หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “เจ้าเพิ่งจะสร้างจวน ยังมีอะไรที่ต้องใช้จ่ายอีกมากนัก อย่าได้สิ้นเปลืองเงินทองนักเลย”
หยู่เหวินเทียนปิดปากแอบหัวเราะ “พี่ห้า เงินรางวัลหนึ่งพันตำลึงทองนั่นข้ายังใช้ไม่หมดเลย อีกทั้งของได้เปล่าเหล่านั้นข้าก็เก็บจนหมดเรียบร้อยแล้ว”
เนื่องจากการสืบสาวว่าเงินก้อนนี้ในคลังไปอยู่ที่ไหน จนพบได้ว่าเป็นทางตำหนักฮองเฮานำออกไปเป็นรางวัลมอบให้เจ้าเก้า แน่นอนว่าหวงกุ้ยเฟยย่อมไม่ต้องจ่ายคืนกลับไป แต่เป็นฮองเฮาที่ต้องเป็นคนจ่ายคืนกลับไป
ด้วยอุบายที่ขโมยไก่ไม่สำเร็จ ยังเสียข้าวสารอีกเป็นกำเช่นนี้เอง * (แปลว่าฉวยโอกาสไม่ได้ไม่พอ ตัวเองยังต้องขาดทุนอีกด้วย) จึงทำให้ฮองเฮาถึงกับข่มตานอนไม่หลับไปหลายคืนทีเดียว
หยวนชิงหลิงมองไปที่กองของขวัญ พลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “เอาเถอะ ในเมื่อส่งมาให้แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็รับไว้เถอะนะ”
นางหันไปมองแม่นมฉิน “รบกวนเจ้ายกของขวัญเหล่านี้ แล้วตามข้าไปที่ห้องเก็บของหน่อย!”
แม่นมฉินค้อมกายลงพลางตอบรับว่า “เพคะ!”
“พวกเจ้าพี่น้องคุยกันไปก่อนนะ ข้าไปครู่เดียว แล้วจะรีบกลับมา” หยวนชิงหลิงพูด
หยู่เหวินเทียนหันไปมองหยวนชิงหลิง “พี่สะใภ้ห้า ตอนนี้ท่านคงน้ำหนักมาก อย่าเดินไปไหนมาไหนเองเลย แค่เรียกข้ารับใช้สักคนมาจัดการก็พอแล้ว”
“ไม่เป็นไร ข้าควรจะเดินให้มากสักหน่อย เพื่อที่เวลาคลอดจะได้ราบรื่น” หยวนชิงหลิงพูดจบก็พาแม่นมฉินเดินออกไป
ทั้งสองเดินอย่างไม่เร่งรีบ เมื่อพวกนางเดินไปถึงระเบียงทางเดินรอบจวน หยวนชิงหลิงก็พูดกับนางว่า: “ที่จริงเจ้าไม่ควรมาเลย เจ้าถูกคนจับตามองแล้ว ใครๆ ต่างก็รู้ว่าในจวนของข้ามีสาวใช้ชาวหนานเจียงอยู่คนหนึ่ง เจ้าจะดึงดูดสายตาพวกคนที่มีเจตนาร้ายมาที่นี่ทั้งหมด วันนั้นข้าพูดทุกอย่างกระจ่างแล้ว ว่าข้าเชื่อเจ้า ตัวเจ้าสู้อดทนหลบซ่อนอยู่ในวังมาได้ตั้งนานหลายปีแท้ๆ มาถึงตอนนี้แค่อดทนรอต่อไปอีกหน่อย ทำไมถึงรอไม่ได้เสียแล้วล่ะ?”
แม่นมฉีก้มหน้าลง “ข้าน้อยไม่รู้ว่าพระชายารัชทายาทพูดเรื่องอะไรจริงๆ เพคะ วันนี้ข้าน้อยเพียงแค่ติดตามอ๋องชุนมาส่งของขวัญเท่านั้น”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้ ก็พาลอดโกรธไม่ได้ “สิ่งที่เจ้าควรระวังกลับไม่ระวัง แต่กลายเป็นว่ามาคิดระวังข้าแทนอย่างนั้นรึ?”
