หยวนชิงหลิงขึ้นไปบนรถม้าไป พร้อมพูดกับหยู่เหวินเห้าว่า “ข้ากลับก่อนแล้ว พวกเจ้าสองพี่น้องไปคุยกันเถอะ”
หยู่เหวินเห้าให้นางรอสักครู่ จากนั้นก็หันไปถามอ๋องอานว่า “พี่สี่ มีอะไรจะคุยหรือ?”
ทั้งสองพี่น้อง ไม่ได้คุยกันอย่างสงบแบบนี้มานานมากแล้ว อย่างน้อย ในสายตาไม่มีแววของความเป็นศัตรูต่อกัน
อ๋องอานพูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ได้ไปที่จวนของข้ามานานมากแล้ว เอาแบบนี้ พวกเจ้าสองสามีภรรยาไปเป็นแขกที่จวนของข้าดีไหม? พอดี พี่สะใภ้สี่ของเจ้าก็อยากเจอน้องสะใภ้”
ถึงแม้หยวนชิงหลิงจะเหนื่อยจะง่วง แต่เมื่ออ๋องอานพูดขนาดนี้แล้ว และนางก็เห็นว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ควรที่จะพูดคุยกันอย่างเปิดอก จะได้ไม่ต้องมาคอยป้องกันนี่ป้องกันนั่น
ดังนั้น นางจึงพูดกับหยู่เหวินเห้าว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ไปกันเถอะ ยังไงตอนปีใหม่เราสองบ้านก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน” ปีใหม่ ระหว่างพี่น้องถึงแม้ต่างก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว แต่ตามธรรมเนียม ก็ควรที่จะไปมาหาสู่ไหว้ปีใหม่กัน พี่น้องพบเจอกัน
และแบบนี้ ภายใต้แสงอรุณยามเช้า รถม้าวิ่งเสียงตึกตักมุ่งหน้าไปยังจวนอ๋องอาน
พระชายาอ๋องอานก็ตื่นนอนแต่เช้าแล้ว ตอนเที่ยงคืนภายในวังส่งคนมา แล้วนางก็นอนไม่หลับแล้ว เมื่อฟ้าสว่าง ก็ตื่นขึ้นมารอฟังข่าวจากในวัง
ได้ยินบ่าวใช้พูดว่าท่านอ๋องกลับมาแล้ว นางก็รีบออกมารับ กลับเห็นหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงมาด้วย ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมาทันที รีบเดินไปจับมือของหยวนชิงหลิงไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “พระชายารัชทายาท ข้าคิดอยู่ตลอดว่า อยากที่จะไปหาเจ้า คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจ้ามาแล้ว”
หยวนชิงหลิงมองดูสีหน้าของนาง รู้สึกแดงระเรื่อขึ้นเยอะ คิ้วตาเผยให้เห็นถึงความอ่อนหวาน แสดงว่าความสัมพันธ์ระหว่างอ๋องอานดีอยู่ไม่น้อย
ไม่มีอะหลูแล้ว พวกเขารักใคร่กันมากขึ้นแล้ว
หญิงทั้งสองเข้าไปคุยกันข้างใน หยู่เหวินเห้ากับอ๋องอาน สองพี่น้องเข้าไปในห้องหนังสือ
ถึงแม้ท้องฟ้าจะสว่างแล้ว แต่อ๋องอานก็ยังจุดเทียนหลายเล่มภายในห้องหนังสือ เพื่อปัดเป่าความมืดมนสุดท้าย
เห็นหยู่เหวินเห้ามองดูเขา เขาจึงยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าไม่ชอบความมืด เจ้าก็รู้นี่”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจว่า “พี่สี่กลัวความมืดมาตั้งแต่เด็ก ข้ารู้”
พูดถึงปมด้อยที่ค่อนข้างน่าขำของตนเอง อ๋องอานก็หัวเราะขึ้นมา เมื่อเขาหัวเราะ เผยให้เห็นฟันขาวสะอาด ดวงตาก็รู้สึกสดใสขึ้นเยอะ
ภายในห้องหนังสือมีกาต้มน้ำชา อ๋องอานเริ่มใส่ถ่านเข้าไปข้างใน เมื่อจุดเผาถ่านแดงแล้วค่อยวางกาน้ำชาขึ้นไป พร้อมพูดขึ้นว่า “ต้มน้ำชาดื่มก่อน เช้าขนาดนี้หากไม่ดื่มชา วันทั้งวันก็เหมือนกับขาดอะไรไป”
หยู่เหวินเห้านั่งอยู่บนเก้าอี้มองดูเขา เขาทำอยู่อย่างคล่องแคล่ว ท่าทีดูมีความสุข เหมือนปกติมักจะชอบทำเรื่องพวกนี้อยู่ประจำ
