สุดท้ายเป็นอาซี่ที่สั่งอาหารมาเจ็ดแปดอย่าง แต่ตลอดเวลาหลังจากนั้น ไปจนถึงตอนที่อาหารขึ้นโต๊ะ ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรเลยอยู่ดี
เมื่ออาหารขึ้นโต๊ะ หยู่เหวินเห้าก็คีบน่องไก่ชิ้นหนึ่งใส่ลงไปในชามของหยวนชิงหลิง แต่หยวนชิงหลิงคีบมันส่งต่อไปให้สวีอีทันที
สวีอียืดตัวขึ้นอย่างยากลำบาก เหลือบมองไปยังรัชทายาทที่กำลังจ้องมองมาที่เขา ด้วยสายตาที่เหมือนหมาป่าที่พร้อมจะกลายร่างเป็นเสืออย่างไรอย่างนั้น แล้วค่อยเหลือบมองไปทางพระชายารัชทายาทที่มีสีหน้าสงบนิ่งราบเรียบ น่องไก่ชิ้นนี้ ถ้ากินก็ทำให้รัชทายาทขุ่นเคือง ไม่กินก็ทำให้พระชายาขุ่นเคือง แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดีล่ะนี่ ?
เขาวางชามลงอย่างยากจะตัดใจ “กระหม่อม.…ไม่หิว ไม่กินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
นี่มันเวรกรรมอะไรกันล่ะนี่? อาหารที่ช่างอุดมสมบูรณ์ มากมายหลากหลายโต๊ะนี้ ตอนที่ออกมา เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้กินให้เต็มคราบสักมื้อ กลายเป็นว่ายังไม่ได้กินสักคำก็ต้องโยนทิ้งไปเสียได้
หยู่เหวินเห้าไม่อาจทนต่อบรรยากาศอึมครึมอย่างนี้ได้แล้วจริง ๆ จึงกระแทกชามข้าวลง แล้วหันหน้าไปมองหยวนชิงหลิงอย่างโกรธเคือง “เจ้า …. ”
หยวนชิงหลิงตบตะเกียบลงกับโต๊ะดัง”ปัง”เสียงดังสนั่น ช้อนตาขึ้นมอง แสงเย็นยะเยือกคมปลาบปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง “ข้าอะไรรึ?”
หยู่เหวินเห้าหดคอลง ท่วงท่าฮึดฮัดเมื่อครู่พลันอ่อนลงทันควัน “แค่อยากจะถามว่า เจ้าอยากกินอะไร? ข้าจะคีบให้”
“ข้าคีบเองได้” หยวนชิงหลิงพูดอย่างเย็นชา
“โอ้” หยู่เหวินเห้าหยิบตะเกียบขึ้นมา เห็นว่าทุกคนต่างก็มองมาที่เขาเป็นตาเดียว จึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “มองอะไร? กินข้าว!”
ทุกคนรีบก้มหน้าก้มตากินข้าวทันที
หยวนชิงหลิงในใจยังโกรธอยู่ แต่เพราะตอนนี้มีคนเยอะไม่เหมาะที่จะแสดงอาการ จึงพยายามกล่อมตัวเองว่า คนก็ตายไปแล้ว แค่ไปเคารพหลุมศพคนรู้จักครั้งเดียว ไม่นับว่าเป็นอะไรได้
มันเรื่องอะไรที่คนซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้วคนหนึ่งอย่างนาง จะไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนตาย ? ช่างไร้ระดับเหลือเกินแล้ว
ยิ่งคิดแบบนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจ กินไปได้แค่ไม่กี่คำ ก็วางชามวางตะเกียบลงแล้วเดินออกไป
เมื่อเห็นดังนั้น หยู่เหวินเห้าก็วางชามวางตะเกียบลง แล้วไล่ตามออกไปทันที
อ๋องฉีหันไปมองหยวนหย่งอี้ ก็เห็นหยวนหย่งอี้หันหน้าไปอีกทาง เขาจึงถามอาซี่ว่า “พี่สะใภ้ห้าโกรธอะไรหรือ? นางใจคอกว้างขวางมาโดยตลอด แทบจะไม่เคยเห็นนางโกรธเลยด้วยซ้ำ”
อาซี่ปรายตามองไปทางสวีอีซึ่งกลับมานั่งที่โต๊ะอีกครั้ง แล้วกินข้าวอย่างตะกละตะกลาม จากนั้นก็พูดขึ้นช้า ๆ ว่า “เป็นหายนะที่สวีอีก่อไว้”
สวีอีถึงกับสำลัก จนพ่นข้าวที่ยัดเข้าไปจนเต็มปากออกมาทั้งหมด พูดอย่างตกตะลึงว่า “มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยล่ะ? ข้าไปก่อหายนะอะไร? วันนี้ข้าแทบไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”
อาซี่พูดว่า “ก่อนหน้านี้ ตอนที่แม่ทัพใหญ่จิ้งถิงมา เจ้าไม่ได้บอกข้าหรือว่ารัชทายาทพาแม่ทัพใหญ่ไปที่หลุมฝังศพของฉู่หมิงชุ่ยน่ะ?”
