๋องฉีนั่งคันหนึ่ง อาซี่ หยวนหย่งอี้ และหยวนชิงหลิงซึ่งเป็นผู้หญิงสามคนนั่งคันหนึ่ง
เมื่อนึกถึงจุดนี้ หยู่เหวินเห้าก็แทบอยากจะใช้ค้อนทุบอ๋องฉีให้ตายไปเสียให้พ้น ๆ ขณะที่รถม้ากำลังห้อตะบึงเต็มที่ หยู่เหวินเห้าก็ด่าประณามเขาอย่างเจ็บแสบว่า “กว่าข้าจะมีโอกาสพาพี่สะใภ้เจ้าออกมาเที่ยวเล่นได้ก็ลำบากแทบแย่ เจ้าจะตามมารนหาที่ตายหรือไร? พวกเจ้าไม่มีปัญญาเลือกสถานที่เองรึ? นั่งรถม้าไปกลับรวมแล้วต้องใช้เวลากว่าสิบชั่วยาม กลายเป็นว่าข้าต้องมานั่งจ้องหน้าเหม็น ๆ ของเจ้าไปเสียได้”
เมื่อเห็นว่าเขาโกรธจนเดือดปุด ๆ อ๋องฉีก็ไม่กล้าโต้เถียงอะไรมาก แค่พึมพำกับตัวเองเบา ๆ ว่า “ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะจัดที่นั่งแบบนี้ ? เขาแค่อยากจะออกไปเที่ยวกับนาง ได้นั่งรถม้าคันเดียวกัน รถม้าพื้นที่แคบ ๆ พอเดินทางรถโคลงเคลงไปมา อย่างไรก็ต้องตัวเบียดแนบจนติดกันเป็นธรรมดา ข้าก็ไม่ได้อยากจะนั่งกับพี่ห้าเสียหน่อย แต่มันมีวิธีอื่นด้วยรึ ? หรือไม่ท่านก็ไปพูดกับพี่สะใภ้ห้าหน่อยดีหรือไม่?”
หยู่เหวินเห้าเปิดม่านขึ้น แล้วมองขึ้นไปข้างหน้า มีเสียงหัวเราะสดใสดังแว่วมาจากรถม้าคันข้างหน้า นางกำลังมีความสุข เขาจะไปขอเปลี่ยนได้อย่างไรกัน?
“ไปพูดกับผีน่ะสิ!” หยู่เหวินเห้าพูดด้วยความโกรธเคือง หยวนชิงหลิงก็เป็นคนประเภทได้เพื่อนลืมผัวคนหนึ่ง พวกผู้หญิงคุยกันสนุกสนานขนาดนี้ จะไปขอเปลี่ยนกลับมาได้อย่างไรล่ะ?
ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเพราะเจ้าเจ็ดหน้าเหม็นคนนี้เป็นเหตุแท้ ๆ!
อ๋องฉีก็รู้สึกหดหู่มากเช่นกัน เขาอุตสาห์คำนวณเรื่องที่ใจปรารถนาไว้อย่างดี ตอนที่เขาทั้งสองอยู่ในรถม้า พื้นที่เล็ก ๆ แคบ ๆ บรรยากาศเป็นใจ จากนั้นก็พูดคำพูดหวานหูที่ทำให้หัวใจอบอุ่นสักหน่อย จากนั้นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ถูกที่ถูกจังหวะ ก็แค่ผลักเรือไปตามน้ำ อะไรที่มันควรจะเกิด มันก็จะเกิดขึ้นมาเอง
ก่อนออกจากบ้าน เขาคิดคำนวณเรื่องดี ๆ เหล่านี้ไว้อย่างสมบูรณ์แบบมาก แต่ตอนนี้…
เขาช้อนตาขึ้นมองใบหน้าที่เหมือนเหม็นอึอย่างรุนแรงของหยู่เหวินเห้า ทั้งคิ้วทั้งตาของเขาแทบจะเบียดมารวมกันเป็นก้อนเดียวกันอยู่แล้ว เหมือนเศษผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งที่ถูกเอาไปเป็นเชื้อจุดไฟที่ร้อนแรงสุดขีด ในใจเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นเรื่อย ๆ จึงเอาหัวไปพาดบนหมอนหนุนในรถ หลับตาลง แล้วนอนหลับไปในสภาพที่รถยังคงสั่นไหวโคลงเคลงไปตลอดทาง
ว่ากันว่าผู้หญิงสามคนสุมหัวคุยกันดังเซ็งแซ่เหมือนอยู่ในตลาด เมื่อหยวนชิงหลิง อาซี่ และหยวนหย่งอี้รวมกลุ่มกัน ต่างคนต่างก็คุยกันถึงเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทั้งสามคนต่างมีความสุขอย่างยิ่ง
อาซี่คุยจนเริ่มเหนื่อยนิดหน่อยแล้ว จึงเอนตัวไปนอนพิงขอบรถด้านหนึ่งเพื่อนอนหลับ จากนั้นหยวนชิงหลิงก็ถามหยวนหย่งอี้ว่า “ตอนนี้เจ้ากับอ๋องฉีเป็นอย่างไรบ้าง ? ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจริง ๆ แล้วใช่หรือไม่?”
