ถ้อยคำหมิ่นประมาทระดับนี้ หยู่เหวินเห้าทำเป็นไม่ได้ยินทั้งสิ้น พาคนเข้าไป
พระชายาจี้มองดูและฟังอยู่อย่างเงียบๆมาโดยตลอด เห็นหยู่เหวินเห้าเข้ามา นางจึงกล่าวกับหยู่เหวินเห้า: “คืนนี้ขณะที่องครักษ์ลาดตระเวนของจวนตรวจการณ์ พบว่าในห้องหนังสือมีคนชุดดำผู้หนึ่งกระโดดออกไปทางหน้าต่าง จึงพาคนไล่ตามไป แต่ไล่ไม่ทัน เพราะว่าข้านึกถึงคดีการลักขโมยแผนที่ทางการทหารก่อนหน้านี้ได้ ข้าไม่กล้าจัดการเป็นการส่วนตัว จึงเรียกให้คนไปแจ้งที่ว่าการปกครอง”
“ได้เคยตรวจสอบว่ามีสิ่งของอะไรสูญหายไปหรือไม่?” หยู่เหวินเห้าเอ่ยถาม
พระชายาจี้ส่ายหน้า “ยังไม่ได้ตรวจ เกรงว่าแตะต้องอะไรแล้วพวกท่านจะตรวจสอบลำบาก เพียงแค่ในนี้……เดิมทีไม่ได้รกขนาดนี้ เพราะท่านอ๋องกลับมาแล้วโวยวายด้วยความโกรธรอบหนึ่ง ทุบจนในนี้กลายเป็นเช่นนี้เพคะ”
หยู่เหวินเห้ามองดูด้านนอกแวบหนึ่ง อ๋องจี้ยังด่าทออยู่ ทั้งยังยิ่งด่ายิ่งแรง จึงได้กำชับสวีอีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อุดปากเขาให้ข้า”
เสียงด่าทอของอ๋องจี้ชั่วร้ายไม่น่าฟังทั้งเสียดหู สวีอีทนไม่ได้ตั้งนานแล้ว ฐานะอ๋องชินของเขาเป็นเครื่องกีดขวางทำให้เขาไม่กล้าต่อยไปง่ายๆ ตอนนี้ได้ยินคำสั่งของหยู่เหวินเห้า จึงดึงผ้าขาดๆชิ้นหนึ่งแล้วออกไปยัดใส่ในปากที่กำลังด่าทอของอ๋องจี้ ทั้งโลกเงียบสงบลงในพริบตา
หยู่เหวินเห้าพาคนไปดูครู่หนึ่ง ในห้องหนังสือไม่มีสิ่งของสำคัญอะไรโดยสิ้นเชิง ล้วนเป็นพวกหนังสือทางการทหารและหนังสือราชการธรรมดา จึงถามพระชายาจี้ “ท่านพาคนไปดูหน่อย มีสิ่งของล้ำค่าอะไรสูญหายหรือไม่?”
พระชายาจี้ลังเลครู่หนึ่ง “ในนี้ก็ไม่ได้มีสิ่งของสำคัญอะไร กลัวก็เพียง…….”
