หมันเอ๋อเป็นปริศนาข้อหนึ่ง ในระหว่างที่หยวนชิงหลิงได้คลุกคลีกับนาง รู้สึกว่าบางเวลานางจะรู้เรื่องราวมากมายขึ้นมาอย่างกะทันหัน บางเวลาก็ดูมึนงงไม่เข้าใจอะไรเลย บนร่างนางมีกลิ่นอายของความไม่ย่อท้อ ความไม่ย่อท้อนี้ทำให้เวลานางต้องเผชิญหน้ากับความลำบากอะไรก็ไม่เคยจะปล่อยวาง
และบนตัวนางยังมีจิตใจที่งดงามส่วนหนึ่ง จิตใจที่ดีมีค่ามากกว่าความฉลาดมากนัก เมื่อก่อนตอนที่ติดตามฉู่หมิงหยาง ต้องเผชิญหน้ากับอำนาจที่กดขี่จากฉู่หมิงหยาง ในที่สุดนางก็ทำตามเสียงเรียกร้องภายในใจในการต่อต้านความโหดร้ายของฉู่หมิงหยาง
หยวนชิงหลิงนึกถึงฉู่หมิงหยางขึ้นมา ถามว่า “ใช่แล้ว ฉู่หมิงหยางให้กำเนิดลูกหรือยัง”
“ใครจะไปรู้”ตอนนี้หยู่เหวินเห้าไม่ได้สนใจเรื่องของหยู่เหวินจุนเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเรื่องการตั้งครรภ์ของฉู่หมิงหยางที่ทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้มาก ราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปตัวหนึ่ง “แต่ว่า ไม่ได้ยินพี่ใหญ่บอกว่าคลอดลูกชาย ไม่รู้ว่าเด็กจะสามารถกำเนิดออกมาหรือไม่”
“ใครจะคลอดลูกอีกแล้ว”ทังหยวนเขยิบเข้ามาอย่างสนอกสนใจ “เป็นเสด็จน้าเจ็ดหรือ”
“เสด็จน้าเจ็ดใกล้จะคลอดแล้ว”หยวนชิงหลิงพูดยิ้มๆ
“น้าเจ็ดบอกว่า ถ้าหากคลอดน้องสาว เขาจะให้ข้าอุ้มกลับบ้าน ”ทังหยวงพูดด้วยความดีใจ
หยวนชิงหลิงหลุดเสียงหัวเราะออกมา “ทำไม ในท้องของแม่จะไม่ใช่น้องสาวหรืออย่างไร เอาแต่คิดถึงแต่ของคนอื่น”
“ท่านแม่ แต่ว่าข้าวเหนียวบอกว่าจะเอาน้องชาย ”ทังหยวนวางศีรษะเอาไว้ที่ต้นขาของหยวนชิงหลิงอย่างเชื่อฟัง ดวงตาเป็นประกาย “เช่นนั้นก็เอาตามที่ข้าวเหนียวว่ามา”
“เอ๋ ยังรู้สึกสงสารน้องชายด้วยหรือ”หยวนชิงหลิงรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
ทังหยวนดึงแขนเสื้อของหยวนชิงหลิง ดวงตาสดใส “ข้าเป็นเด็กดีหรือไม่”
“เป็นเด็กดีมาก”หยวนชิงหลิงจับที่ใบหน้าเล็กๆของเขาเอาไว้ พูดอย่างปลอบโยน
“เช่นนั้นท่านก็บอกให้พี่ชายให้ข้าไปบ้านคุณตาสักครั้ง ”ทังหยวนแอบมองไปทางซาลาเปาแวบหนึ่ง พูดเสียงเบา
พอซาลาเปาได้ยิน ก็กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นมาทันที “คุยกันแล้ว ทุกคนแข่งขันกันอย่างยุติธรรม ห้ามหาท่านแม่กดดัน เจ้ามันคนไร้อนาคต บิดพลิ้ว”