รอยยิ้มของหยวนหย่งอี้ค่อย ๆ เลือนหายไป นางถอนหายใจเบา ๆ “ไม่นับว่าอยู่ด้วยกัน อันที่จริงข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกันแน่ ”
“แล้วตัวเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” หยวนชิงหลิงมองเห็นดวงตาที่จู่ ๆ ก็ปรากฎแววเศร้าโศกของนาง เด็กสาวที่ร่าเริงสนุกสนานขนาดนี้ จู่ ๆ ก็ต้องมีเรื่องหนักใจให้เป็นกังวล อันที่จริงไม่จำเป็นต้องถาม ก็พอจะรู้ได้ว่าเพราะนางมีใจห่วงใยอีกฝ่ายแน่นอนแล้ว
หยวนหย่งอี้ก้มหน้าลง ใช้นิ้วมือไปเกา ๆ ที่เล็บของมืออีกข้างหนึ่งเบา ๆ “อันที่จริง การที่ข้าจะคิดอย่างไร มันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเขาคิดอย่างไรด้วย แม้ข้าจะยอมรับได้ที่เขาเคยชอบฉู่หมิงชุ่ย แต่ข้าก็ยอมรับไม่ได้ที่ในใจเขายังมีฉู่หมิงชุ่ย”
“ ดังนั้น แปลว่าเจ้าก็ชอบเขาเหมือนกันหรือ?”
หยวนหย่งอี้หัวเราะ ดวงตาสีเข้มทอประกายวาววับ “ไม่รู้เหมือนว่าชอบหรือไม่ อย่างไรก็ตามในใจก็รู้สึกห่วงหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่เขาได้รับบาดเจ็บ ข้าสังเกตเห็นว่าเขานิสัยใจคอเรียบง่ายมาก เขาเกือบจะตายแล้ว ในใจข้าก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้ กลัวว่าเขาจะตายไปจริง ๆ มีหลายครั้งที่เขาพูดทั้งแบบลับ ๆ และแบบชัดเจนว่าอยากอยู่ร่วมกันกับข้า แต่ข้ารู้ว่าเขายังไม่อาจปล่อยวางเรื่องของฉู่หมิงชุ่ยลงได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น ข้าก็เลยไม่ยอมตกลงรับปากเขา”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร ว่าเขายังไม่ปล่อยวางเรื่องของฉู่หมิงชุ่ยลงอย่างสมบูรณ์?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม
หยวนหย่งอี้เงยหน้าขึ้น พูดอย่างซึม ๆ ว่า “หลังจากที่จวนอ๋องฉีถูกไฟไหม้ เขาเคยกลับไปสองสามครั้ง เพื่อเก็บของนิด ๆ หน่อยๆ หนึ่งในนั้นคือชุดเจ้าบ่าว กับหยกพกชิ้นหนึ่งที่มีตัวอักษรแกะสลักคำว่าฉู่อยู่บนนั้น เขาเก็บรักษาของเหล่านี้ไว้ที่ก้นหีบ ไม่อนุญาตให้ใครแตะต้องเด็ดขาด ถ้าเขาปล่อยวางฉู่หมิงชุ่ยลงได้จริง ๆ เช่นนั้นเขาจะเก็บของเหล่านี้กลับมาทำไมล่ะ? นอกจากนี้ถ้าจะพูดไป เรื่องพวกนั้นที่ฉู่หมิงชุ่ยทำลงไป ช่างทำร้ายคนอื่นสิ้นดี พูดตามตรงเขาควรจะเกลียดนางด้วยซ้ำ แต่เมื่อถึงตอนเคลื่อนศพฉู่หมิงชุ่ย เขากลับไปส่งด้วย หลังจากกลับมาที่จวน ก็โศกเศร้าเสียใจอยู่เป็นนาน ใจของเขาไม่เคยปล่อยวางฉู่หมิงชุ่ยลงได้ แล้วทำไมถึงต้องมาแสดงท่าทีว่ามีใจให้ข้าเอาในเวลานี้ด้วย?”
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่จากไปเสียล่ะ?” จู่ ๆ อาซี่ก็เงยหน้าขึ้น ขยี้ตาแล้วเอ่ยถาม
หยวนหย่งอี้ตกใจจนผงะ “ไม่ใช่ว่าเจ้าหลับไปแล้วหรอกรึ?”