“กลัวอะไร?” หยู่เหวินเห้าเห็นท่าทางที่อยากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูดของนาง อดไม่ได้ที่มีแววตาสงสัยขึ้น
พระชายาจี้ชำเลืองมองอ๋องจี้ด้านนอกแวบหนึ่ง ปากของอ๋องจี้ถูกอุดไว้ ดวงตาสองข้างจ้องเขม็ง พ่นเพลิงไฟออกมา แววตานั่นราวกับลูกธนูพิษที่ยิงมาทางพระชายาจี้เช่นนั้น
พระชายาจี้เก็บสายตาช้าๆ กล่าวต่อหยู่เหวินเห้า: “กลัวว่าในห้องลับจะมีสิ่งของที่สูญหายเพคะ”
“ในนี้มีห้องลับ?” หยู่เหวินเห้าประหลาดใจ
ใบหน้าของอ๋องจี้ด้านนอก ซีดขาวทั้งหน้า เส้นเลือดที่หน้าผากล้วนปรากฏขึ้นมาแล้ว แต่ร้องไม่ได้ ขยับไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูพระชายาจี้เปิดประตูห้องลับเฉยๆ
กำแพงด้านตะวันออกของห้องหนังสือ คิดไม่ถึงว่าจะเชื่อมกับห้องลับ ด้านในมืดมิดทั้งผืน
เมื่อหยู่เหวินเห้าสั่งให้คนเอาโคมไฟมาส่อง ในใจของทุกคนล้วนตื่นเต้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ด้านในนี้กว้างประมาณเก้าเมตรยาวประมาณเก้าเมตร จัดแต่งเหมือนรูปแบบของอุโบสถ แต่ วัสดุทั้งหมด ล้วนใช้สีดำ โต๊ะสีดำ พระพุทธรูปสีดำ ผ้าม่านสีดำ ไม่มีหน้าต่าง กำแพงก็แขวนด้วยผ้าม่านสีดำ บนคานกลางห้องมีเส้นหนึ่งที่เป็นผ้าไหมสีแดงห้อยลงมา มัดสิ่งของที่เป็นหุ่นคนเล็กๆสองคนไว้
หยู่เหวินเห้าเดินเข้าไปช้าๆ เดือดดาลในพริบตา
หุ่นคนตัวเล็กทั้งสองที่ห้อยอยู่นั่น เป็นเสด็จพ่อและเขา แปะชื่อและวันเกิดอักษรแปดตัวไว้ที่ด้านหน้าหน้าอก หุ่นตัวเล็กทั้งสองนั่นล้วนโดนผูกคอไว้ ใช้ฟางข้าวทำ แต่ทั้งร่างย้อมไปด้วยเลือด เลือดน่าจะทาลงไปเป็นชั้นๆ ส่งกลิ่นเหม็นคาวระยะหนึ่ง
หยู่เหวินเห้ามือหนึ่งแย่งดาบองครักษ์ของจวนมา ตัดแพรสีแดงลงมาทันที
“พังที่นี่ให้ข้า!” หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยความโกรธ
สวีอีขึ้นไปคนแรก เท้าหนึ่งถีบโต๊ะบูชาพลิกคว่ำ ทหารของกรมการพระนครก็ขึ้นมาทำลายข้าวของ
พระชายาจี้ถอยไปอีกด้าน บนใบหน้าไม่ได้สีหน้าท่าทางใดๆ แต่มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ในตาก็มีแววความสบายใจด้วย
ขณะที่หยู่เหวินเห้ากำลังอยากจะหมุนตัวออกไปต่อยอ๋องจี้ สวีอีกลับตะโกนเรียกเขาไว้ “องค์ชาย ท่านดู!”
หยู่เหวินเห้าหันกลับไปมอง เห็นสวีอีถือกล่องที่เปิดไว้อยู่กล่องหนึ่ง ด้านในวางสิ่งของซ้อนไว้ สวีอีเห็นเพียงอักษรสองสามคำด้านบน เป็นแผนที่ทางการทหาร!
หยู่เหวินเห้าหยิบมาทันที แผนที่ทางการทหารเปิดออกในมือของเขา ห้อยตกลงบนพื้นโดยตรง ด้านบนนั้นวาดวิธีการสร้างอาวุธทหารไว้ ยังมีรูปโครงสร้างบางส่วนอีกมากมาย
หยู่เหวินเห้าค่อยๆม้วนแผนที่ทางการทหารขึ้น หันกลับไปเห็นสีหน้างงงันของพระชายาจี้ ในใจเขารู้สภาพดี จึงไม่ได้เอ่ยถามในนี้ เพียงแค่ออกคำสั่งอย่างเย็นชา: “ให้คนมา เอาตัวหยู่เหวินจุนไปที่กรมการพระนคร ขังไว้ในคุกใหญ่ก่อน”
ขณะที่อ๋องจี้ถูกปล่อยลงมา ร่างกายก็อ่อนแล้ว แต่เมื่อเห็นแผนที่ทางการทหาร เขาทั้งคนก็กระโดดขึ้นมา ชี้ด่าหยู่เหวินเห้ายกใหญ่ “เจ้าใส่ร้ายป้ายสีข้า นี่ไม่ใช่ของข้า หยู่เหวินเห้า เจ้าทำเลวโดยไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด……”
หยู่เหวินเห้าหมัดหนึ่งต่อยเข้าไป ต่อยเขาสลบไปโดยตรง “ลากเขา!”
