หยวนชิงหลิงค่อนข้างไร้ความรู้สึกอะไรกับเรื่องพวกนี้ไปแล้ว เจ้าห้ามีความคิดที่จะทำสิ่งไม่ดี
อยู่ด้วย แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะทำอะไรแบบนี้หรอก ดังนั้น นางจึงพูดไปพลางเดินไปพลางว่า: “ข้าแค่คิดว่าเสี้ยวหงเฉิงติดตามเจ้ามานาน เจ้าไม่ควรใจดำกับนางจนเกินไป
“ระหว่างพวกเราก็หยอกเย้าเล่นหัวกันแบบนี้มาตลอดนะ กับหลู่หมาง เจ้าหวาง พี่ซูก็เป็นแบบนี้ นี่คือมิตรภาพของพวกเรา” หยู่เหวินเห้ารีบอธิบาย
หยวนชิงหลิงไม่เคยสงสัยแม้แต่น้อย ว่ามิตรภาพของพวกเขามันแข็งแกร่งขนาดไหน “เรื่องอื่นน่ะ ยังพอจะเล่นหัวหยอกเย้ากันได้ แต่เจ้ารู้จักเสี้ยวหงเฉิงมานานขนาดนี้แล้ว เจ้าเคยเห็นนางแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างวิจิตรขนาดนี้หรือไม่? คนที่นางจะไปพบคืนนี้ คงต้องมีความสำคัญกับนางมากแน่ๆ นางมีท่าทางเคร่งเครียดประหม่าอยู่ตลอดเวลาเลย เจ้าดูไม่ออกเลยรึ?”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “แต่คนคนนั้นที่นางชอบ ไม่อาจอยู่ร่วมกับนางได้นะ”
“คนเราก็ไม่แน่หรอกว่าจะชอบคนคนเดียวไปตลอดชีวิต” หยวนชิงหลิงมองเขาด้วยสายตาจนใจ ใครบ้างที่ยังไม่เคยเจอผู้ชายเลวๆ ? แต่หลังจากได้เจอผู้ชายเลวๆ แล้ว จะไม่ควรมีโอกาสได้พบเจอกับความสุขอีกเลยอย่างนั้นหรือ?
หยู่เหวินเห้าถูกคำพูดประโยคนี้ทุบเข้ากลางอกจนเจ็บแปลบ รีบโต้เถียงอย่างลนลานว่า: “คนเราควรชอบคนคนเดียวไปตลอดชีวิตนะ เจ้าหยวน ความคิดนี้ของเจ้าอันตรายนัก”
หยวนชิงหลิงกลอกตามองบนใส่ “ข้าแต่งงานกับเจ้าแล้ว ทั้งยังไม่มีความคิดที่จะหย่า ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถยกตัวอย่างได้ แต่คนที่เสี้ยวหงเฉิงได้พบก่อนหน้าคนนั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้ไม่อาจอยู่ร่วมกับนางได้ ก็เป็นข้อสรุปแล้วว่าไม่ควรเก็บเขาไว้ในใจอีกต่อไป เสี้ยวหงเฉิงคู่ควรที่จะมีความสุข ถ้านางจะได้เจอผู้ชายที่ดี เราก็ควรให้กำลังใจนางถึงจะถูก”
เดิมทีหยวนชิงหลิงยังคิดอยากจะพูดอะไรอีกซักสองสามประโยค ที่จริงเสี้ยวหงเฉิงก็ช่วยนางได้เยอะมาก ไม่ว่างานที่เกี่ยวกับหน้าที่การงานหรือเป็นงานส่วนตัว ขอแค่ต้องการ นางจะอาสาออกโรงไปเผชิญกับความยากลำบากและภัยอันตรายอย่างห้าวหาญ ทั้งคู่เป็นหนี้เสี้ยวหงเฉิงมากจริงๆ แต่นางกับเสี้ยวหงเฉิงไม่ค่อยคุ้นเคยกันนัก ดังนั้น จึงมีบางเรื่องที่นางช่วยอะไรไม่ได้ แต่เจ้าห้าควรทำหน้าที่ในฐานะเพื่อนสนิทอย่างเหมาะสม
แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะไม่ถาม แต่หยู่เหวินเห้าก็ยังอธิบายเรื่องของ ป้ายชื่อของหอจุ้ยชุนคนนั้นให้นางฟังอยู่ดี
