ที่จริงตอนแรกหยวนชิงหลิงแค่คาดเดาไปอย่างนั้น แต่คิดว่าในเมื่อมีความคิดอย่างนี้แล้วก็พิสูจน์เสีย หากหงเย่ไม่ใช่ลิง เช่นนั้นนางก็จะสบายใจอีกหน่อย
หงเย่ยืนอยู่ด้านล่างบันได สบตากับหยวนชิงหลิงทีหนึ่ง จากนั้นหยู่เหวินเห้าก็เดินไปอยู่ข้างหยวนชิงหลิง สีหน้าไม่ค่อยดี ทว่าพอเขาเห็นกระบี่ดำสนิทที่อะโฉ่วถืออยู่ในมือ ใบหน้าแข็งเย็นชาของเขาก็เค้นรอยยิ้มออกมา เดินขึ้นหน้าไปคารวะหงเย่ ยิ้มพูด “คุณชายมาแต่ตัวพอแล้ว ยังเอาของขวัญอะไรมาอีก?”
“มารบกวนองค์รัชทายาท จะมามือเปล่าได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” หงเย่อมยิ้ม
“ในเมื่อคุณชายมีน้ำใจเช่นนี้ ข้าก็ไม่ขอเกรงใจแล้วนะ” ครั้นแล้วหยู่เหวินเห้าก็รับกระบี่จากอะโฉ่วมา แล้วโยนขึ้นบนอากาศ ปลอกกระบี่ลอยออก แสงเย็นเฉียบเป็นประกาย ทว่านัยน์ตาเขากลับนิ่งลึก
หยวนชิงหลิงมองหยู่เหวินเห้า หยู่เหวินเห้า ระแวดระวังหงเย่มาก แต่สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างนี้ได้ ดูท่ากระบี่เล่มนี้ต้องพิเศษแน่
เป็นจริงดังนั้น พอหยู่เหวินเห้าเก็บกระบี่แล้วก็เอ่ยถาม “ได้มาจากหนานเจียงหรือ?”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” หงเย่มองเขา รอยยิ้มไม่เสื่อมคลาย “พระองค์น่าจะทราบว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของผู้ใด”
“ของอ๋องหนานเจียง เห็นว่าหลังจากเขาสิ้นแล้ว กระบี่นิลกาฬก็หายสาบสูญ ที่แท้ก็มาอยู่ในมือคุณชายนี่เอง ไม่ทราบคุณชายได้มาจากที่ไหนหรือ?” หยู่เหวินเห้ากุมกระบี่ กระบี่เล่มนี้เหมือนเบาหวิว แต่ที่จริงแล้วหนักมาก
“บิดาหม่อมฉันให้มาพ่ะย่ะค่ะ” หงเย่พูดอย่างมีความคิด
หยู่เหวินเห้าจ้องเขา แล้วรอยยิ้มเมื่อครู่ก็หายไปแล้ว “ที่แท้ก็หงเล่!”
หงเย่ยิ้มบาง ทว่านัยน์ตากลับเย็นชืด “พ่ะย่ะค่ะ หลายๆ เรื่องเมื่อเปิดออกแล้วก็จะมีคนพูดว่าที่แท้ก็เป็นเขา เขาเก่งจริง เดิมเจียงเป่ยก็เขตที่เขาควบคุมอยู่”
“แล้วทำไมเอากระบี่เล่มนี้มาให้ข้า?” หยู่เหวินเห้าถามขึ้น
“ส่งคืนเจ้าของ” หาเย่กล่าว
นัยน์ตาหยู่เหวินเห้าแวบแสง “ถูกต้อง ส่งคืนเจ้าของ อ๋องหนานเจียงเป็นคนของราชสำนัก กระบี่ของเขาก็ควรส่งมอบให้ราชสำนัก”
“ทรงกล่าวเช่นนี้ก็มีเหตุผล”
แม้ทั้งสองเหมือนกำลังพูดปริศนากันอยู่ แต่หยวนชิงหลิงก็ฟังออก กระบี่เล่มนี้เป็นของอ๋องหนานเจียง หลังจากอ๋องหนานเจียงสิ้นแล้ว กระบี่ก็ถูกลักเอาไป และคนที่เอากระบี่ของเขาไปก็เป็นไปได้มากว่าจะเป็นฆาตกร ดังนั้นหงเล่จึงเป็นไปได้ว่าจะเป็นฆาตกรวังหาอ๋องหนานเจียง
และเวลานี้การที่หงเย่ทำกระบี่มา บอกว่าส่งคืนเจ้าของ นั่นก็เป็นการบอกเป็นนัยว่าทายาทของอ๋องหนานเจียงอยู่ที่จวนอ๋องฉู่