เขาหันกลับไปมองพระชายาจี้ พระชายาจี้เอื้อมมือไปค้ำข้างประตู บนใบหน้ามีแววความสงสัยและสับสน หยู่เหวินเห้าเดินไปด้านหน้า กล่าว: “ท่านพี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้ร่างกายของพระชายารัชทายาทไม่ค่อยสบายนัก ไม่รู้ว่าท่านจะไปอยู่เป็นเพื่อนนางหน่อยได้หรือไม่?”
เสียงของพระชายาจี้ค่อนข้างว่างเปล่า “ได้เพคะ!”
“เช่นนั้นข้ากลับไปที่กรมการพระนครก่อน!” ครั้นแล้วหยู่เหวินเห้าถอนทหารออกไปจากจวนอ๋องจี้
อ๋องจี้ถูกกุมขังในคุกใหญ่ของกรมการพระนคร แผนที่ทางการทหารฉบับนี้หยู่เหวินเห้าไม่ได้ทิ้งไว้ที่กรมการพระนคร แต่พกติดตัวกลับไป
อันที่จริงตั้งแต่ผลักประตูห้องลับนั่น เขาก็คาดเดาได้ว่าบางทีนี่อาจจะเป็นการกระทำของพระชายาจี้ นางต้องการอ้างเหตุผลการขโมยของดึงดูดคนของกรมการพระนครเข้าไป ทำให้ทุกคนเห็นหยู่เหวินจุนทำค่ายกลความชั่วร้ายด้านใน วิชามนต์ดำเหล่านี้ ทุกคนล้วนจงเกลียดจงชัง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเสด็จพ่อแล้ว
โทษตามกฎหมายสถานนี้ แม้จะสามารถรักษาศีรษะของเขาไว้ได้ ชีวิตที่เหลือของเขาเกรงว่าจะไม่ได้เห็นตะวันแล้ว
พระชายาจี้ทำเช่นนี้ เป็นเพราะเขามีความคิดจะแตะเมิ่งเยว่จวิ้นจู่
หยวนชิงหลิงยังไม่ได้นอน ได้ยินว่าพระชายาจี้มาหากลางดึก นางรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ คลุมเสื้อผ้าแล้วออกไป เห็นเหมือนทั้งร่างของนางพระชายาจี้ทรุดลงบนเก้าอี้ ใบหน้าหดเข้าไปในคอเสื้อ ด้านในเสื้อคลุมกันลมเผยดวงตาสองข้างออกมา กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยแววความตื่นตระหนกงงงวย
หยวนชิงหลิงเห็นดังนั้น ตกใจมาก รีบเอ่ยถาม: “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเพคะ?”
รู้จักพระชายาจี้มานานแล้ว ไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้?
พระชายาจี้ค่อยๆเงยหน้าขึ้น ราวกับว่าพยายามฝืนดึงจิตวิญญาณกลับมา ในดวงตาเศร้าหมอง “รอเจ้าห้ากลับมาก่อนค่อยพูด”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แล้วเป็นแน่ จึงไม่ได้ไล่ถามนาง เรียกให้คนเอาน้ำชาร้อนให้นาง
พระชายาจี้ยกน้ำชา มือล้วนสั่นเทาเล็กน้อย เงยหน้ามองหยวนชิงหลิงอย่างฉับพลัน ในดวงตาเริ่มมีน้ำตา กล่าวสะอึกสะอื้น: “พระชายารัชทายาท รับปากข้าเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้โปรดจะต้องปกป้องบุตรสาวของข้าไว้”
“ท่านวางใจ…….”