ก่อนหน้านี้ หยู่เหวินเห้าเคยทำการแอบสืบสวนเองแบบลับๆ เกี่ยวกับคนรอบตัวของเจ้าสี่ พบว่ามีหลายคนที่ทำการติดต่อกับผู้หญิงคนหนึ่งอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ เขายังเห็นผู้หญิงคนนั้นเข้าออกในจวนด้วยตาตัวเอง ดังนั้นจึงมอบหมายให้เสี้ยวหงเฉิงไปสืบดูเสียหน่อย
ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่า ผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นสายลับคนหนึ่งของหงเย่ ที่ถูกส่งมาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง
หยวนชิงหลิงได้ยินเขาพูดถึงอ๋องอาน ก็ถามว่า “มีข่าวอะไรส่งกลับมาจากทางเจ้าสี่บ้างหรือไม่? พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เจ้าสามส่งจดหมายมา บอกว่าอาการบาดเจ็บของพระชายาอานตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว เจ้าสี่ก็ดูสงบขึ้นมาก ในสถานที่เช่นนั้น ไม่สงบก็คงไม่ได้ล่ะนะ ปลาตัวใหญ่ยักษ์ตัวนี้ของเขา เหมือนจะดิ้นมาเกยน้ำตื้นจนไม่สามารถเล่นกลอุบายอื่นได้แล้ว เกรงว่าคงจะตั้งตารอความช่วยเหลือจากเมืองหลวงมากกว่าแล้วล่ะ”
“พระชายาอานไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว ” หยวนชิงหลิงนั่งลง รู้สึกว่าท้องแน่นขึ้นอย่างหนัก หายใจไม่ค่อยสะดวก “ไม่รู้ว่าคืนนี้ซาลาเปาจะไปที่นั่นหรือไม่ ต้องไปถามเจ้าอาวาสเสียหน่อย ว่าความคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ นับตั้งแต่ที่สวีอีกำหนดวันแต่ง หลายวันที่ผ่านมาในจวนก็คึกคักขึ้นมาก มีคนเข้าออกมากมาย ซื้ออาหารเลิศรสมาให้ทั้งสามคนไม่ได้ขาด เลยไม่ค่อยอยากไปเสียแล้ว ต้องจำไว้ว่าต้องเรียกให้เขาไปในวันพรุ่งนี้สักครั้ง”
เขามองไปที่หยวนชิงหลิง สายตาสื่อถึงความกังวล “หายใจไม่ค่อยออกอีกแล้วหรือ?”
“ใช่ รู้สึกทรมานยิ่งนัก”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกเป็นห่วงนาง “ท้องนี้ช่างเหนือคาดนัก จากนี้พวกเราจะไม่มีอีกแล้วจริงๆ นะ พวกเราอย่าทนทุกข์กับความทรมานเหล่านี้อีกเลย ลูกชายสามลูกสาวหนึ่ง หยวนชิงหลิงยืนขึ้นในที่สุด เพราะการนั่งจะทำให้อึดอัดกว่าเดิม
“ข้าถามมาหลายคนแล้ว ใครๆ ก็บอกว่าท้องนี้ของเจ้ากลม ต้องเป็นผู้หญิง” หยู่เหวินเห้าพยุงนาง “ถ้าเป็นลูกชาย ท้องจะแหลม”
“นี่เจ้ากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญไปแล้วรึ” หยวนชิงหลิงหัวเราะใส่เขา
“มีคนบอกว่า ในใจเจ้าคาดหวังสิ่งใด ปากก็ต้องภาวนาสิ่งนั้นออกมาด้วย ข้ารู้ว่าแค่การดูลักษณะท้องอาจไม่แม่นยำนัก แต่ถ้าปากภาวนาออกมาด้วยมักไม่ค่อยผิดพลาด” เมื่อหยู่เหวินเห้าเห็นท่าทางอันแสนลำบากของนาง ในใจก็รู้สึกว่ายากจะผ่อนคลายลงได้ ในเมื่อนางต้องได้รับความทุกข์ทรมานเหล่านี้ อย่างไรนางก็ควรจะได้รับสิ่งที่ตัวเองปรารถนาถึงจะดี
“แล้วทางทะเลสาบจิ้งล่ะ เจ้าอยากจะไปที่นั่นสักครั้งหรือไม่? ” หยวนชิงหลิงรู้สึกไม่สบายใจ การที่หงเย่ไปภูเขาหมื่นพุทธ เป็นแค่ความบังเอิญหรือเจตนากันแน่?