“ห้ามทะเลาะกัน ใครทะเลาะคนนั้นลงจากรถม้า ”หยู่เหวินเห้าโมโหจนดวงตาเบิกกว้าง อยากจะจัดการกับพวกเขาทั้งสามคนตั้งนานแล้ว ก่อนที่ยายหยวนจะตื่นมา แต่ละคนเอาแต่ชักสีหน้าวางมาดอวดดี ตอนนี้ไม่ต้องขอร้องพวกเขาแล้ว ยังไม่สามารถจัดการได้อีกหรือ
ทั้งสามคนเห็นพ่อแสดงอำนาจบารมี ต่างก็หดหัวลงไม่กล้าพูดจาอีก ใช้เพียงสายตาในการเพิ่มระดับสงคราม กลับไปค่อยสู้กันต่อ
หยู่เหวินเห้าเห็นว่าสงบลงแล้ว ก็หันไปมองที่ท้องของหยวนชิงหลิงอย่างไม่ค่อยใส่ใจนักแวบหนึ่ง “ท้องนี้ใหญ่อยู่นะ”
“ทำไม กลัวหรือ”หยวนชิงหลิงหลุดขำ
“พูดตามความจริง ก็กลัวอยู่บ้าง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็น สามคนอีกแล้ว”หยู่เหวินเห้ายื่นมือไปลูบชั่วครู่ รู้สึกกลัวจนใจเต้นรัว
หยวนชิงหลิงเอนร่างไปทางด้านหลังเล็กน้อย ถอนหายใจหนึ่งเฮือก “วางใจได้ ไม่ใช่แน่”
หยู่เหวินเห้าเองก็ผ่อนลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก “เช่นนั้นก็ดี โชคดีที่ได้ตั้งครรภ์ปกติเสียที ไม่เช่นนั้นคงตกใจตาย”
ชะงักไปชั่วครู่ เขาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มราวกับพ่อผู้เปี่ยมด้วยความรักความเมตตาออกมา “พวกเราในหลายปีมานี้ เรียกได้ว่าคิดสิ่งใดก็สมดังปรารถนา คิดว่าครรภ์นี้คงจะเป็นลูกสาวแน่”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ข้ากลับไม่สนใจว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ขอแค่คลอดออกมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว”
หยู่เหวินเห้านึกถึงตอนท้องแรก หัวใจก็รู้สึกกลัวขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าพูดว่า “ถูกต้อง เจ้าพูดได้ถูกต้อง อะไรก็ไม่สำคัญ ความปลอดภัยสำคัญที่สุด ”
หลังจากที่หยวนชิงหลิงฟื้นจากการสลบไปในครั้งนี้ คนในจวนต่างก็ดูแลราวกับสิ่งล้ำค่า แม่นมสี่ใส่ใจทำอาหารอย่างประณีตและอร่อยมาให้นางกินทุกวัน หมันเอ๋อกับอะซี่แทบจะไม่ห่างกายนางแม้แต่ก้าวเดียว เกรงว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดกับนางอีก
เพราะว่า ทุกคนได้รับบทเรียนแล้ว ในจวนอ๋องฉู่ที่ไม่มีพระชายารัชทายาท ก็ราวกับไร้ซึ่งวิญญาณ
หยู่เหวินเห้ากลับไปที่กรมการพระนคร ในที่สุดตำแหน่งเจ้ากรมที่อ๋องฉีรักษาการอยู่ก็สามารถถอยออกมาได้ซะที เขาดีใจมาก เพราะว่าสามารถมีเวลาว่างบ้างแล้ว สามารถอยู่เป็นเพื่อนหยวนหย่งอี้ได้มากขึ้น
และสายสืบที่หยู่เหวินเห้าส่งออกไป ก็ค่อยๆทยอยกันกลับมาแล้ว เพราะว่าตอนนี้อำนาจการปกครองของหงเล่ได้ล่มสลายไปทั้งหมดแล้ว ท่านชายหงเย่ก็ได้ออกไปแล้ว จะทิ้งสายสืบไว้ที่เซียนเปยไม่ใช่เรื่องที่ดี