นี่อาจเป็นการหยั่งเชิง แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นจริง
เขารู้ฐานะของหมันเอ๋อ
หยวนชิงหลิงมองหยู่เหวินเห้าด้วยความกังวล หยู่เหวินเห้าจึงพูดกับนาง “เจ้ากลับไปดูเจ้าแฝดเถอะ ข้าจะอยู่คุยกับคุณชายนิดหน่อย”
หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ได้!” จากนั้นก็ย่อคำนับให้หงเย่ “เชิญคุณชายตามสบาย ข้าขอตัวก่อน”
“พระชายา!” หงเย่เรียกนาง ดวงตานิ่งสงบ “จวิ้นจู่จิ้งเหอฝากคำพูดให้กระหม่อมบอกกับท่านพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงประหลาดใจ “จิ้งเหอ? นางอยู่ที่ไหน? ทำไมถึงให้ท่านมาบอก? แล้วบอกอะไร?”
หงเย่ยิ้ม “ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรพ่ะย่ะค่ะ แค่ให้กระหม่อมบอกว่านางคิดถึงคนที่อยู่เหมืองหลวง หวังว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้พบอีก”
หยวนชิงหลิงชะงัก “หมายความว่าอะไร? อะไรคือหวังว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้พบอีก? เจ้าจับนางไปใช่ไหม?”
หงเย่หัวเราะ “กระหม่อมจะจับจวิ้นจู่ได้ยังไงพ่ะย่ะค่ะ? คนที่มีความแค้นกับนางไม่ใช่กระหม่อมซักหน่อย”
หยวนชิงหลิงจับมือเจ้าห้า เดินขึ้นหน้าบี้ถามหงเย่ “คนเจียงเป่ยจับนาง? เพราะกู้จือ?”
หงเย่ทำตัวผ่อนคลาย “หาทราบไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า…!” หยวนชิงหลิงร้อนใจ กำลังจะถามหยู่เหวินเห้าก็กุมมือนางไว้ แล้วกระซิบ “เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะคุยกับคุณชายซักหน่อย”
หยวนชิงหลิงใจระส่ำ แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาหนักแน่นของเจ้าห้าแล้วนางก็พยักหน้า ปกติเจ้าห้ามักอารมณ์ร้อน แต่หากเป็นเรื่องใหญ่ เขาก็หนักแน่นเชื่อถือได้
นางหันหลังพาซาลาเปากลับไป กลั้นความตกใจไม่ได้ วิถีแห่งคนเจียงเป่ยโหดเหี้ยมนัก จิ้งเหอจะตกไปอยู่ในมือคนพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
หยู่เหวินเห้าเชิญหงเย่เข้ามานั่ง ยกน้ำชา จากนั้นหยู่เหวินเห้าก็เอ่ย “จิ้งเหออยู่เจียงเป่ยหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ครั้งนี้หงเย่ไม่ปกปิดอีก กล่าว
“มีอันตรายไหม?” หยู่เหวินเห้าถามเสียงหนัก
หงเย่มองทางอะโฉ่ว อะโฉ่วจึงพูดเสียงเย็นยะเยือก “ตอนนี้ยังไม่มี แต่ก็พูดยากว่าคนเจียงเป่ยจะเผานางแก้แค้นให้สาวหมอผีหรือไม่ ตอนนี้คุณชายยังปรามไว้อยู่”
หยู่เหวินเห้าหันหลังมามอง “จะช่วยยังไง?”
หงเย่กล่าวอย่างคิดหนัก “คนเจียงเป่ยนิสัยป่าเถื่อน ขาดการอบรม”
หยู่เหวินเห้าพูดเสียงเย็น “คนเจียงเป่ยไม่ยอมสวามิภักดิ์กับคุณชาย ฉะนั้นจึงอยากยืมมือข้าสั่งสอนพวกเขา ให้พวกเขาภักดีด้วย?”