แม่นมฉินชำเลืองสายตามองนางอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้พูดอะไร
หยวนชิงหลิงพูดอีกว่า “โชคดีที่จวนอ๋องฉู่จัดเตรียมคนเฝ้าระวังไว้ทั่วทั้งจวน ไม่ว่าจะสายลับของใครก็เล็ดลอดเข้ามาไม่ได้ อีกทั้งวันนี้เจ้าตามน้องเก้ามาส่งของขวัญ ถ้าเจ้ามาคนเดียวล่ะก็ ข้ากลัวว่าจะโดนเจ้าทำให้โกรธจนอกแตกตายไปแล้ว ถ้าหากเจ้ายังหวังให้หมันเอ๋ออยู่รอดปลอดภัย ก็จงระงับความปรารถนาที่จะได้พบหน้านาง อดทนต่อไปอีกสักพัก จะต้องมีสักวัน ที่พวกเจ้าแม่ลูกจะได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้งแน่”
แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะพูดเช่นนั้น แต่ในใจนางก็ยังมีความกังวลอยู่ลึกๆ คนรอบตัวนางล้วนตกอยู่ในสายตาของผู้คนจำนวนมากมานานแล้ว มีคนตั้งเท่าไหร่ที่เฝ้าจับตามอง?
เรื่องที่หมันเอ๋อมาจากหนานเจียงก็ไม่ใช่ความลับอะไร ยังดีที่นางเคยทำงานอยู่ในเมืองหลวงมาหลายที่ ทั้งทำงานหนักและใช้ชีวิตที่ยากลำบาก ความน่าสงสัยของชีวิตในอดีตที่ผ่านมาจึงมีไม่มาก ต้องขอบคุณการจัดเตรียมที่เหมาะสมยอดเยี่ยมของแม่สามีของนาง ถึงไม่ทำให้เกิดข้อสงสัยในสายตาของคนอื่น
หยวนชิงหลิงก็เป็นแม่คน นางรู้ดีว่าแม่ทุกคนย่อมต้องคิดถึงลูกของตัวเอง ดังนั้น แม้ว่านางจะไม่ค่อยพอใจกับท่าทีของแม่นมฉินเท่าไหร่ แต่ก็ยังให้คนไปเรียกหมันเอ๋อมาอยู่ดี สั่งให้นางช่วยจัดเก็บบรรดาของขวัญ แล้วค่อยไปทักทายปราศรัย เชิญแม่นมฉินดื่มชากินขนมไปตามเรื่องราว หลังสั่งการเสร็จสิ้นแล้ว รีบเชิญนางไปที่ห้องครัว ยกขนมที่เพิ่งทำวันนี้ออกมา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า ” ท่านมีลาภปากแล้ว นี่เป็นขนมที่แม่นมสี่ทำให้พระชายารัชทายาท ช่วงนี้ พระชายารัชทายาทไม่ค่อยชอบกินของหวาน เอาใส่ไว้ในหม้อยังร้อนๆ อยู่เลย รสชาติดีนัก!”
แม่นมฉินมองนางด้วยสายตาที่ดูคลุมเครือ “ เจ้ากินหรือยัง ? อย่างไรก็นั่งลงแล้วกินด้วยกันดีหรือไม่? ”
“ข้ากินแล้วเจ้าค่ะ วันนี้ข้ากินอิ่มมากเสียจนกินขนมต่อไม่ไหวแล้วล่ะ” หมันเอ๋อนั่งลงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า เถอะเจ้าค่ะ ถ้ารอจนมันเย็นแล้วจะไม่อร่อย แม่นมบอกว่า คนมีอายุไม่ควรกินของเย็นๆ ”
นางหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วคีบขนมให้แม่นมฉินชิ้นหนึ่ง “ในนี้ใส่นมแพะด้วย ตีไข่กับแป้งสาลีจนขึ้นฟูเป็นแป้งข้น แล้วใส่น้ำตาลทรายแดงกับเกล็ดมะพร้าวลงไปด้วย รสชาตอร่อยกลมกล่อมยิ่งนัก”
“ซับซ้อนอะไรเช่นนี้ ? มันมีชื่อเรียกว่าอะไรรึ? ”แม่นมฉินมองดูขนมที่มีสีออกเหลืองนวลๆ ซึ่งนางไม่เคยเห็นมาก่อน
“ เรียกว่าขนมต้านเกา (ขนมเค้ก) พระชายารัชทายาทสอนแม่นมสี่ทำเจ้าค่ะ”
“ขนมต้านเกา?” แม่นมฉินกินเข้าไปคำหนึ่ง มีรสหวานน้อยๆ ไม่เลี่ยนมาก กลิ่นน้ำนมหอมเด่นขึ้นจมูก เป็นขนมที่อร่อยจริงมากจริงๆ จึงคีบให้หมันเอ๋อไปชิ้นหนึ่ง “เจ้าก็กินด้วยกันเถอะ กินสักคำ”
หมันเอ๋อแอบมองออกไปแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ จึงคีบขนมใส่ปากกินทันที
เมื่อแม่นมฉินเห็นดังนั้น แววตาก็พลันเย็นเยียบลงทันที “พวกเขาไม่ให้เจ้ากินอย่างนั้นรึ?”