คุณย่าหยวนหาเวลาว่างเข้าวังไปพร้อมกับหยวนชิงหลิงครั้งหนึ่ง ทำการฝังเข็มให้กับฉางกงกง จากนั้นก็มอบหมายให้หมอหลวงว่าต้องทำทุกวัน ที่จริงหมอหลวงก็มีความรู้ เพียงแต่คุณย่าหยวนได้เพิ่มเติมจุดฝังเข็มอีกหลายจุด บอกว่าสามารถทำให้เห็นผลเร็วขึ้น
จวนอ๋องของหยู่เหวินเทียนอีกไม่กี่วันก็สามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้แล้ว ฮองเฮาก็ไม่ได้มาหาเรื่องเขา นี่ก็ทำให้เขาค่อยๆผ่อนคลายลงมาได้
วันนี้ตอนที่หยวนชิงหลิงเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนไท่ซ่างหวง หวงกุ้ยเฟยได้สั่งให้คนมาเชิญนางไปหา บอกว่าหาตัวแม่นมฉินคนนั้นพบแล้ว
หยวนชิงหลิงจึงรีบไปหา เห็นแม่นมฉินคนนั้นอยู่ในตำหนักของหวงกุ้ยเฟย
ดูไม่ออกว่านางอายุเท่าไหร่ เส้นผมขาวประปราย บนใบหน้ามีจุดด่างดำมากมาย โดยเฉพาะด้านล่างดวงตาข้างซ้ายมีรอยดำขนาดใหญ่ ตั้งแต่บริเวณใต้ตาไปจนถึงกรอบหน้าและยาวไปจนถึงหลังใบหู ดวงตาทั้งคู่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา บนร่างสวมชุดที่ทำจากผ้าหยาบกระด้าง สองมือประสานกันยืนอยู่ตรงนั้น สองมือหยาบกระด้างมาก ช่วงกระดูกข้อต่อของนิ้วมีรอยฉีกขาดของเนื้อหนัง นี่เป็นคนที่ทำงานอย่างหนักมาเป็นแรมปี
หยวนชิงหลิงดูไม่ออกว่านางเหมือนกับหมันเอ๋อตรงไหน ทั้งบุคลิก แววตา ใบหน้า แทบไม่เหมือนกันเลย
“เจ้าก็คือแม่นมฉินที่เคยรับใช้ข้างกายหลอกุ้ยผินหรือ”หยวนชิงหลิงถาม
นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา พูดเสียงต่ำว่า “เรียนพระชายารัชทายาท เมื่อก่อนข้าน้อยเคยรับใช้กุ้ยผินเพคะ”
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”หยวนชิงหลิงถาม
นางลังเลอยู่ชั่วครู่ “ข้าน้อยอายุสี่สิบปีแล้ว”
หยวนชิงหลิงรู้สึกตกใจมาก สี่สิบปี นางเพิ่งจะสี่สิบปี แต่ดูลักษณะของนางแล้ว มากกว่าหกสิบปีด้วยซ้ำ
หวงกุ้ยเฟยก็ตกใจ “เจ้าเพิ่งจะสี่สิบปีหรือ ทำไมดูแล้วจึงแก่กว่าข้าหลายปีนัก”
แม่นมฉินบิดมือทั้งคู่ไปมา “หวงกุ้ยเฟยมีความงามตั้งแต่กำเนิด ฐานะสูงศักดิ์ ย่อมเอาข้าน้อยไปเปรียบเทียบไม่ได้”
“ในวังก็มีข้ารับใช้หญิงชราที่ทำงานหยาบไม่น้อย……”หวงกุ้ยเฟยลังเลไปชั่วครู่ ไม่พูดต่อ ทำให้ดูเหมือนว่านางไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของบ่าวไพร่
หยวนชิงหลิงถาม “เจ้าเป็นคนหนานเจียง ใช่หรือไม่ ”
“เรียนพระชายารัชทายาท ข้าน้อยเป็นบ่าวรับใช้หนานเจียง”
