เมื่อหยู่เหวินเห้ามองสีหน้าเศร้าสร้อยของนางแล้วก็นึกถึงสิ่งที่หยวนชิงหลิงกำชับ จะแข็งเกินไปไม่ได้ ดังนั้นจึงเสียงอ่อนลง “ข้าไม่คัดค้านที่พวกเจ้าจะคบหากัน ถ้าเขากลับใจจริงงั้นก็ต้องดีอยู่แล้ว ข้าแค่รู้สึกว่าในเมื่อเจ้าถูกเขาทำให้เสียใจมาแล้วครั้งหนึ่ง ก็น่าจะรอบคอบซักหน่อย”
“ข้ารู้แล้ว” เสี้ยวหงเฉิงรับคำไปแบบส่งๆ
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว นางไม่รู้ตัวว่าตัวเองลุ่มหลงเทใจไปหมดแล้ว
ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นเสี้ยวหงเฉิงก็เอ่ยขึ้นอย่างน้อยใจ “ตอนแรกยังคิดว่าเจ้าจะเห็นด้วย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพูดแบบนี้ หรือว่าข้าไม่คู่ควรกับความสุขหรือไง?”
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “กลับกัน เจ้าติดตามข้ามาหลายปี ข้าอยากให้เจ้ามีความสุขมากกว่าใครๆ แต่เพราะอย่างนี้ด้วย ถึงอยากให้เจ้าระวังหน่อย เจ้าคงไม่อยากรับกับความเจ็บปวดที่ถูกหักหลังทรยศอีกครั้งใช่ไหม?”
“ทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อความจำเป็นของเขาในตอนนั้น?” เสี้ยวหงเฉิงถามขึ้นอย่างจนใจ
“เจ้าเชื่อเหรอ?” หยู่เหวินเห้ามองนางแล้วถาม
เสี้ยวหงเฉิงพยักหน้า “ข้าเชื่อ ข้าต้องเชื่ออยู่แล้ว ตอนนี้เขากลับมาหาข้าก็ไม่เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุดแล้วเหรอ? ไม่งั้นคนอย่างเขาจะเอาผู้หญิงแบบไหนก็ได้ ทำไมต้องกลับมาหาข้าด้วยล่ะ?”
“เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง อย่างแรกก็คืออย่างที่เจ้าว่า ลืมเจ้าไม่ลงจริงๆ อย่างที่สอง มีเจตนาแอบแฝงหวังสิ่งอื่น”
เสี้ยวหงเฉิงเริ่มเคืองหัวเราะเย็น “หวังสิ่งอื่น? หวังอะไรจากข้า? หวังสำนักเหมยแดงของข้าที่เป็นสำนักเล็กๆ อยากจะฮุบเอาไว้งั้นเหรอ? หรือว่าต้องการข้าที่งามดั่งนางฟ้านางสวรรค์ มีทรัพย์สินเหลือล้น? หากพระองค์ไม่ชอบเขา ต่อไปข้าก็ไม่พาเขามาก็เท่านั้น ไม่ต้องลบหลู่กันแบบนี้หรอก!”
พูดจบนางก็สะบัดแขนเสื้อจากไปด้วยความเย็นชา
หยวนชิงหลิงเดินอ้อมออกมาจากฉากบังลม ถอนหายใจเสียงเบา “นางโกรธแล้ว ลำบากล่ะทีนี้”
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้ว “ถ้าทางนางเกิดเรื่องขึ้น ต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่”
“งั้นจะทำไงดี?” หยวนชิงหลิงก็รู้สึกว่าลำบากเหมือนกัน ถึงหลินเซียวอาจไม่มีปัญหาจริง แต่ความเสี่ยงนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้
แต่ถ้าหลินเซียวมีปัญหาจริง แล้วเขาทำงานให้ใคร? หยู่เหวินอัน? หงเย่?