“ ไม่ใช่หรอก ข้าสามารถกินได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ ” หมันเอ๋อตอบ
แม่นมฉินมองนางนิ่ง ริมฝีปากสั่นเทา “เจ้าอย่าโกหกข้าเลย เมื่อครู่เจ้าอยากจะกินสักคำ ยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ แอบมองก่อนเลย”
ทำเป็นพูดว่าจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องนาง สุดท้ายพระชายารัชทายาทก็เป็นแค่คนปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอคนหนึ่งเท่านั้น พอลับหลังก็โหดร้ายใจดำสิ้นดี
หมันเอ๋อกลับแลบลิ้นด้วยท่าทางเขินอายพลางพูดว่า “ไม่ใช่ว่าหลบๆ ซ่อนๆ หรอกเจ้าค่ะ เพราะข้าเพิ่งสาบานไปเมื่อสองวันก่อนว่าจะไม่ตะกละอีก เลยไปเรียกแม่นางอะซี่กับลู่หยา มาเป็นคนช่วยคุมปากให้ ก็เลยกลัวว่าถ้าพวกนางมาเห็นจะว่าให้ข้าได้”
“ จริงรึ? ” แม่นมฉินกลับรู้สึกไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ “ เจ้าอยู่ในจวนอ๋องฉู่ พระชายารัชทายาทกับคนอื่นๆ ปฏิบัติกับเจ้าดีหรือไม่? ”
“ดีมากจนไม่รู้จะดีอย่างไรเชียวล่ะ” หมันเอ๋อพับฝ่ามือแนบลงไปบนโต๊ะ แล้วพยักหน้าตอบรับอย่างหนักแน่น “ทุกคนในจวนปฏิบัติกับข้าดีที่สุดเลย ดังนั้น ตอนที่ท่านให้ข้าไปที่จวนอ๋องชุนในวันนั้น ข้าจึงไปไม่ได้ ชีวิตนี้ของข้าพระชายารัชทายาทเป็นคนช่วยไว้”
“พระชายารัชทายาทช่วยเจ้าไว้หรือ? ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเผชิญกับอันตรายมาอย่างนั้นรึ ?” แม่นมฉินวางตะเกียบลง จ้องมองนางด้วยท่าทีเคร่งเครียด
หมันเอ๋อจึงบอกเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ทั้งหมด นับตั้งแต่ตอนที่นางทำงานรับใช้อยู่ข้างกายฉู่หมิงหยาง ไปจนถึงแผนการตกองค์ชายรัชทายาท จนกระทั่งได้เข้ามาอยู่ในจวนอ๋องฉู่ให้แม่นมฉินฟังโดยละเอียด
พูดจบ นางก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นอีกว่า: “ดังนั้น ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้ก็เรียกได้ว่าดีขึ้นมากๆๆๆ เชียวล่ะ สมัยก่อนตอนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้เงื้อมมือของคุณหนูรอง ถ้าอยากจะกินให้อิ่ม ก็ต้องปล่อยให้นางทุบตีจนพอใจสักยกหนึ่งก่อน
ข้าในตอนนั้นไม่เคยมีสภาพเนื้อหนังดีๆ เลยสักวัน มีแต่รอยเขียวช้ำดำม่วงไปทั่วทั้งตัว มาถึงตอนนี้ได้เข้ามาอยู่ในจวนอ๋องฉู่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องถูกทุบตีเลย กระทั่งจะดุด่าสักคำก็ยังไม่มี ข้าอยากกินอะไร ขอแค่ข้ากินมันได้ไหว อยากกินเท่าไหร่ก็มีให้เท่านั้น อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ได้เข้ามาที่จวนอ๋องฉู่ ข้ากับหูหมิง …. ก็คือขอทานน้อยที่ข้าได้เจอคนนั้น พวกเราสองคนก็ไม่เคยต้องทนหิวอีกเลย”
แม่นมฉินฟังจบ นางก็เงียบไป ไม่ได้พูดอะไรเป็นนานสองนาน แค่จ้องมองนางนิ่งๆ จากนั้นน้ำตาก็ไหลท่วมนัยน์ตาออกมาโดยไม่รู้ตัว
หมันเอ๋อตกใจจนผงะ “ท่านร้องไห้ทำไมรึ?”