“ชาเหมาเจียนอย่างดีพวกนี้ สีน้ำชาใสสะอาด ดื่มเข้าไปในปาก มีกลิ่นหอมละมุน เดี๋ยวให้เจ้าเอากลับไปด้วยหนึ่งกระปุก” อ๋องอานหันกลับมายิ้มให้กับเขา
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างใจลอยว่า “ดี”
บรรยากาศเงียบสงบในตอนนี้ ทำให้เขาคิดถึงภาพตอนที่อยู่ในจวนในวัยเด็ก ตอนนั้น ระหว่างพี่น้องไม่มีความระแวงกัน ตีกันทะเลาะกัน เล่นด้วยกันอย่างมีความสุขไปวันๆ
น้ำชาแก้วหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าของเขา ไอร้อนลอยวนขึ้นมา เขามองผ่านไอน้ำ เห็นใบหน้าของอ๋องอานแฝงไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมพูดขึ้นว่า “ดื่ม”
หยู่เหวินเห้ารับมา พร้อมพูดขึ้นว่า “ขอบคุณ”
อ๋องอานเองก็ดื่มไปหนึ่งคำ จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างล้อเลียนว่า “ระหว่างเราสองพี่น้อง ทำไมถึงได้ดูห่างเหินกันขนาดนี้? แค่รินน้ำชาให้เจ้าก็ต้องพูดขอบคุณ”
หยู่เหวินเห้า พูดขึ้นอย่างเหลาะแหละว่า “ใช่ คิดว่าเจ้าก็คงรู้แล้ว ไม่ผิด ที่ผ่านมาข้าอยู่ในตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท ถึงตอนนี้ก็ไม่เคยปล่อยวาง ระหว่างพี่น้อง ไม่ควรที่จะห่างเหินกันเช่นนี้”
อ๋องอานขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้ มองดูเขา พร้อมพูดขึ้นอย่างจริงใจว่า “เจ้าห้า วันนี้ข้ารู้สึกขึ้นมาได้ว่า เสด็จพ่อแก่แล้ว”
“ไม่แก่ ยังไม่ถึงห้าสิบเลย ไม่ถือว่าแก่” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น
“เจ้าเคยเห็นตอนที่เขานอนป่วยอยู่บนเตียงไหม?” อ๋องอานถามกลับ
“คนเราต่างก็ป่วยกันได้ทั้งนั้น” หยู่เหวินเห้าไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง จึงทำได้เพียงพูดตอบเช่นนี้
อ๋องอานถอนหายใจอย่างหนัก มองดูน้ำชาพร้อมพูดขึ้นอย่างเลื่อนลอยว่า “ข้าปล่อยวาง พี่สี่เคยทำร้ายพวกเจ้าสองสามีภรรยา แต่พระชายารัชทายาท ก็ยังยอมรักษาพระชายาอย่างไม่ถือสา ข้าเคยหลงผิดไป แล้วจะคิดแย่งชิงกับเจ้าอีกได้อย่างไร?”
หยู่เหวินเห้ามองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ดังนั้น วันนี้พี่สี่ต้องการที่จะบอกว่า จะปล่อยวางในการคิดครองตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทหรือ?”
อ๋องอานครุ่นคิด ค่อยๆส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้ายังคงอยากที่จะเป็นองค์ชายรัชทายาท ในเมื่อความคิดถูกเปิดเผยแล้ว ปิดบังต่อไปก็เป็นการเสแสร้ง หากข้าพูดว่าปล่อยวางได้ เจ้าก็คงไม่เชื่อ”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “ไม่เชื่อจริงๆ”
“ข้าจะยังคงคอยจับผิดเจ้า หาวิธีโจมตีเจ้า” อ๋องอานวางถ้วยน้ำชาลง พร้อมพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ที่เสด็จพ่อป่วยเพราะเกิดจากความเหนื่อยล้า แสดงว่า พวกเราที่เป็นลูกต่างทำได้ไม่ดีพอ ที่จริงไม่ว่าต่อไปเป่ยถัง จะตกอยู่ในมือของเจ้าหรือตกอยู่ในมือของข้า ล้วนต่างก็ต้องยิ่งใหญ่ ต้องรุ่งเรือง ดังนั้น พวกเราควรที่จะปล่อยวางการแย่งชิงกันก่อน แล้วตั้งใจทำอะไรเพื่อเป่ยถังก่อนไหม? ข้าเชื่อว่า เราสองคนใครได้เป็นฮ่องเต้ สิ่งที่อยู่ในใจล้วนคือแผ่นดินผืนนี้ น้องห้าว่าไหม?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างไร้ความรู้สึกว่า “หากพี่สี่พูดจากใจจริง ข้าจะดีใจมาก สถานการณ์เป่ยถังในตอนนี้ พี่สี่รู้ดีกว่าใครทั้งหมด เราจะปล่อยให้เสด็จพ่อแบกรับเรื่องพวกนี้คนเดียวไม่ได้ ในฐานะที่เป็นลูก ในฐานะที่เป็นราษฎร ล้วนต่างก็ต้องยืนออกมาแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อ”
อ๋องอานสูดลมหายใจ มองดูเขาด้วยดวงตาสดใส พร้อมพูดขึ้นว่า “แสดงว่า น้องห้าตอบตกลงที่จะสงบศึกกับพี่ชั่วขณะใช่ไหม?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาว่า “สงบศึกเป็นการใช้พูดในสนามรบ หากจะเอาคำพูดในสนามรบมาใช้จริง ข้าก็พูดได้เพียงว่า ข้าเพียงแค่ป้องกันมาตลอด ไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มโจมตี”
อ๋องอานพูดขึ้นว่า “เป็นเช่นนี้จริง แต่การป้องกันของน้องห้ามักจะแฝงไปด้วยการโจมตี ข้าโจมตีหลายครั้ง ล้วนถูกโจมตีกลับจนหนีหัวซุกหัวซุน พ่ายแพ้อย่างย่อยยับ”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เคลื่อนไหวดีกว่าสงบ หากพี่สี่ต้องการที่จะรักษาปัจจุบันไว้ ดีที่สุดก็คืออย่าคิดทำอะไรไปเรื่อย”
“อย่างน้อย ก่อนที่เป่ยถังจะกลายเป็นประเทศใหญ่ในแผ่นดินนี้ ข้าจะไม่มีความคิดเป็นอื่นอีก นอกเสียจากมีสถานการณ์อย่างอื่นเกิดขึ้น”คำพูดของอ๋องอาน คลุมเครือกำกวม แต่ก็สามารถดูออกว่ามีความจริงใจอยู่บ้าง
หยู่เหวินเห้าถอนหายใจพร้อมพูดขึ้นว่า “ตอนนี้เราพี่น้องควรที่จะสามัคคีกัน แบ่งเบาภาระเสด็จพ่อ ให้เสด็จพ่อรู้สึกภาคภูมิใจถึงจะถูก”
อ๋องอานพยักหัว แสงเทียนส่องสว่างใบหน้าหล่อเหลาของเขา แววตาหม่นหมองจางหายไป พร้อมพูดขึ้นว่า “แต่เจ้าก็ยังต้องเตรียมใจไว้ การสงบศึกระหว่างสองเรา ไม่ได้แปลว่าพี่ใหญ่จะไม่อาศัยช่วงเวลานี้ทำอะไรเลย เสด็จพ่อป่วย เขาเป็นคนที่น่าเป็นห่วงที่สุด ไม่ได้เป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเสด็จพ่อ แต่เป็นห่วงหากเสด็จพ่อสวรรคตในตอนนี้ เจ้าจะได้ขึ้นของราชย์ในทันที เขาก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไป ดังนั้น ตามคำพูดที่เขาพูดภายในวังพวกนั้น ตอนนี้เขาเหมือนดั่งสุนัขจนตรอก”
“ชนเขาไม่ตายก็นับว่าดีแล้ว”หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างเย็นชา
อ๋องอานส่ายหัว พูดขึ้นอย่างภูมิฐานว่า “ที่จริงข้อเสนอแนะของเจ้าก็ไม่เลว ก่อนอื่นเขาทำทุกอย่างเพื่อราชสำนักอย่างจริงใจ แต่ข้ากลัวเพียงว่า เขาอยากที่จะอาศัยเงินทองของตระกูลหลี่ สร้างอำนาจเพื่อแย่งชิงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท เจ้าห้า หากเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ คนที่จะได้รับผลเสียที่สุดก็คือเจ้า”
หยู่เหวินเห้าสะบัดแขนเสื้อ มองดูเขาพร้อมพูดขึ้นว่า “แม้แต่พี่สี่ข้ายังไม่เคยกลัว แล้วจะกลัวเขาหรือ?”
อ๋องอานฟังประโยคนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อยากที่จะพูดโต้เถียง แต่คิดไปแล้วก็เป็นเช่นนี้จริง ตนเองกระทำมาตั้งหลายครั้งขนาดนี้ เคยทำให้ขนหน้าแข้งคนอื่นเขาร่วงสักเส้นไหม? ส่วนหยู่เหวินเห้า ทุกครั้งที่เจออันตราย จากนั้นก็มักจะได้รับใจคนไปส่วนหนึ่ง ตอนนี้ตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจในราชสำนัก เป็นคนของเขาไปกว่าครึ่งแล้ว
อ๋องอานรู้สึกละอายใจขึ้นมาในทันใด