การลงมือจากเสี้ยวหงเฉิงเป็นเรื่องที่หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงไม่เคยคิดมาก่อน
“ดูก่อนแล้วกัน ข้าจะเรียกงานจากเสี้ยวหงเฉิงกลับมาบางส่วน แล้วมอบให้สำนักเหลิ่งหลังกับองครักษ์ลับผีไปทำ” หยู่เหวินเห้าตรึกตรอง “แล้วข้าต้องฝึกกำลังพลของตัวเองด้วย จะอาศัยคนนอกช่วยอย่างเดียวไม่ได้”
“ใช่ ตอนนี้นอกจากองครักษ์ลับผีแล้ว ทั้งท่านชายสี่หรือว่าเสี้ยวหงเฉิง ถึงจะฟังคำสั่งเจ้า แต่ยังไงก็ไร้ยศไร้ตำแหน่ง พวกเขาไม่จำเป็นต้องทุ่มเทถวายชีวิตเพื่อเจ้า ”
“ที่ข้าใช้นางเป็นสำคัญเพราะนางกับคนในสำนักทำงานน่าเชื่อถือ เป็นผู้หญิงหมด สืบข่าวสะดวก ดังนั้นสองปีมานี้ขอแค่เป็นการสืบข่าวก็มอบหมายให้นางทำหมด ถ้ามีภารกิจจริงถึงให้องครักษ์ลับผีกับสวีอีไปทำ ตอนนี้เรื่องเยอะขึ้นเรื่องๆ คนไม่พอใช้ เจ้ากลับไปนอนก่อนเถอะ ข้าจะไปหารือกับใต้เท้าทัง”
“ได้ เจ้าก็อย่าให้ดึกนักนะ” หยวนชิงหลิงกล่าว
หยู่เหวินเห้าพยุงนางเดินออกไป จากนั้นก็ตบศีรษะโบะอีก “ลืมเอาหูฟังหมอมาอีกแล้ว เฮ้อ!”
“พรุ่งนี้ข้าไปเอาเอง!” หยวนชิงหลิงกล่าว
“เจ้าก็พรุ่งนี้ๆ ทุกที พรุ่งนี้มาตั้งหลายรอบแล้ว เจ้าหยวน ทำไมรู้สึกเหมือนเจ้ากำลังกลบเกลื่อนข้าอยู่เลยนะ?” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างสงสัย
“เป็นผัวเมียกันมาตั้งนานแล้ว มีอะไรให้น่ากลบเกลื่อนกัน? รีบไปเถอะ” หยวนชิงหลิงหัวเราะเบาๆ
หยู่เหวินเห้ามองนาง “ข้ามักรู้สึกว่าช่วงนี้เจ้า…พูดโกหกตาไม่กะพริบเลยนะ”
หยวนชิงหลิงเอ่ย “ที่จริงวิธีโกหกกะพริบตาแบบนี้ใช้ไม่ได้หรอก จะดูว่าใครโกหกหรือไม่ ไม่ได้ดูที่ว่าเขากะพริบตาหรือเปล่า แต่ต้องดูจากใบหน้ากับภาษากายต่างหาก…”
“เปลี่ยนเรื่องพูดเหรอ? เจ้าน่าสงสัยขึ้นทุกทีแล้วนะ!” หยู่เหวินเห้าหรี่ตามองนาง
หยวนชิงหลิงหัวเราะชอบใจ แต่เมื่อหัวเราะเสร็จก็กุมท้องขมวดคิ้ว “โอ๊ย หัวเราะจนปวดท้องแล้ว”
หยู่เหวินเห้าตื่นตระหนกขึ้นทันที “ปวดท้องเหรอ? เป็นอะไรมากไหม? คงไม่ใช่ว่าจะคลอดแล้วนะ? ตามหลักแล้วไม่ไวขนาดนี้นี่”
“ไม่ใช่ คงหัวเราะจนท้องเป็นตะคริวน่ะ” หยวนชิงหลิงเข้าพิงตัวกับเขา “พยุงข้ากลับห้อง นอนซักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”
“จริงเหรอ? ต้องเรียกหมอหลวงมาดูหน่อยไหม?”