“เจ้ารู้จักแม่นางที่ชื่อหมันเอ๋อหรือไม่ ”หยวนชิงหลิงรู้ว่าถามเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ แต่ว่า ในเมื่อได้พบกับนางแล้ว เจ้าห้าก็บอกแล้วว่านางในเมื่อก่อนคล้ายกับหมันเอ๋อ ก็ถามให้สิ้นเรื่อง
สายตาของแม่นมฉินเต็มไปด้วยความมึนงง “แม่นางหมันเอ๋อ ข้าน้อยไม่รู้จัก”
“ไม่รู้จักหรือ”หยวนชิงหลิงมองนาง ไม่เหมือนกำลังโกหก “เช่นนั้นคงจำคนผิดแล้ว เจ้ากลับไปเก็บข้าวของก่อนเถอะ องค์ชายเก้าบอกว่าจะพาเจ้าออกจากวังไปรับใช้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำงานหยาบในวังอีกแล้ว”
แม่นมฉินได้ยินคำพูดนี้ ก็รีบเงยหน้าขึ้นมา สายตามีแววตื่นตระหนกวาบผ่าน “พระชายารัชทายาท ข้าน้อยอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ ท่านได้โปรดเมตตาด้วย”
หยวนชิงหลิงกับหวงกุ้ยเฟยมองตากันแวบหนึ่ง ในสายตาต่างก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ งานที่นางทำในวังล้วนเป็นงานหยาบที่เหนื่อยและเยอะมาก ออกจากวังแล้วอย่างน้อยก็สามารถสบายขึ้นมาได้บ้าง และไม่มีกฎระเบียบควบคุมมากขนาดนี้ แต่กลับไม่ยอมจากไป
“ทำไมเจ้าจึงไม่ยินดีจะออกจากวัง”หวงกุ้ยเฟยถาม
แม่นมฉินคุกเข่าลง แววตาหวาดกลัว “เรียนหวงกุ้ยเฟย ข้าอยู่ในวังจนชินแล้ว นอกจากทำงานหยาบแล้ว เรื่องอื่นข้าก็ทำอะไรไม่เป็น เกรงว่าจะรับใช้องค์ใช้เก้าได้ไม่ดี พระองค์ได้โปรดเมตตาให้ข้าน้อยอยู่ในวังต่อไป ให้ข้าน้อยทำอะไรก็ได้ ”
“เป็นองค์ชายเก้าที่เป็นห่วงเจ้า เจ้าสมควรต้องสำนึกในบุญคุณ”หวงกุ้ยเฟยรู้สึกโมโหอยู่บ้างที่นางไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่น
แม่นมฉินหมอบคลานอยู่กับพื้น พูดด้วยเสียงสะอื้นไห้ “องค์ชายเก้าซื่อสัตย์จริงใจ ไม่หลงลืมคนเก่าแก่ในวันวาน บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้ ชาติหน้าข้าน้อยขอเกิดเป็นวัวเป็นม้าเพื่อตอบแทน ข้าน้อยขอแค่ได้อยู่รับใช้ในวังจนแก่ตาย หวงกุ้ยเฟยได้โปรดเมตตาอนุญาตด้วยเถิด”
หวงกุ้ยเฟยเห็นนางร้องห่มร้องไห้ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา “พอแล้ว ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เจ้าไปเถอะ”
แม่นมฉินราวกับได้รับการปลดปล่อย โขกศีรษะคำนับขอบคุณแล้วก็รีบถอยออกไปทันที ท่าทีนั้นราวกับกำลังหลบลี้หนีภัยอะไรสักหอย่าง นี่เห็นได้ชัดว่าให้นางได้ไปเสพสุข แต่นางกลับไม่ยินดี หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าน่าประหลาดใจที่สุด