คนกลุ่มหนึ่ง พากันเดินทางมาที่บ้านตระกูลหยวนอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก
เนื่องจากเทียบขอเข้าพบถูกส่งมาที่นี่ตั้งแต่เช้าแล้ว แจ้งมาว่าวันนี้จะมีคนมาเจรจาเรื่องการแต่งงาน เป็นผู้ที่ชื่อว่าสวีอีซึ่งทำงานอยู่ในจวนรัชทายาท ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนจึงสั่งให้คนไปรวบรวมข้อมูล รวมถึงสถานการณ์ทั้งหมดทั้งมวลของสวีอี แล้วนำมารายงานนางทันที
ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม ทุกเหตุการณ์ทุกเรื่องราวตั้งแต่สวีอีเกิดจนถึงเมื่อวานนี้ ทั้งหมดทั้งมวลก็ถูกรวบรวม แล้วส่งไปถึงมือฮูหยินใหญ่อย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น
ตระกูลหยวนแต่ไหนแต่ไรมา จะยกหน้าที่ให้ผู้หญิงเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนผู้ชายจะแค่คอยสนับสนุนอยู่ข้างๆ ดังนั้น เรื่องนี้ก็ยังต้องเป็นผู้หญิงที่รับหน้าที่ออกหน้า แม่ของอะซี่รู้สึกเคร่งเครียดเป็นพิเศษ แม้แต่หยวนหย่งอี้ก็ยังถูกเชิญให้กลับมาทันที
แม่ของอะซี่ถอนหายใจ “ข้าคลอดลูกสาวติดๆ กันมาหลายคน ต้องคอยกังวลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าพวกนางจะแต่งไม่ออก จนต้องยอมขาดทุนเก็บพวกนางเอาไว้ในมือตัวเอง กลายเป็นสาวแก่ทึนทึก
ยังดีที่ถึงแม้ว่าเจ้าอี้จะถูกส่งคืนกลับมา แต่ก็ยังบรรจุห่อเสียใหม่แล้วขายออกไปได้อยู่ อะซี่เป็นคนที่ข้าเป็นห่วงที่สุดแล้ว เด็กคนนี้ทั้งประมาทเลินเล่อ ทั้งนิสัยก็ดูไม่เหมือนเด็กผู้หญิงเอาเสียเลย
เดิมทีคิดว่านางคงจะขึ้นคานขายไม่ออกแน่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนต้องตานางจนได้ ท่านแม่เจ้าคะ เป็นเพราะการใคร่ครวญอันรอบคอบของท่านแท้ๆ ที่ส่งนางไปเปิดหูเปิดตา หาประสบการณ์ที่จวนอ๋องฉู่ ถึงเป็นสินค้าขายออกกับเขาได้เสียที”
จนถึงตอนนี้ แม่ของอะซี่ทำการค้าขายมาโดยตลอด ดังนั้นคำพูดของนางจึงเต็มไปด้วยการแทนลูกเป็นสินค้า และเรื่องการค้าการขาย
ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เจ้าจงมั่นใจในตัวหญิงสาวตระกูลหยวนของพวกเราเถอะ ไม่ต้องกังวลเรื่องนิสัยใจคอห้าวหาญอะไรนั่นหรอก เพราะถึงอย่างไร นั่นก็นับว่าเป็นจุดขายอย่างหนึ่งที่คนนิยมมากเช่นกัน”
คำพูดนี้ ใช้เป็นคำพูดหลอกตัวเองแน่นอนแล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ มีใครมาถามไถ่สู่ขอหญิงสาวในตระกูลหยวนด้วยหรือ?