หยวนชิงหลิงยังไม่ทันพูดจบ พระชายาจี้ก็หลั่งน้ำตาออกมาแล้วกล่าวเรื่องของตัวเอง: “เมิ่งเยว่ยังดีหน่อย เด็กคนนี้มีความคิดเห็นเป็นของความเอง ที่ผ่านมาข้าสั่งสอนชี้แนะเป็นผล แต่ร่างกายของเมิ่งเยว่อ่อนแอ นิสัยก็ขี้ขลาดกลัวปัญหา หากว่าข้าไม่ได้อยู่ข้างกายของพวกนาง……ไม่ ไม่ ท่านจะต้องคิดทุกวิถีทางปกป้องชีวิตของพวกนาง หากว่าปกป้องได้แล้ว ค่อยคิดวิธีการจัดการอย่างเหมาะสม ชาติหน้าข้าเป็นวัวเป็นม้าให้ท่าน ก็จะตอบแทนบุญคุณอันใหญ่หลวงของท่าน”
หยวนชิงหลิงได้ยินนางพูดอย่างร้ายแรงเช่นนี้ ก็ตกใจมาก “สวรรค์ ทำไมท่านพูดคำเหล่านี้? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“ตกหลุมพรางแล้ว ในจวนอ๋องจี้มีหนอนบ่อนไส้” พระชายาจี้กล่าวพึมพำ
หยวนชิงหลิงเห็นท่าทางของนาง นึกถึงที่ผ่านมานางดื้อรั้นขนาดไหน ตอนนี้พูดคำเหล่านี้ กลัวว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
พระชายาจี้ไม่ได้พูดแล้ว แต่ริมฝีปากกลับสั่นเทาตลอด มือที่กุมแก้วไว้ก็กำลังสั่น ทั้งคนตกเข้าไปในความหวาดกลัวที่ยิ่งใหญ่
บัลลังก์หมอยาเซียน – ตอนที่ 765 ต้องปกป้องบุตรสาวของข้าไว้
Posted by ? Views, Released on November 10, 2021
, บัลลังก์หมอยากเซียน
ด็อกเตอร์แพทย์หญิงอัจฉริยะข้ามภพกลายเป็นพระชายาของอ๋องฉู่ เพิ่งมาถึงก็เจอผู้ที่บาดเจ็บสาหัส นางยึดถือจรรยาแพทย์ไปทำการช่วยเหลือ กลับเกือบถูกคนให้ร้ายไท่ซ่างหวง(เสด็จพ่อของฮ่องเต้)ป่วยวิกฤต นางไม่มีวิธีรักษา ถูกอ๋องอำมหิตผู้น่าเกลียดเข้าใจผิดตำหนิเอา หรือว่าเป็นคนดีมันยากนัก? ชายผู้นี้เอาแต่ใส่ร้ายป้ายสีนางไม่ว่า ที่อดไม่ได้คือเขายังกล้าแต่งชายารองทำให้นางสะอิดสะเอียนอีกอ๋องอำมหิตพูดอย่างเย็นชาว่า: "เจ้ามีดีอะไรให้ข้าแค้นเจ้า ข้าเพียงแค่เกลียดเจ้า? แค่เห็นเจ้าแวบแรกก็รู้สึกขยะแขยง"หยวนชิงหลิงใบหน้ายิ้มรับพร้อมกล่าวว่า: "ไฉนข้าไม่รังเกียจท่านอ๋องเพคะ? เพียงแค่ทุกคนล้วนเป็นสุภาพชน ไม่อยากไม่ไว้หน้าก็เท่านั้น"อ๋องอำมหิตพูดเย้ยหยันว่า: "เจ้าอย่านึกว่าตั้งท้องลูกของข้าแล้วข้าจะนับว่าเจ้าเป็นพระชายา ดื่มยาถ้วยนี้ ข้ากับเจ้าขาดกัน อย่ามาขัดขวางการแต่งงานของข้ากับคุณหนูสองตระกูลฉู่" หยวนชิงหลิงยิ่มแฉ่งพร้อมกล่าวต่อว่า: "ท่านอ๋อง นี่ชอบพูดเล่นเสียจริงเพคะ ท่านอยากแต่งก็แต่งเลยเพคะ ข้ามีลูกให้ดูแล ค่อยแต่งงานใหม่ ไม่มีใครเป็นก้างขวางคอใคร ถึงเวลานั้นมีการจัดเหล้าครบเดือน ขอเชิญท่านอ๋องมาร่วมงานด้วยเพคะ"
Recommended Series
Comment
Facebook Comment