ตอนที่ 371
เปิดหูเปิดตา
“เจ้าดูอารมณ์ดีนะ”เหม่ยหลินพูดพลางมองบุตรสาวของตนที่กำลังนั้งอยู่ข้างๆ ปกติไป๋หลินจะชอบบ่นเรื่องพวกองค์ชายที่เข้ามาหาบ่อยๆให้ฟังไปแล้ว แต่วันนี้ตั้งแต่เดินทางออกจากอาณาจักรชูมายังไม่ได้ยินนางบ่นเลยสักคำ
“ก็น้องนะสิท่านแม่ช่วยข้าไล่พวกองค์ชายไปหมดเลย”ไป๋หลินพูดพลางยิ้มอย่างมีความสุข ตลอดงานหลังจากชินอี้เข้ามาขวางพวกองค์ชายพวกมันก็ไม่เข้ามายุ่งกับไป๋หลินอีกเลย ทำให้ไป๋หลินสามารถอยู่กับกลุ่มองค์หญิงและพูดคุยกันเรื่องที่ตนสนใจได้เสียที ทั้งหมดนี่ต้องยกความดีความชอบให้ชินอี้ทั้งหมดเลย
“แต่เจ้าก็เริ่มเป็นสาวแล้วนะ ไม่มีใครที่สนใจเลยหรือไง”ได้ยินที่มารดาตนเองถามไป๋หลินก็ทำท่าเหมือนจะคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ส่ายหน้าออกมา
“ข้าไม่ค่อยสนเรื่องนั้นเท่าไหร่ ข้าอยากเล่นสนุกมากกว่า”ไป๋หลินตอบพลางยิ้มหน้าระรื่น เรื่องความรักสำหรับนางแล้วไม่ใช่เรื่องรีบร้อนอะไร
“เรื่องนี้มันอยู่ที่เวลา สักวันเจ้าก็คงได้พบคนที่เจ้าพร้อมจะมอบหัวใจให้เอง”เหม่ยหลินตอบพลางหันไปมองสามีของตนครู่หนึ่ง นางเอกก็อาจจะไม่ต่างจากไป๋หลินเท่าไหร่ ตอนแรกนางเป็นคุณหนูของกลุ่มนักล่าอสูร เป้าหมายของนางคือเพิ่มความแข็งแกร่งเพื่อคอยรับภาระของหัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูรในรุ่นถัดไป เพราะแบบนั้นนางเลยไม่ได้สนใจเรื่องผู้ชายนักจนกระทั่งมีคนๆหนึ่งเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของนางไป มาถึงตอนนี้ภาระหน้าที่ในฐานะหัวหน้ากลุ่มนักล่าอสูรเป็นเรื่องที่ปล่อยทิ้งไปนานแล้ว แม้ไม่เคยคิดว่าจะกลายมาเป็นมเหสีขององค์จักรพรรดิอาณาจักรที่เต็มไปด้วยอสูรที่อยู่ร่วมกับมนุษย์ก็ตาม แต่ชีวิตตอนนี้ก็มีความสุขกว่าสิ่งที่ตนคิดเอาไว้เมื่อสมัยเป็นคุณหนูของกลุ่มนักล่าอสูรมากทีเดียว
“ข้าไม่ยอมยกพี่สาวให้ใครหรอก”ไป๋ชินอี้ว่าพลางทำแก้มป่อง ตอนนี้มันจองที่นั่งบนตักพี่สาวเอาไว้ไม่ไปไหนทั้งสิ้น ท่าทางอาการติดพี่สาวของมันจะเริ่มแสดงออกเสียแล้ว
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าก็ยังเป็นน้องของพี่สาวเจ้าเสมอ แน่นอนว่าเป็นลูกสุดที่รักของพ่อกับแม่ด้วย”เหม่ยหลินยิ้มด้วยความเอ็นดูเมื่อเห็นชินอี้รีบขัดขึ้นมาเมื่อพูดถึงเรื่องคนรักของไป๋หลิน ท่าทางใครที่จะมาเป็นคนรักของไป๋หลินคงต้องผ่านด่านชินอี้ไปเสียก่อนกระมัง
“ชินอี้ ใกล้จะถึงแล้ว อย่าลืมสวัสดีท่านปู่กับท่านย่าด้วยนะลูก”ไป๋จูเหวินว่าพลางมองหลินหลินที่กำลังเดินขึ้นเขาไปยังดินแดนลับแลที่อยู่ของบิดาและมารดาของตน