ทันทีที่สวีอีได้ยิน คางของเขาก็แทบจะร่วงลงมาแล้ว จากนั้นก็พูดอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าบอกพระชายาไปแล้วรึ? อาซี่ ทำไมเจ้าถึงได้ปากมากเช่นนี้นะ? ข้าเชื่อใจเจ้าถึงได้เล่าให้เจ้าฟังแท้ ๆ เจ้ากลับพูดเรื่องนี้ออกไปง่าย ๆ แบบนี้น่ะรึ?”
อาซี่พูดด้วยความโกรธว่า “ทำไมเจ้าต้องดุขนาดนี้ด้วย? ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจพูดเสียหน่อย”
สวีอีขึ้นเสียงจนคอเป็นเอ็นว่า “ฆาตกรหลายคนก็บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่ามันสามารถพ้นโทษไม่ต้องรับผิดได้หรืออย่างไรเล่า?”
อาซี่ยืนขึ้นแล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าดุอะไรของเจ้านักหนา ข้าก็บอกแล้วว่าพลั้งปากไปเฉย ๆ ถ้ามันเป็นความลับถึงขนาดนั้น เจ้าก็ควรเก็บซ่อนมันไว้ให้มิดชิด ทำอย่างนั้นไม่ว่าใครก็ไม่มีวันรู้แน่ ในเมื่อเจ้าพูดมันออกมา ก็ต้องเตรียมใจยอมรับไว้ด้วยว่ามันมีสิทธิ์ที่จะหลุดออกไปให้คนอื่นรู้ ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าก็ควรจะหุบปากตัวเองให้สนิท อย่าได้พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น!”
ผู้คนในร้านอาหาร ต่างก็มองไปที่นางอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อเห็นว่าอาซี่ที่เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งดุร้ายถึงขนาดนี้ ท่าทีของทุกคนก็เหมือนจะตกใจกันไม่น้อย
อาซี่รู้สึกอับอายจนกลายเป็นโกรธ โยนตะเกียบทิ้งแล้ววิ่งออกไปทันที
แน่นอนว่าหยวนหย่งอี้ต้องไล่ตามอาซี่ไป ภายในร้านอาหาร อ๋องฉีกับสวีอีมองหน้ากันแวบหนึ่ง จึงหันหน้าไปอีกทางด้วยความรู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายสิ้นดี แล้วเดินออกไป
มีเพียงหมันเอ๋อเท่านั้นที่ยังคงกินข้าวต่อไปอย่างสงบ สำหรับนางแล้ว กินให้อิ่มสำคัญกว่าอะไรทั้งนั้น นางยังต้องจ่ายเงินค่าข้าวมื้อนี้อีก ในเมื่อเงินนี้จ่ายออกไปแล้ว อย่างไรก็ต้องกินให้คุ้ม
หยวนชิงหลิงวิ่งออกมา ก็พอจะสงบสติอารมณ์ลงได้บ้างแล้ว รอจนหยู่เหวินเห้าไล่ตามมาจนทัน ความโกรธในใจนางก็ถูกระงับไปได้มากแล้ว มองสบสายตาที่แฝงความกังวลเต็มเปี่ยมของเขา แล้วพูดอย่างสงบนิ่งว่า “ข้าไม่เป็นไร ไม่หิว เลยออกมาเดินเล่นเฉย ๆ”
หยู่เหวินเห้าดึงมือนางขึ้นมา “เจ้าแทบจะไม่เคยโกรธเลยนะ สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ข้าทำอะไรผิดไปอย่างนั้นรึ?”