ต่อให้เขาจะเก่งขนาดไหน แต่ก็ไม่น่าจะรู้ได้จริงๆ หรอกมั้งว่านางมาจากอนาคต?
หยู่เหวินเห้าคิดว่ามันแปลกเกินไป เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: “อีกสองวันข้าจะไปที่นั่นสักครั้ง บางที มันคงถึงเวลาที่จะได้เผชิญหน้ากับหงเย่แล้ว”
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า มันไม่ง่ายสำหรับเขาที่จะเดินทางไกลในเวลานี้ แต่เรื่องที่หงเย่ไปทะเลสาบจิ้ง ก็ยังทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก จึงคิดว่าไปที่นั่นสักครั้งก็ดี
ในวันรุ่งขึ้น หยู่เหวินเห้าเข้าวังไปทูลรายงานให้ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงทราบถึงตัวตนของหมันเอ๋อ ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินข่าวลือมานานแล้วว่า อ๋องหนานเจียงยังมีลูกสาวที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่คนหนึ่ง เดิมทีทรงคิดว่านั่นเป็นเพียงข่าวลือ แต่กลับไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง จึงปิติยินดีอย่างยิ่ง “ถ้าเป็นอย่างนี้ บรรดาคนที่ติดตามอ๋องหนานเจียงก็จะสามารถมารวมตัวกันเป็นปึกแผ่นได้ ซึ่งจะช่วยพวกเราได้มากในการทำให้หนานเจียงสงบสุข”
ก่อนหน้านี้ บรรดาผู้ที่ติดตามอ๋องหนานเจียง ต่างมีความรู้สึกว่าเป็นคนที่ทำงานให้ราชสำนัก หากรวบรวมให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ จะเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งมาก ราชสำนักไม่จำเป็นจะต้องใช้กำลังทหารแม้แต่คนเดียว แค่ให้หนานเจียงสองฝ่ายต่อต้านกันเอง ก็จะกลายเป็นเรื่องแบบที่ว่าน้ำมาคลองเกิดได้โดยง่าย
สองคนพ่อลูกบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ว่าจะเก็บสถานะของหมันเอ๋อไว้เป็นความลับ จากนั้นจึงส่งคนไปคอยสังเกตพวกคนหนานเจียงที่ช่วงนี้มีการเดินทางไปๆ มาๆ ในเมืองหลวง ให้ดำเนินการควบคุมและติดตามการเข้าสู่เมืองหลวงอย่างละเอียด
หยู่เหวินเห้าไปที่พระตำหนักฉินคุน หลังจากปรับเปลี่ยนชื่อทั้งสองคนที่เข้าใจว่าเป็นนักฆ่าให้ถูกต้องแล้ว เขาก็เรียกคนมาตั้งป้ายชื่อไร้นามไว้ บนหลุมฝังศพที่ศพถูกเผาไปในวันนั้น
หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ เขากลับลืมทูลขอยืมเครื่องช่วยฟังทางการแพทย์จากไท่ซ่างหวงจนได้ ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจอย่างมาก