“ท่านปู่ ท่านย่าสวัสดีขอรับ”ทันทีที่เข้ามาถึงกระท่อมของท่านปู่และท่านย่า ไป๋ชินอี้ก็ลงมาจากหลังของหลินหลินพลางเดินตามบิดาของตนเข้าไปหาปู่และย่าทันที
“เด็กดี”ชินหลุนว่าพลางก้มลงมองหลานชายด้วยท่าทีอ่อนโยน
“ท่านแม่ ขี้เรื่องอยากจะปรึกษาหน่อยได้หรือเปล่าขอรับ”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินเข้าไปหาหวังเย่หลิงมารดาของตน
“ได้สิลูกแม่ มีอะไรงั้นหรือ”หวังเย่หลิงถามพลางมองไปทางสามีของตน
“หลานๆมากับปู่ก่อนก็แล้วกัน”ชินหลุนพูดพลางพาพวกไป๋หลินเดินไปอีกทาง มันเห็นท่าทีไป๋จูเหวินค่อนข้างจริงจังทีเดียว สมควรปล่อยให้มันได้ปรึกษากันตามลำพัง ชินหลุนเลยพาแขกคนอื่นๆมาที่บ่อน้ำแทน
“เหม่ยหลิน เจ้าพร้อมหรือไม่”ชินหลุดถามพลางเรียกกระบี่ออกมา
“พร้อมเจ้าค่ะท่านพ่อ”เหม่ยหลินเห็นชินหลุนเรียกกระบี่ออกมาก็ตอบรับทันที เป็นเรื่องปกติที่เหม่ยหลินจะประลองกับชินหลุนทุกครั้งที่มาหา ตอนนี้นางแทบไม่ได้ต่อสู้กับใครแล้วเพราะต้องดูแลลูกๆ ส่วนมากก็จะฝึกฝีมือให้ไป๋หลินแต่บุตรสาวนางมีหรือจะทำให้เหม่ยหลินเอาจริงได้
“พี่ชิวคอยดูดีๆนะ”ไป๋หลินว่าพลางเดินถอยออกมาให้ห่างจากบ่อน้ำ การประลองของยอดฝีมือนั้นไม่ใช่จะหาดูได้ง่ายๆ มันไม่เหมือนตอนต่อสู้กับคนที่ฝีมืออ่อนกว่าอย่างเห็นได้ชัด แบบนั้นแทบไม่ได้แสดงฝีมือให้เห็นเสียด้วยซ้ำ
วูม……อยู่ๆพลังวิญญาณของเหม่ยหลินก็แผ่พุ่งออกมาจนรอบข้างอึดอัด นางกับไป๋จูเหวินปกติจะใช้วิชาซ่อนพลังวิญญาณเอาไว้เช่นเดียวกับชิงชิว ทั้งนี้เพื่อการใช้ชีวิตปกติ แต่ยามนี้อยู่ต่อหน้าชิงหลุนผู้อยู่ระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 10 เหม่ยหลินไม่จำเป็นต้องปิดกั้นพลังวิญญาณแต่อย่างไร
“……..”ชิงชิวขนลุกวาบ ไม่คิดว่าองค์มเหสีจะมีพลังวิญญาณมากมายเช่นนี้ ปกตินางจะอยู่ด้านหลังองค์จักรพรรดิ แทบจะไม่ได้ต่อสู้เลย การได้เห็นมเหสีปล่อยพลังจริงๆออกมาแบบนี้ทำเอาชิงชิวได้เปิดหูเปิดตาของแท้
“เจ้าเข้าถึงระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 1 แล้วงั้นหรือ”ชิงหลุนพูดด้วยท่าทีชื่นชม ตัวเหม่ยหลินนั้นแต่เดิมพลังวิญญาณสูงกว่าคนอื่นๆอยู่แล้ว แม้ช่วงหลังจะต้องเลี้ยงลูกแต่นางก็ไม่เคยหยุดฝึกฝน ยามนี้พลังวิญญาณทะลุผ่านระดับเจ้าสวรรค์ขึ้นมาแล้ว เช่นเดียวกับพลังอสูรที่ขึ้นมาถึงระดับบรรพกาลขั้นแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นับว่าพลังอสูรพัฒนามาเกินขีดจำกัดของกิเลนดำผู้เป็นแก่นอสูรของเหม่ยหลินเสียอีก
“ท่านแม่สู้ๆ”ไป๋หลินว่าพลางมองการประลองตรงหน้าอย่างตั้งใจ
เปรี้ยง!! ร่างของเหม่ยหลินทะยานวาบเข้าใส่ชินหลุน ความรุนแรงของการปะทะทำเอารอบข้างสั้นสะเทือนไปหมด
เปรี้ยงๆๆๆ เสียงการปะทะดังและหนักหน่วงมากจนชิงชิวไม่อยากจะเชื่อว่าเสียงดังมาจากการปะทะกันของกระบี่สองเล่มเท่านั้น แถมยังเป็นกระบวนท่าที่รวดเร็วไม่ได้เน้นกำลังอีกต่างหาก
ตูม!! เสียงกึกก้องดังขึ้นครั้งหนึ่งร่างของเหม่ยหลินก็ถอยออกมาหลายก้าวทันที แม้จะมีพลัง 2 สายแต่ระดับขั้นก็ยังห่างกับชินหลุนคนละเรื่อง
“ยัยหนูสีขาว เข้ามาด้วยกันเลย”ชินหลุนว่าพลางชี้ไปที่ไป๋ไป่
“เจ้าค่ะ”ไป๋ไป่ว่าพลางเดินเข้าไปในวงการประลองทันที หลังจากไป๋ไป่เริ่มตามไป๋หลินไปไหนต่อไหน เวลาไป๋หลินมาเยี่ยมปู่กับย่านางก็จะขอร่วมการประลองด้วยเช่นกัน พลังของนางยามนี้คือระดับบรรพกาลขั้นที่ 2 หากเทียบกับแล้วฝีมือนางใกล้เคียงกับเหม่ยหลินมาก แต่หากวัดกันจริงๆเหม่ยหลินน่าจะชนะเพราะวิชาของเหม่ยหลินลึกล้ำกว่ามาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูถูกไป๋ไป่ไม่ได้ การโดนไป๋ไป่กับเหม่ยหลินรุมเล่นงานนอกจากชินหลุนแล้วจะหาคนอื่นมารับคงจะยากเต็มที
เปรี้ยงๆๆๆ กระบี่ของเหม่ยหลินและปีกของไป๋ไป่รุมโจมตีชินหลุนอย่างต่อเนื่อง ระดับความเร็วและรุนแรงเห็นได้ชัดเลยว่าพวกนางเอาจริงมากไม่ได้กะจะประลองโดยการออมแรงแต่อย่างไร แต่ถึงปีกของไป๋ไป่กับกระบี่ของเหม่ยหลินจะระดมแทงเข้าไปใส่ชินหลุนเท่าไหร่มันก็ยังสามารถยกกระบี่ขึ้นมารับได้อย่างหมดจด ที่ทำได้แบบนี้ไม่ใช่เพียงระดับพลังต่างกัน แต่ยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่าวิชากระบี่ของชินหลุนนั้นเหนือชั้นกว่าทั้งสองอีกหลายขั้นเช่นกัน
วูม!! ร่างของไป๋ไป่บินขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับเหม่ยหลินที่กำลังพัวพันการต่อสู้กับชิงหลุนอยู่ด้านล่าง
เปรี้ยง!! ฝ่ามือเมฆหนาไร้หิมะของเหม่ยหลินกระแทกเข้าใส่ร่างของชินหลุนอย่างรวดเร็วก่อนที่นางจะใช้กระบวนท่าฟงาดกลางหิมะกดร่างของชินหลุนเอาไว้ แม้พลังจะต่างกันมากแต่เมื่อโดน 2 ท่านี่เข้าไปเหม่ยหลินก็สามารถชะงักการเคลื่อนไหวของชินหลุนได้ครู่หนึ่ง
ตูม!! ร่างของไป๋ไป่พุ่งทะยานลงมาจากท้องฟ้าด้วยร่างที่เป็นหินของนางและแรงตกจากที่สูงทำเอาร่างของไป๋ไป่ลุกเป็นไฟขณะพุ่งลงมาเลยทีเดียว แรงกระแทกของท่าโจมตีนี้ของนางทำเอาฝุ่นฟุ้งไปทั่วบริเวณเขตแดนลับแลเลยทีเดียว
“ไม่เลว”ชินหลุนว่าพลางใช้สองมืออุ้มร่างของไป๋ไป่เอาไว้อย่างกับกำลังชูร่างของเด็กทารกขึ้นสูงไม่มีผิด แรงกระแทกระดับนั้นสมควรฆ่าพวกยอดฝีมือได้เป็นสิบเสียด้วยซ้ำ แต่ชินหลุนกลับยืนรับหน้าตาเฉย เพียงแต่กระบวนท่าเมื่อครู่ของไป่หลินไม่ใช่จะไม่ได้ผลอะไรเลย
“อ๊ะ ท่านปู่ ท่านใช้วิชาลมปราณมังกรนี่”ไป๋หลินว่าพลางชี้ไปที่ไอสีทองรอบๆตัวชินหลุน
“ถูกแล้ว ครั้งนี้ปู่แพ้แล้ว”ชินหลุนยิ้มพลางปล่อยไป๋ไป่ลง ถึงจะยังดูสบายๆแต่พลังโจมตีของไป๋ไป่นั้นไม่ธรรมดาเลย หากชินหลุนไม่ใช้พลังลมปราณมังกรออกมาคงบาดเจ็บบ้างไปแล้ว
“เย้ ท่านแม่ชนะๆ”ไป๋หลินว่าพลางกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ไม่ใช่เพราะเหม่ยหลินชนะเท่านั้น แต่หากชินหลุนเผลอใช้พลังลมปราณมังกรออกมาก็เท่ากับแพ้ในการประลองกับเหม่ยหลิน และเมื่อแพ้ก็ต้องมีของรางวัลมอบให้ นั่นคือชินหลุนจะสอนทักษะการต่อสู้ให้กับพวกนางเพิ่มนั่นเอง แน่นอนว่าจริงๆแล้วชินหลุนไม่ต้องประลองก็ยอมสอนให้อยู่แล้ว แต่มันก็อยากทดสอบฝีมือก่อนเท่านั้น เมื่อครู่มันไม่ต้องใช้ลมปราณมังกรก็รับการโจมตีของไป๋ไป่ได้ แต่การใช้ในจังหวะนั้นก็เหมือนกับการยอมรับว่าพวกนางพัฒนาขึ้นแล้ว
“เอาล่ะ ไป๋หลิน ชินอี้ มาตรงนี้”ชินหลุนว่าพลางเรียกหลานๆเข้าไปนั่งฟังตนเองอธิบายโดยให้เหม่ยหลินร่วมเป็นผู้แสดงกระบวนท่าอยู่ด้านหน้า แน่นอนว่าวันนี้มีผู้ชมเพิ่มขึ้นอีก 1 คนนั้นก็คือชิงชิวนั่นเอง
.
.
“ไม่มีทางเลยหรือขอรับ”ขณะเดียวกันภายในกระท่อม ไป๋จูเหวินที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้หวังเย่หลิงฟังก็ได้รับคำตอบที่น่าผิดหวังเท่านั้น
“แม่เองก็เหมือนลูก ได้พลังนี้มาตั้งแต่เกิดแต่ก็ไม่เคยทราบเลยว่ามันสามารถควบคุมได้หรือไม่”หวังเย่หลิงตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ ตอนนี้คนตระกูลไป๋ผู้มีความสามารถดึงดูดเหล่าอสูรก็อยู่ที่นี่กันหมดแล้ว เรื่องพลังที่รุนแรงเกินไปของไป๋ชินอี้นั้นท่าทางจะไร้คำตอบเสียแล้ว
“แต่เท่าที่แม่รู้ ดูเหมือนยิ่งพลังวิญญาณสูงเท่าไหร่พลังดึงดูดเหล่าอสูรก็จะแรงขึ้นเท่านั้น ทางที่ดีแม่ว่าอย่าให้ชินอี้ฝึกพลังวิญญาณดีกว่านะ”ได้ยินที่มารดาตนเองบอก ไป๋จูเหวินก็มีท่าทีลำบากใจทันที หากไม่ฝึกฝนพลังวิญญาณก็จะกลืนแก่นอสูรไม่ได้ แต่หากฝึกปัญหาเรื่องอสูรบุกเข้าวังอาจจะแย่กว่าเดิม แบบนั้นก็เท่ากับว่าชินอี้จะไม่สามารถไปไหนมาไหนได้เลย อาจจะต้องเก็บตัวอยู่แต่ในวังเท่านั้นก็เป็นได้
“ข้าจะหาทางแก้ไขดูขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบพลางลุกขึ้นยืน มันไม่อยากให้ชินอี้ใช้ชีวิตแต่ในวังเหมือนนกในกรง และก็อยากให้มันได้ฝึกฝนพลังวิญญาณด้วยหากมันต้องการ ก่อนที่ชินอี้จะโตกว่านี้ไป๋จูเหวินต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อการใช้ชีวิตของบุตรชาย