“จะตรัสอย่างนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ!” หงเย่กางมือออก จนใจเล็กน้อย “พระองค์ก็ทราบ กระหม่อมไร้อาวุธ จะควบคุมคนเจียงเป่ยพวกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ทำให้พวกเขากลัว ให้พวกเขารู้ว่าหลบอยู่ในป่าเขาก็ใช่จะปลอดภัยแล้ว…”
หยู่เหวินเห้าพูดเรียบ “งั้นกระดานลูกคิดเจ้าก็คิดผิดแล้ว ข้าไม่ส่งทหารไปเพื่อจิ้งเหอหรอก”
ครั้นแล้วหงเย่ก็พูดอย่างหนักใจ “นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ส่งทหารไปเพื่อผู้หญิง จะอธิบายกับขุนนางบุ๋นบู้ในราชสำนักยังไง? เพราะงั้นวันนี้กระหม่อมถึงได้นำกระบี่ของอ๋องหนานเจียงมา หากแก้แค้นเพื่ออ๋องหนานเจียงล่ะพ่ะย่ะค่ะ? เหตุผลนี้เพียงพอหรือไม่?”
“คุณชายไม่ธรรมดาจริงๆ!” หยู่เหวินเห้าพูดถากถาง
หงเย่จงพูดอย่างจนใจ “ช่วยไม่ได้นี่พ่ะย่ะค่ะ ในมือไร้ทหาร ก็เลยได้แต่คิดอุบายต่ำช้าเช่นนี้ โชคดีที่หลายปีมานี้ก็ราบรื่นไปหมด เพียงแต่ผิดต่อพระองค์เท่านั้น พระองค์เดิมคงคิดจะต่อกรกับหนานเจียง แบบที่ไม่ใช้ทหารโรมรัน แต่ให้เจียงเป่ยกับหนานเจียงต่อสู้กันเองแล้วฉวยโอกาสได้รับผลประโยชน์ หากตอนนี้ส่งทหารไป แผนการก็จะเสียเปล่า ทั้งราชสำนักต้องใช้เงินมหาศาลอีก”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะเย็น “นั่นสิ อะไรก็ถูกคุณชายคาดเดาไว้หมด แต่ถึงข้าส่งทหารไป ก็ไม่แน่ว่าจะยึดหนานเจียงได้ เช่นนั้นคุณชายยึดเจียงเป่ยไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่เท่ากับบีบให้คุณชายเข้าทางตันหรือ?”
หงเย่หัวเราะเล็กน้อย “ได้แต่ถึงเวลาค่อยคิดแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมดวงดีมาตลอด รอดมาได้ทุกครั้ง”
หยู่เหวินเห้ามองเขา หัวเราะเย็น แล้วอยู่ๆ ก็เก็บรอยยิ้ม พูดเสียงเบา “ไสหัวไป!”
หงเย่หัวเราะพลางลุกขึ้น “ยินดีที่ได้ร่วมมือกันนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าช่างน่าชังจริงๆ!” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเดือดดาล
หงเย่ยกมือขึ้นคารวะ ยิ้มจนดวงตาคิ้วโค้งงอ “กลับกัน กระหม่อมชื่นชมพระองค์มากเลย แต่แน่นอนว่าชื่นชมพระชายามากกว่า”
หยู่เหวินเห้าเขวี้ยงจอกชาไปแต่ถูกเย่หงรับไว้ได้ น้ำสักหยดก็ไม่กระเด็น เขาแหงนหน้าดื่มอึกหนึ่ง โยนกลับทางเดิมแล้วหมุนตัวจากไป
หยู่เหวินเห้ากำลังเซ็งอยู่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะโยนจอกกลับมา ไม่ทันระวังจึงกระแทกใส่ศีรษะ น้ำกระเด็นเต็มหน้า โมโหจนตัวสั่น อยากฆ่าชายชั่วหงเย่เสียตอนนี้
พอสวีอีที่อยู่ปากประตูเห็นท่าทางดูไม่ได้ของหยู่เหวินเห้าก็หลุดหัวเราะ หยู่เหวินเห้าถลึงตาจ้องเขา แล้วพูดด้วยความโมโห “สวีอี! ไม่อยากได้ฟันแล้วใช่ไหม?!”