“ไม่ต้องๆ พักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว ข้าก็เป็นหมอ ข้ารู้” หยวนชิงหลิงว่า
ดังนั้นหยู่เหวินเห้าจึงพยุงนางกลับห้อง ดูแลให้นางนอนลงแล้วนั่งอยู่พักหนึ่ง เมื่อมั่นใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้วถึงออกไป
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเฮือก ตอนนี้จะหลอกเจ้าห้าก็ไม่ง่ายแล้ว
ในที่สุดวันแต่งงานของสวีอีกับอะซี่ก็ใกล้มาถึงตามกำหนด
ช่วงกลางวันของก่อนวันแต่ง ขณะที่จวนกำลังยุ่งงวดอยู่นั้น คนของจวนอ๋องฉีก็มา บอกว่าพระชายาฉีเริ่มปวดท้องตั้งแต่เช้า เกรงว่าจะคลอดแล้ว อ๋องฉีกับพระชายาฉีอยากเชิญหยวนชิงหลิงไปสักหน่อย เพราะนางมีประสบการณ์มาก
พออะซี่กลับตระกูลหยวน หยวนชิงหลิงก็พาหมันเอ๋อกับแม่นมสี่ไปด้วยกัน
คนในตำหนักฮองเฮาก็มาด้วย เห็นชัดว่าไปรายงานมาแล้ว ทั้งยังส่งหมอหลวงมา ส่วนนางผดุงครรภ์ตระกูลหยวนได้เตรียมไว้ก่อนแล้ว เนื่องจากตอนนี้ตระกูลหยวนกำลังจัดงานมงคล ปลีกตัวไม่ได้ หยวนหย่งอี้จึงยังไม่ได้แจ้งข่าวกับตระกูลหยวน คิดว่ารอให้คลอดแล้วค่อยไปบอก
เมื่อหยวนชิงหลิงมาถึง อ๋องฉีก็วางใจ รีบเข้ามาประจบ ไม่ว่าอย่างไรก็อยากให้หยวนชิงหลิงอยู่เป็นเพื่อนที่นี่
เมื่อหยวนชิงหลิงเข้าไปในห้อง นางผดุงครรภ์กับสาวใช้ก็ยืนอยู่เต็มห้องแล้ว ห้อมล้อมจนอากาศไม่ถ่ายเท
ดังนั้นหยวนชิงหลิงไล่คนส่วนใหญ่ออกไป เหลือแต่นางผดุงครรภ์กับสาวใช้ที่ปรนนิบัติ
หยวนหย่งอี้นอนอยู่บนเตียง ความทรมานของนางไม่ค่อยเด่นชัดเท่าไร แต่อ๋องฉีอยากให้นางนอน ไม่ยอมให้ลงจากเตียง
หยวนชิงหลิงถามนางผดุงครรภ์ นางผดุงครรภ์บอกว่าวันนี้ยังไม่เร็วขนาดนั้น อย่างน้อยต้องพลบค่ำแล้วถึงจะเริ่มคลอด
ดังนั้นหยวนชิงหลิงจึงให้หยวนหย่งอี้ลุกขึ้น จะในห้องก็ดี ในสวนก็ดี ต้องเดินให้มากๆ จะได้ช่วยให้ปากมดลูกเปิด
พออ๋องฉีเห็นหยวนหย่งอี้ออกมาก็ตกอกตกใจ คนในตำหนักฮองเฮาก็รีบเดินเข้ามาพูด แต่หยวนชิงหลิงให้หมันเอ๋อขวางไว้ ส่วนนางก็ไปเดินในสวนเป็นเพื่อนหยวนหย่งอี้
“พี่หยวน คลอดลูกเจ็บมากไหม?” สีหน้าหยวนหย่งอี้ซีดไปเล็กน้อย ถึงนางจะรับกับความเจ็บปวดได้ แต่ก็ยังตื่นเต้นมากอยู่ดี
“แล้วแต่คน บางคนคลอดลูกเจ็บจนเจียนตาย แต่บางคนก็ง่ายมาก เมื่อก่อนข้าเคยฟังท่านแม่เล่าว่าท้องแรกเจ็บมาก แต่ท้องสองแค่ลดเอวลงก็คลอดแล้ว เพราะงั้นเจ้าไม่ต้องห่วงไป ทำใจให้สบาย ต้อนรับการมาของเด็กน้อยเถอะ”
หยวนหย่งอี้เฮ้อเสียงหนึ่ง “ทุกวันข้าเอาแต่คิดว่ารีบคลอดจะได้หมดเรื่องไป แต่วันนี้พอต้องคลอดแล้วกลับตื่นเต้นมาก”
ทั้งสองเดินด้วยกัน นางมองท้องของหยวนชิงหลิงแล้วพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ “พี่หยวน ท้องของท่านใหญ่กว่าข้าอีก ท่านไม่ใช่ว่าอ่อนกว่าข้าสองเดือนเหรอ? คงไม่ใช่แฝดสามอีกนะ?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้ากินจนอ้วนเท่านั้น”
“กินจนอ้วนขนาดนี้? ถึงเวลาจะคลอดลำบาก…” แต่พอนางนึกถึงท้องแรกของหยวนชิงหลิงแล้วก็เกิดความกล้าขึ้นทันที “ตอนที่ท่านคลอดเด็กๆ ลำบากมาก เกือบเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว คิดๆ แล้วตอนนี้ข้าก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีก ดีกว่าท่านในตอนนั้นเยอะ”