คนที่มีสถานะเดียวกัน พวกเขาต่างก็ดูถูกเหยียดหยามหญิงสาวตระกูลหยวนกันหมด ไม่มีใครต้องตาพวกนางเลย
เมื่อสถานะไม่เหมาะสมกัน พวกเขาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องปีนป่ายกิ่งสูงอะไร เพื่อหลีกเลี่ยงความโกรธเกรี้ยวที่อาจถูกรังแก และจะอย่างไรก็ตาม ตระกูลหยวนก็ยังขึ้นชื่อในเรื่องความเผด็จการมีอำนาจในเมืองหลวงไม่น้อย หนึ่งในขวากหนามที่ใหญ่ที่สุด ก้าวผ่านได้ยากที่สุด ก็คือฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลหยวนนั่นเอง
ในสายตาของใครหลายๆ คน ตระกูลหยวนนั้นไร้เหตุผล ไม่เหมือนกับตระกูลอื่นๆ ทั่วไป เนื่องจากเอกลักษณ์หนึ่งของคนทั่วๆ ไป จะมีการตั้งกฎเกณฑ์บางอย่างขึ้นมา เพื่อควบคุมผู้คนภายใต้สำนักหรือใต้การปกครองของตน แต่เพราะเมื่อไหร่ตามที่มีคนรู้จักพูดถึงกฎเกณฑ์ ย่อมหมายถึงความมีมาตรฐานทางศีลธรรม
แต่ตระกูลของพวกเขาไม่มีอะไรแบบนั้น ประพฤติทุกอย่างไปตามความชอบและไม่ชอบ ดังนั้น บรรดาลูกชายลูกสาวของตระกูลหยวน จึงมักประสบปัญหาคือ ถ้าไม่ใช่หาภรรยามาแต่งด้วยไม่ได้ ก็คือหาสามีมาแต่งด้วยไม่ได้
อะซี่กลับมาเมื่อคืน แต่ไม่ได้รู้ว่าสวีอีจะมาเจรจาสู่ขอวันนี้ นางแค่อยากจะมาทักทายกับคนในครอบครัวก่อน แล้วเตรียมจิตเตรียมใจให้พร้อมเท่านั้น แต่จู่ๆ พระชายารัชทายาทก็สั่งให้คนมาส่งเทียบขอเข้าพบโดยตรง แล้วอธิบายอย่างชัดเจนในนั้นเลยว่าจะมาเจรจาสู่ขอ
หยวนหย่งอี้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ” ทำไมพี่หยวนถึงเป็นคนมาเจรจาสู่ขอให้สวีอีล่ะ? ทำไมพ่อแม่ของเขาไม่มาล่ะเจ้าคะ? ”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนพูดด้วยน้ำเสียงชืดชาว่า: “ข้าสั่งให้คนไปตรวจสอบมาแล้ว สวีอีเป็นลูกชายของอดีตภรรยาคนแรก เขาแค่มีตัวตนอยู่ในตระกูล
แต่ไม่มีสถานะอะไร พ่อแม่เขาดูถูกผู้ฝึกวรยุทธ์อย่างพวกเรา ในตระกูลมีบัณฑิตที่กำลังร่ำเรียนเพื่อจะไปเป็นขุนนาง ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้”
หยวนหย่งอี้พยุงท้องใหญ่ๆ ของตัวเอง โกรธจนหน้าแดงก่ำลามไปจนถึงใบหู ” ผู้มีวรยุทธ์มันทำไมรึ? แว่นแคว้นดินแดนนี้ได้รับการคุ้มครองจากพวกบัณฑิตที่วันๆ เอาแต่นั่งเรียนหนังสือเหล่านั้นหรือไร?”
ฮูหยินใหญ่พูดด้วยใบหน้าเย็นชา: “ไยต้องไปสนใจพวกนั้นด้วย? อะซี่ไม่ได้แต่งงานกับพวกนั้น แต่แต่งกับสวีอีต่างหาก ขอแค่เจ้าหนุ่มสวีอีนั่นมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ในทุกๆ ด้าน เรื่องนี้ก็เป็นอันตกลงตามนี้”
ทันทีที่ฮูหยินใหญ่ให้คำขาด ทุกคนในตระกูลต่างพยักหน้ารับ
บรรดาพระชายาทั้งสาม พาสวีอีที่บัดนี้มีมาดสามีผู้ยิ่งใหญ่มาปรากฏตัวที่หน้าประตูจวนตระกูลหยวน เขาประหม่ามากจนแทบคุมสติไม่อยู่ แต่เมื่อเขาก้าวข้ามธรณีประตูของตระกูลเข้าไปในห้องโถงใหญ่ แล้วได้เผชิญหน้ากับบรรดาผู้หญิงทุกคนที่พากันจ้องมองเขาเป็นตาเดียว เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่า ความเคร่งเครียดประหม่าที่เกิดระหว่างทางที่มานั้นไม่นับเป็นอะไรได้ แต่ที่เผชิญอยู่ตอนนี้จนทำเอาขาทั้งสองข้างสั่นระรัวนี่ต่างหากถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ประหม่าที่สุดในชีวิต
หนังศีรษะของเขาชาหนึบ ร่างกายแข็งทื่อ เรียกว่าอึดอัดมากเสียจนต้องบีบไม้บีบมือตัวเองอย่างเก้อเขิน รู้สึกเหมือนมีเสียงดังวิ้งๆ ในหู เขาสอดส่ายสายตามองหาร่างของอะซี่โดยไม่รู้ตัว จนเห็นอะซี่ที่หลบอยู่ข้างหลังฮูหยินใหญ่ กำลังแสดงสีหน้าเขินอายครึ่งหนึ่ง ทำไมถึงไม่มีผู้ชายอยู่ในบ้านนี้เลยล่ะ?