หยวนชิงหลิงดึงมือของนางกลับมาเบา ๆ “ เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ข้าแค่โกรธตัวเองน่ะ ”
หยวนชิงหลิงพยายามใช้การคิดอย่างมีเหตุมีผล ในการพิจารณาเรื่องนี้อย่างสุดความสามารถ อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เพื่อนเก่าคนหนึ่งตายไป แม้ว่าตอนมีชีวิตจะมีเรื่องไม่ลงรอยกัน แต่คนตายก็เหมือนกับตะเกียงดับ ทุกอย่างควรจะสลายหายไปในตอนที่คนคนนั้นตายลง การไปสักการะที่หลุมฝังศพของเขาสักครั้ง มีอะไรให้ต้องขุ่นเคืองใจด้วยล่ะ?
หากคิดด้วยเหตุผลที่มาจากสติ ผลลัพธ์คืออย่างนี้ แต่ทางด้านอารมณ์ล่ะ?
หยวนชิงหลิงโกรธจนแทบควันออกหู ฉู่หมิงชุ่ยทำร้ายนางจนเกือบตาย นางสามารถเกลียดแค้นฉู่หมิงชุ่ยได้ถึงสามชั่วอายุคนเลยด้วยซ้ำ กับแค่นางตายไปจะสามารถปล่อยวางให้ทุกอย่างสลายหายไปง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน? เขาในฐานะสามี ควรจะเป็นฝ่ายเดียวกันกับนางไม่ใช่หรือ?
อารมณ์ของหยวนชิงหลิง วนเวียนสลับไปมาระหว่างความสงบนิ่งกับความโกรธแค้น รู้สึกเหมือนคุมสติไม่อยู่นิดหน่อย
หยู่เหวินเห้ารู้สึกเหมือนถูกทรมานอย่างหนัก เห็นว่าในแววตานาง ประเดี๋ยวก็สงบนิ่ง ประเดี๋ยวก็ลุกประกายดั่งไฟ เขาไม่รู้ว่าในหัวนางคิดอะไรอยู่ แต่ก็ยังฝืนไม่ยอมพูดมันออกมา
รถม้าแล่นต่อไป แต่ครั้งนี้ ผู้หญิงทั้งสามคนล้วนอยู่ในอารมณ์โกรธเคือง
อาซี่โกรธสวีอี หยวนหย่งอี้โกรธอ๋องฉี และแน่นอนว่าหยวนชิงหลิงโกรธหยู่เหวินเห้า ระหว่างทางไม่มีเสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวอีก ผู้หญิงทั้งสามคนต่างเงียบกริบจนน่ากลัว
บนรถม้าอีกคัน สวีอียังคงขับรถให้ท่านอ๋องทั้งสองต่อไป สามคนต่างก็ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาพร้อมกัน
สวีอีทั้งรู้สึกผิดทั้งโกรธ ที่รู้สึกผิดคือผิดต่อรัชทายาท ที่โกรธคือโกรธที่อาซี่ปากมาก เขาไม่ควรบอกความลับอะไรให้อาซี่ฟังเลยจริง ๆ
เดิมทีเขาเป็นคนปากมากอยู่แล้ว ตอนที่เขารู้เรื่องนี้ เขาก็อดใจไม่ไหวจนต้องไปเล่าให้อาซี่ฟัง จะดีจะร้ายหากได้พูดออกไป มันก็พอจะทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาได้บ้าง ไม่อย่างนั้นตัวเองคงอัดอั้นแย่
อาซี่ช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย ไม่มีสามัญสำนึกของการเป็นคนเลยสักนิด
ผู้หญิงแบบนี้ คงแต่งไม่ออกไปตลอดชีวิตแน่
ต่อให้แต่งออกไปก็คงถูกหย่าอยู่ดี เพราะผิดกฎบัญญัติเจ็ดขับ ในข้อโทษฐานปากมาก
พอคิดแบบนี้ด้วยความคับแค้นใจ เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