วันรุ่งขึ้น เขาพาสวีอีผู้ที่กำลังจะได้เป็นเจ้าบ่าวป้ายแดงตรงไปที่ซีโจว ก่อนออกเดินทาง หยวนชิงหลิงกำชับกับเขาว่าเขาต้องถามนักพรตยู่ซวีเรื่องที่ว่า ครั้งที่แล้วก่อนกลับได้ให้เงินเขาไว้ บอกว่าถ้าหากมีข่าวของปรมาจารย์อาเมื่อไหร่ ขอให้รีบเข้าเมืองหลวงมารายงานทันที
แน่นอนว่า หยู่เหวินเห้าจำได้แม่นว่าเขาจ่ายเงินไปเป็นจำนวนมาก เพื่อบริจาคค่าน้ำมันเติมตะเกียง ทำเอาเขาทุกข์อกทุกข์ใจไปหลายวัน นักพรตคนนี้ต้องเป็นนักต้มตุ๋นแน่ เขาจะต้องเอาตัวลงจากภูเขา ไปส่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมผู้กระทำผิดอย่างแน่นอน
การออกไปข้างนอกครั้งนี้ของสวีอี กลับเป็นครั้งที่เขาแสดงท่าทีอ่อนไหวคล้ายมีเรื่องให้กังวลจนเกินควร ระหว่างทางที่ม้าเดินโคลงเคลงไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาที่ดังมาเป็นระยะๆ
“เจ้าหดหู่อะไรนักหนา?” หยู่เหวินเห้าได้ยินมาตลอดทาง ก็เกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้างแล้ว
“นายท่าน เราจะไปกันกี่วันรึ?” ทันทีที่ได้ยินเขาพูด สวีอีก็รีบถามอย่างรวดเร็ว
“อย่าคร่ำครวญให้มาก รีบเร่งความเร็วขึ้นอีก ไปกลับก็ใช้เวลาเพียงสองหรือสามวันเท่านั้นล่ะ” หยู่เหวินเห้าพูดด้วยความหงุดหงิดใจ ทำไมช่วงนี้ถึงไม่ค่อยได้เจอสวีฟันหลอแบบนั้นแล้วนะ
สวีอีถอนหายใจอีกเฮือก “วันมะรืนนี้ช่างตัดเสื้อจะมาวัดตัวตัดชุดแต่งงานพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าเหวี่ยงแส้หวดม้า “ถ้าอย่างนั้นก็เร่งขึ้นอีกหน่อย มะรืนก็กลับมาทันแล้วไม่ใช่รึ?”
ช่างเป็นตัวไม่เอาไหนเสียจริง คิดแต่เรื่องแต่งงานอยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวัน ได้ภรรยาคนนี้มาไว้ในมือแล้วแท้ๆ ยังกลัวว่าจะหนีไปไหนได้อีกอย่างนั้นรึ?
สวีอีขี่ม้านำทางอยู่ข้างหน้า พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อจะได้กลับมาทันวันมะรืนเพื่อทำชุดแต่งงาน
เดิมทีเรื่องนี้ควรจะทำไปเสียตั้งนานแล้ว แต่เพราะใต้เท้าทังจู้จี้จุกจิกมาก จะเอาอะไรมาให้ดู ก็เอาแต่บอกว่าไม่เหมาะๆ จนกระทั่งต่อมาได้เห็นผ้าต่วนลายเมฆจากแคว้นต้าโจวที่มีสีสันสดใสเจิดจ้า เขาจึงถูกตาต้องใจได้ในที่สุด
ทั้งสองรีบเร่งเดินทางไปถึงจนว่านโจว พักอยู่ใต้ว่านโจวหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นก็รีบไปที่เขาหมื่นพุทธต่อทันที
ทั้งสองคนยังหนุ่มแน่นและแข็งแรง จึงขึ้นภูเขาได้อย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม ก็ได้พบกับนักพรตยู่ซวีคนนั้นในที่สุด