พระชายารัชทายาทกำลังคุยกับฮูหยินใหญ่ แต่ดวงตายังคงจับจ้องมาที่เขา กวาดไล่สายตาจากบนลงล่าง เขารู้สึกว่าแม้แต่เส้นผมบนหัวเขาทุกเส้น ก็ยังโดนฮูหยินใหญ่นับได้อย่างชัดเจนครบถ้วนเลยทีเดียว เขาไม่รู้ว่าสายตาที่มองมานั้นมีหมายความว่าอย่างไร ตัวเขาเองก็ไม่กล้าถาม ได้แต่ก้มหน้าลงจนต่ำ
ช่วงเวลาที่กระอักกระอ่วนเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่สร้างความลำบากใจโดยแท้
ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนเอนตัวเข้าไปใกล้หูของหยวนชิงหลิง กระซิบถามขึ้นว่า: “ทำไมถึงดูแล้วเหมือนคนโง่สมองทึบเลย?”
“อายุยังน้อย คงประหม่าน่ะ” หยวนชิงหลิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนร้อง “อ๋อ” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง กวาดสายตามองอีกสองสามครั้งแล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าวรยุทธ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
“สามารถลองดูได้เจ้าค่ะ!” หยวนชิงหลิงยิ้ม
แม่ของอาซีพูดขึ้นจากด้านข้างว่า “ใช่! ไม่ว่าจะเอาหรือไม่เอา ก็สามารถลองดูก่อนได้ แค่ลองไม่ต้องเสียเงิน”
เรื่องทดสอบวรยุทธ์ เป็นเรื่องที่สวีอีรู้สึกเป็นธรรมชาติกว่า อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ช่วงสองปีมานี้ เขาตั้งใจจริงจังในการฝึกฝนวรยุทธ์มาก ดังนั้น เมื่อได้ยินว่าจะลองทดสอบวรยุทธ์ ชั่วขณะนั้น เขาเหมือนไก่ตัวผู้ที่เตรียมพร้อมลงสนามต่อสู้ เงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจทันที เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เขาดูมีเสน่ห์ที่สุด หลังจากก้าวเท้าเข้ามาในจวนแห่งนี้เลยทีเดียว
คนกลุ่มหนึ่งลงไปที่ลานฝึก มองไปที่สวีอี ที่เวลานี้ยืนถือกระบี่ในมือด้วยท่าทางเตรียมพร้อม ช่างดูแล้วไม่ธรรมดาเสียจริง
ในเวลานี้ ในที่สุดสวีอีก็ได้เจอบรรดาพี่เขยน้อยใหญ่ในอนาคตของตัวเอง พวกเขาผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาประลองเพลงยุทธ์ จากหมัดมวยกังฟูเป็นเพลงดาบ กระบี่ ง้าว และขวาน แต่ละคนต่างใช้กระบวนท่าที่ตนถนัดเข้าทดสอบ
ตอนแรกหยวนชิงหลิงก็เป็นกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะท่าทางของสวีอีดูๆ ไปเหมือนว่าจะไม่ค่อยร้ายกาจอะไรนัก แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับมีพละกำลัง และความสามารถในการต่อสู้มากขนาดนี้ ด้วยเพลงหมัดที่เตะต่อยได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพลงกระบี่อันประณีตมีรายละเอียด กระทั่งกระบองยาวธรรมดาๆ ก็ยังสามารถนำมาใช้ได้อย่างโดดเด่นยิ่งนัก
เมื่อเห็นสีหน้าพึงพอใจของฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวน หัวใจของหยวนชิงหลิงที่เต้นระส่ำระสายอยู่ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
เมื่อการต่อสู้จบลง บรรดาพี่ชายของอาซี่ก็ก้าวไปข้างหน้า แล้วจับมือสวีอีอย่างกระตือรือร้น พลางเรียกเขาว่าน้องเขยๆ กันจนเซ็งแซ่
สวีอีที่ถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชน หันหน้ากลับไปมองหยวนชิงหลิงอย่างขอความช่วยเหลือ หยวนชิงหลิงให้กำลังใจเขาด้วยการส่งรอยยิ้มไปให้ พลางยกมือขึ้นเพื่อบอกให้เขาไป
สวีอีจึงถูกล้อมกรอบเข้าไปในห้องโถงข้างทั้งสภาพนี้ แล้วเริ่มพูดคุยกับพวกผู้ชาย
ในห้องโถงใหญ่ ยังคงเป็นโลกของผู้หญิง
ฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนมองไปที่อะซี่ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้ายืนยันหรือไม่ ว่าจะเลือกผู้ชายคนนี้?”
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอื่นอยู่ อาซี่ก็พยักหน้าอย่างขวยเขินแล้วพูดว่า “ท่านย่า หลานยินดีแต่งให้เขาเจ้าค่ะ”
“นิสัยใจคอเขาเป็นเช่นไร เจ้าย่อมรู้ดีกว่าพวกเรา นี่คือคนที่เจ้าเลือกด้วยตัวเอง แม้ว่าในวันนี้เขาจะไร้ทรัพย์สินศฤงคารใดๆ พวกเราก็จะเคารพในการตัดสินใจของเจ้า แต่ในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าได้โทษคนในครอบครัวของเจ้า ในเมื่อนี่คือคนที่เจ้าเลือกเอง ก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมาด้วยตัวเองให้ได้ จงรู้จักแบกความผิดชอบของตัวเอง รู้หรือไม่?” ฮูหยินใหญ่พูด
“ข้ารู้เจ้าค่ะ” อะซี่คุกเข่าลงบนพื้น “ขอบคุณที่ท่านย่าอนุญาตเจ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถอะ” ฮูหยินใหญ่ถอนหายใจ สีหน้าดูมีความยินดี แต่ก็แฝงความหมองเศร้าน้อยๆ เมื่อลูกๆ โตขึ้น จะช้าเร็วก็ต้องแต่งออกไปสักวัน โชคยังดีที่คนที่หามาได้คนนี้ก็นับว่าไม่แย่อะไร “ยังมีเรื่องครอบครัวของเขาที่ข้าต้องบอกเจ้าก่อน เมื่อเจ้าแต่งเข้าไป ชะรอยว่าคงจะไม่มีพ่อแม่สามีให้พึ่งพา จะมีแค่พวกเจ้าสองคนในครอบครัวเล็กๆ เรื่องราวน้อยใหญ่พวกเจ้าล้วนต้องตัดสินใจเอง
เจ้าต้องจำสิ่งที่ย่าพูดให้ดี จงเชื่อใจซึ่งกันและกัน เคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่อาจทำนิสัยหยิ่งผยองอวดดีเหมือนที่ผ่านมาได้อีก ตอนนี้เขาสามารถทนเจ้าได้
เพราะอาจคิดว่าความเย่อหยิ่งอวดดีของเจ้าดูน่ารัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป คำโบราณที่ว่าแรกรักน้ำต้มผักยังว่าหวานก็จะค่อยๆ จางหายไป เจ้าจึงต้องดูแลเอาใจใส่ความรู้สึกของผู้อื่น อย่ายึดความคิดตัวเองเป็นศูนย์กลาง อยากก้าวไปข้างหน้า
โดยเฉพาะจุดนี้ การจะก้าวไปข้างหน้าต้องรู้จักก้าวไปพร้อมๆ กัน เติบโตไปพร้อมๆ กันกับวันและปีที่เพิ่มขึ้น ต้องมีสติสัมปชัญญะแจ่มชัด เสริมสร้างอุปนิสัยที่เข้าอกเข้าใจกัน ชีวิตเช่นนี้ถึงจะอยู่กันยืนยาวต่อไปได้ เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจเจ้าค่ะ!” เสียงของอะซี่เจือสะอื้นน้อยๆ
เมื่อได้ฟังคำพูดของฮูหยินใหญ่ หยวนชิงหลิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า คำพูดของนางช่างเรียบง่ายและไม่โอ้อวด แต่เป็นอาวุธวิเศษสำหรับคนเป็นสามีภรรยาในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ ภูมิปัญญาของนาง มาจากความเข้าใจโลกอย่างถ่องแท้ของนางเอง แม้จะได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองมามากมาย ก็ยังสามารถรักษาความคิดที่ธรรมดาที่สุดไว้ได้ไม่สั่นคลอน
ลูกสาวแต่งงาน เพื่อผลประโยชน์อะไร ? เศรษฐีร่ำรวยก็ไม่ได้แปลว่าจะดีเสมอไป การประคับประคองกันไปได้ตลอดชีวิตต่างหาก ถึงจะเป็นความสุขที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ทางฝั่งของตระกูลหยวนนี้ เจรจากันได้ง่ายมาก บางทีก็อาจเป็นจริงอย่างที่ฮูหยินใหญ่พูด แม้ว่าท่าทางของสวีอีวันนี้จะดูไม่ดี แต่พวกเขาต่างเคารพในความปรารถนาของอะซี่ จึงอนุญาตให้พวกเขาแต่งงานกันได้
ในทางกลับกัน ทางฝั่งตระกูลสวีที่แสดงท่าทางแบบนั้นออกมา เป็นอะไรที่บอกได้คำเดียวว่าน่าหัวเราะในความขลาดเขลาเบาปัญญาเสียจริง