ทั้งหมดเดินทางไปถึงอำเภอซีโจวในช่วงพลบค่ำ เข้าพักในกระท่อมสุดหรูแห่งหนึ่งของท้องถิ่น
อ๋องฉีจัดสรรที่พักอย่างเหมาะสม หนึ่งวันก่อนออกเดินทาง เขาสั่งคนรับใช้มาที่นี่เพื่อจองที่พักไว้สำหรับคณะ รวมถึงจองเรื่องอาหารการกินไว้อย่างเสร็จสรรพ
ที่พักแห่งนี้ใหญ่มาก ค่าเช่าต่อหนึ่งวันก็เป็นเงินถึงสิบตำลึงแล้ว คนรวยที่ชอบซื้อของแพงๆแบบไร้สาระ ทั้งยังไม่มีภาระครอบครัวที่ลำบากเหนื่อยยากอะไรอย่างอ๋องฉี ย่อมมีเงินมากพอที่จะจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ ดังนั้น ที่กินที่อยู่จึงต้องเป็นอะไรที่ดีที่สุด
อาหารมื้อนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมีความสุขกับการกินเลย ทุกคนฝืนกินได้แค่คนละเล็กละน้อย แล้วจึงแยกย้ายกลับห้องใครห้องมัน
ก่อนที่หยู่เหวินเห้าจะกลับไปที่ห้องพัก สวีอีก็มาดึงเขาไปที่ลานด้านนอก หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่หลายตลบ ก็รู้สึกว่าตัวเองควรสารภาพออกไปเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้นคืนนี้เขาอาจมีคดีความร้ายแรงถึงชีวิตได้
“ฝ่าบาท กระหม่อมพอจะรู้แล้วว่าทำไมพระชายาถึงได้โกรธ ” สวีอีถูมือตัวเอง พยายามเค้นรอยยิ้มออกมาแต่ก็ล้มเหลว กลายเป็นใบหน้าบิดเบี้ยวจนผิดรูปอย่างน่าสยดสยอง
“พูดมา!” มีประกายแสงจ้าวาบขึ้นมาในดวงตาของหยู่เหวินเห้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วจนเป็นปม รู้สึกว่าน่าจะเป็นปัญหาที่สวีอีก่ออีกครั้งแน่แล้ว
สวีอียิ้มแหย ๆ พูดอย่างตะกุกตะกักว่า “นี่…บางทีอาจเป็นเพราะว่า เพราะว่ากระหม่อมเล่าเรื่องสำคัญบางอย่างให้อาซี่ฟังโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วอาซี่ก็ไปเล่าให้พระชายาฟังต่อ พระชายาจึงได้โกรธเช่นนี้”
หยู่เหวินเห้าวางมือลงบนไหล่ของสวีอี ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าเล่าอะไรให้อาซี่ฟังรึ?”
สวีอีหดหัวแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เล่าว่าฝ่าบาทกับแม่ทัพใหญ่ไปสักการะหลุมศพของพระชายาฉีพ่ะย่ะค่ะ”
“…ฟู่ ๆ…” เสียงหยู่เหวินเห้าสูดเอาอากาศเย็น ๆ เข้าไปเฮือกใหญ่ แววตาสาดประกายเจิดจ้าราวเปลวไฟ หมัดซ้ายรัวเข้าใส่ตามด้วยหมัดขวาไม่มีปราณี หลังจากซ้อมคนอย่างโหดร้ายไปยกหนึ่ง ก็เดินจากไปอย่างไร้เยื่อใยโดยสิ้นเชิง
สวีอียกมือขึ้นมาเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลพลั่ก ๆ จับต้นไม้เพื่อพยุงตัวเองลุกขึ้น หันไปมองดูผนังอิฐสีแดงอย่างอ้างว้าง แทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
อาซี่ ข้ากับเจ้าเข้ากันไม่ได้จริง ๆ นั่นแหล่ะ!