แม่นมฉินยื่นมือออกมาเช็ดน้ำตาที่มุมขอบตา ยกยิ้มอย่างฝืดฝืน”ข้าแค่รู้สึกทรมานใจแทนเจ้าน่ะ คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อก่อนเจ้าจะมีชีวิตที่ยากลำบากมากมายขนาดนี้”
หมันเอ๋อมองนาง รู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย “ ท่านใจดีจริงๆ ”
“เพราะข้าเองก็มาจากหนานเจียงเช่นกัน” แม่นมฉินก้มหน้าลง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง ถ้านางไม่ข่มกลั้นตัวเองไว้ น่ากลัวว่านางคงถลาเข้าไปกอดหมันเอ๋อร้องไห้ด้วยความทุกข์ตรมแล้วเป็นแน่
เดิมทีนางเป็นถึงธิดาของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตที่ลำบากทุกข์ยากแบบคนรับใช้ ถูกทำให้อับอาย ถูกคนรังแก โชคยังดีที่ตอนนี้นางได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายขึ้นมาบ้างแล้ว
“ข้าฟังออกอยู่ สำเนียงของชาวหนานเจียงเราเป็นเอกลักษณ์ อย่างไรก็ไม่สามารถลบล้างได้” หมันเอ๋อยกยิ้มอย่างไร้เดียงสา
แม่นมฉินลองถามอย่างไม่แน่ใจ: “เรื่องราวในอดีต เจ้ายังพอจำได้มากน้อยแค่ไหนรึ?”
หมันเอ๋อส่ายหน้า “ข้าจำอะไรไม่ได้มากนัก ยังจำเรื่องราวเมื่อหลายวันก่อนได้บ้าง แล้วก็ยังมีฝันร้ายด้วย แต่ตอนนี้พอลองนึกย้อนไป กลับจำไม่ได้แล้วว่าฝันถึงเรื่องอะไร”
“ฝันร้ายรึ?”
“อื้ม หลังจากฝันแล้ว ก็ยังมีกระโดดลงไปในทะเลสาบด้วย แต่จะพูดไปก็นับว่าบังเอิญนักที่อ๋องชุนเป็นคนมาช่วยข้าไว้ หลังจากนี้ข้าต้องไปขอบคุณเขาให้มากแล้ว”
แม่นมฉินคิดไม่ถึงว่ายังมีเรื่องเช่นนี้ด้วย จึงอดรู้สึกขอบคุณอ๋องชุนไม่ได้ นางมองไปที่หมันเอ๋อแล้วพูดเตือนนางว่า “ถ้าเจ้าลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว ก็อย่าฝืนนึกถึงอะไรที่ลืมไปแล้วเลย มันจะทำร้ายชีพจรการไหลเวียนในหัวใจ นำไปสู่อาการเลือดไหลย้อนกลับ พูดโดยสรุปคือ ไม่ว่าใครจะถามอะไรเจ้า ก็อย่าได้ฝืนบังคับตัวเองให้คิดเรื่องนี้ให้ออก ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายมาก”
“ ข้าเองก็จำอะไรไม่ค่อยได้หรอก ความจำข้าไม่ค่อยจะดีเจ้าค่ะ” แววตาของหมันเอ๋อสดใสเป็นประกายระยิบระยับ ยิ้มพลางแลบลิ้นน้อยๆ ดูซุกซนขี้เล่น มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง