บุตรอสูรบรรพกาล – บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 263 ไม่เชื่อฟัง

บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 263 ไม่เชื่อฟัง

 

หลังจากเวลาผ่านไป 1 เดือน ในที่สุดเหล่ายอดฝีมือที่องค์จักรพรรดิรวบรวมมาได้ก็มาถึงเมืองหลวงเสียที เพียงแต่ผู้ร่วมแผนการอย่างไป๋จูเหวินยังไม่มาเสียอย่างนั้น

 

“องค์จักรพรรดิ”เหม่ยหลินที่ขี่หลังของหลินหลิน มาทางเมืองหลวงนั้น ฝ่าเหล่ายอดฝีมือเข้ามากลางวง เพื่อขอพบกับองค์จักรพรรดิ แต่เมื่อเห็นว่าคนที่ขี่แมงมุมยักษ์มาคือเหม่ยหลิน องค์จักรพรรดิก็รีบห้ามยอดฝีมือเอาไว้เพื่อให้เหม่ยหลินได้เข้ามาอย่างปลอดภัย

 

“หลานสะใภ้เจ้ามีอะไรหรือ แล้วหลานชินอี้เล่า” องค์จักรพรรดิถามพลางมองไปรอบๆ รวมถึงมองไปบนหลังของหลินหลินด้วย

 

“พี่..อี้บอกให้ข้ามารายงานพระองค์เจ้าค่ะ พี่อี้จะไปรอจุดนัดหมายต่อไปเลย เพราะไม่สะดวกที่จะเข้ามาในเมืองเพคะ” เหม่ยหลินรายงานจบ องค์จักรพรรดิก็พยักหน้าเข้าใจ ตอนนี้กําลังคนของมันคัดมาแต่ยอดฝีมือล้วนๆ แม้จะมีจํานวนไม่มาก แต่ด้วยกําลังขนาดนี้ต่อให้ทําศึกกับอาณาจักรเพื่อนบ้านยังมีความมั่นใจว่าจะชนะได้เลย

 

“ได้ งั้นพวกเราก็เคลื่อนขบวนกันเลย”องค์จักรพรรดิว่า พลางสั่งให้เหล่ายอดฝีมือเริ่มออกเดินทาง คราวนี้เป็นการบุกโจมตีแบบกะหักกันไปข้าง จํานวนยอดฝีมือระดับเทียนเซียนขันที่ 10 กว่า 80 คนและยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดในระดับเทียนเซียนอีก 25 คน ด้วยจํานวนขนาดนี้การเดินขบวน จึงไม่ผิดสังเกตนัก

 

ที่นัดหมายต่อไปของขบวนรบเฉพาะกิจครั้งนี้คือระยะ 50 กิโลเมตรก่อนถึงเมืองของกลุ่มเขี้ยวโลหิต ที่นั่นพวกมันจะปลอดภัยจากหน่วยสํารวจของกลุ่มเขี้ยวโลหิตแน่ๆ

 

“หลินหลิน เจ้ากลับร่างมนุษย์ก่อนนะ” เหม่ยหลินว่าพลางกระโดดลงจากหลังของหลินหลิน การมีแมงมุมยักษ์เดินผ่านในระยะ 50 กิโลเมตรก็อาจจะยังโดนเจอตัวได้อยู่ดี

 

“โอ้ นางเป็นอสูรที่น่าตกใจจริงๆ”องค์ชายคนหนึ่งพูด พลางมองร่างของหลินหลินที่กลับมาเป็นเด็กสาวแล้ว มันเห็นหลินหลินอยู่ในวังมาหลายวันแล้ว แม้จะทราบจากพี่หญิงว่านางคืออสูร แต่ไม่คิดเลยว่าร่างจริงของนางจะเป็นแมงมุมยักษ์ที่มีขนาดใหญ่จนน่าขนลุกเลย

 

“องค์จักรพรรดิ ขออภัยด้วยที่ไปพบท่านที่เมืองหลวงไม่ได้”ไป๋จูเหวินที่รออยู่ที่จุดนัดพบแล้วเดินออกมาหาองค์จักรพรรดิทันทีที่พระองค์มาถึง ยามนี้ที่ด้านหลังไป๋จูเหวินนั้น มีกลุ่มชายหญิงอีกประมาน 50 คน แต่ละคนนั้นไร้ซึ่งพลังวิญญาณโดยสิ้นเชิง

 

“หลานชินอี้ คนพวกนี้คือ”องค์จักรพรรดิถามพลางมองมาทางเหล่าชายหญิงแปลกหน้าที่อยู่ร่วมกับไป๋จูเหวิน

 

“พวกมันเป็นอสูรทั้งหมดเลย” ชายคนหนึ่งในหลุ่มยอดฝีมือพูดด้วยสีหน้าตกใจ ตัวมันสัมผัสพลังอสูรได้ แต่ก็ต้องเป็นอสูรที่มีพลังมากจนมันสัมผัสได้ แต่ตอนนี้มันกลับสามารถสัมผัสพลังอสูรตรงหน้าได้อย่างชัดเจน

 

“องค์จักรพรรดิ พวกมันคือสหายของข้าขอรับ ในวันนี้พวกมันจะช่วยต่อสู้ด้วยเช่นกัน”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มบางๆ ตลอดเวลา 1 เดือนไป๋จูเหวินเดินทางไปยังเขตอสูรเท่าที่จะทําได้ และขอแรงราชาแห่งเขตอสูรนั้นๆให้มาช่วยตนเอง ด้วยพลังของไป๋จูเหวิน การขอร้องอะไรเหล่าอสูรไม่ใช่เรื่องยากเลย

 

“นะ น้องสะใภ้ เจ้าแน่ใจนะว่าอสูรพวกนี้จะไม่ทําอะไรพวกเรา”เหล่ายอดฝีมือและพวกองค์หญิงองค์ชายต่างตื่นตระหนกกันอย่างมาก พวกมันไม่เหมือนคนในกลุ่มนักล่าอสูรที่คุ้นเคยกับการมีอสูรร่วมต่อสู้ พวกมันระแวงและต่อสู้กับอสูรมาตลอดชีวิตต่างหาก

 

“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ พวกเขาไม่มีทางทําอะไรพวกเราอย่างแน่นอน” เหม่ยหลินยิ้มพลางพูดออกมาอย่างมั่นใจ จากประสบการณ์ของนางแล้ว ไม่เคยมีอสูรตัวไหนไม่ยอมเชื่อฟังไป๋จูเหวินเลย ยิ่งคิดทําร้ายยิ่งแล้วใหญ่

 

“ดะ ดี แบบนั้นก็ยอดเยี่ยมไปเลย”องค์ชายใหญ่พูดพลางกลืนน้ําลายลงคอ ด้วยกําลังขนาดนี้ กลุ่มเขี้ยวโลหิตจะรอดได้อย่างไร

 

“เอาล่ะ คงได้เวลาแล้ว”องค์จักรพรรดิว่าพลางเรียกเอากระบี่มองราชวงศ์ชินออกมา กระบี่เล่มนี้คือหลักฐานว่าไป๋จูเหวินคือทายาทคนหนึ่งแห่งราชวงศ์ชิน และมารดาของมันก็ย่อมเป็นคนของราชวงศ์ชิน การกระทําของพวกมันในครั้งนี้คือการทวงความแค้นให้กับไป๋จูเหวิน หรือก็คือพวกมันมีเหตุผลที่สามารถทําได้นั่นเอง

 

“บุก”องค์จักรพรรดิสั่ง ก่อนที่เหล่ายอดฝีมือและอสูรต่างก็ออกตัววิ่งไปข้างหน้า ระยะทาง 50 กิโลเมตรเหลือเพียงครึ่งหนึ่งในไม่กี่อึดใจ ในระยะขนาดนี้พวกมันคงรู้ตัวแล้วแน่ๆ

 

รี้ดดดดดดด เสียงบางอย่างดังออกมาจากเมืองของกลุ่มเขี้ยวโลหิต พวกมันรู้ตัวและเตรียมจะโจมตีกลับมาแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เท่านี้ก็เหลือแต่การปะทะเท่านั้น

 

“โฮกกกกกก” ทันทีที่รู้ว่าโดนพบตัวแล้ว เหล่าอสูรที่ไป๋จูเหวินชวนมาก็พลันคืนร่างเดิมของมัน ทําเอาเหล่ายอดฝีมือที่อยู่ข้างๆตกใจไปด้วย

 

“องค์จักรพรรดิ ให้เหล่ายอดฝีมือขึ้นไปบนหลังของพวกอสูร”ไป๋จูเหวินตะโกนบอกก่อนจะขึ้นไปบนหลังของหลินหลินเป็นคนแรก ระยะทางที่เหลือหากขึ้นไปบนหลังของอสูรย่อมไวกว่าอยู่แล้ว

 

“โฮกกกกกกกก” คราวนี้ไม่ใช่เสียงของอสูรฝั่งไป๋จูเหวิน แต่กลับเป็นอสูรที่ออกมาจากประตูของกลุ่มเขี้ยวโลหิตต่างหาก

 

“รอเดี๋ยว”องค์จักรพรรดิว่าพลางยกมือขึ้นห้ามไม่ให้กองทัพของมันลงมือทําอะไร นั่นเพราะไป๋จูเหวินได้บอกมันเอาไว้แล้วว่าเมื่อเหล่าอสูรของกลุ่มเขี้ยวโลหิตออกมา มันจะเป็นคนจัดการเอง

 

“หยุด”ไป๋จูเหวินกระโดดออกจากร่างของหลินหลิน พลางใช้ฝ่ามืออัสนีข้ามฟ้าเพื่อย่นระยะทางระหว่างมันกับเหล่าอสูรของกลุ่มเขี้ยวโลหิตลง พริบตานั้นไป๋จูเหวินก็สัมผัสถึงพลังของพวกมัน อสูรเกือบทั้งหมดเป็นอสูรระดับมายา จํานวนไม่ต่ํากว่าร้อยตัวแน่ๆ เป็นอย่างที่คิด พวกกลุ่มเขี้ยวโลหิตโกหกเรื่องจํานวนอสูรจริงๆ

 

“ความรู้สึกนี่” เหล่าอสุรกว่าร้อยตนหยุดลงที่ด้านหน้า ไป๋จูเหวินในทันทีที่สัมผัสถึงความรู้สึกเช่นเดียวกับของเย่หลิง ความรู้สึกนี้ไม่ว่าอสูรตนใดก็ปล่อยผ่านไปไม่ได้

 

“ข้าขอร้อง อย่าขวางพวกเรา”ไป๋จูเหวินว่าพลางกางแขนทั้งสองข้างออก เหมือนจะบอกให้พวกมันอย่าผ่านจุดนี้ไป

 

“ไอ้หนู…”อสูรตนหนึ่งเหมือนกําลังจะพูดบางอย่าง แต่ยังไม่ทันพูดอะไรออกมา เสียงเหมือนเสียงผิวปากก็ดังขึ้นมา จากด้านหลังของพวกมัน ทําเอาเหล่าอสูรพากันแสดงท่าทีกดดันขึ้นมาทันที

 

“ข้าข้าทําให้เข้าไม่ได้เจ้าหนู” เหล่าอสูรส่ายหน้าก่อนจะกระโดดข้ามตัวไป๋จูเหวินไป ทําเอาตัวไป๋จูเหวินตกตะลึงเป็นอย่างมาก

 

เปรี้ยงงงง!! ร่างของไป๋จูเหวินพุ่งกลับมาที่ฝ่ายตนเองก่อนที่พวกอสูรของกลุ่มเขี้ยวโลหิตจะเข้ามาถึงเสียอีก

 

“พี่ไป มันเกิดอะไรขึ้น” เหม่ยหลินถามพลางมองเหล่าอสูรที่ยังตรงเข้ามา ปกติพวกมันควรจะเชื่อฟังไป๋จูเหวินและยอมหยุดแต่โดยดีไม่ใช่หรือ

 

“พวกมันไม่ฟังที่ข้าบอก”ไป๋จูเหวินดูท่าจะเป็นคนที่ตกใจที่สุด พวกมันหยุดและฟังที่ไป๋จูเหวินพูด แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างทําให้พวกมันไม่สามารถทําตามที่ไป๋จูเหวินขอได้

 

“ขอโทษด้วยเจ้าหนู หากพวกข้าไม่ทํา เย่หลิงคง…”อสูรตนหนึ่งพูดด้วยท่าทีหลัดกลุ้มมันเองก็อยากฟังที่ไป๋จูเหวินบอก แต่หากไม่ทําตามคําสั่งของพวกกลุ่มเขี้ยวโลหิต เย่หลิงที่อยู่ด้านในอาจจะโดนทรมานก็ได้

 

ตูม! ทันทีที่กลุ่มยอดฝีมือที่มีอสูรของไป๋จูเหวินเข้าร่วมปะทะกับกลุ่มอสูรของกลุ่มเขี้ยวโลหิต การเข่นฆ่าก็เกิดขึ้นในทันที การต่อสู้ตรงหน้าราวกับเวทีของเหล่าอสูรที่มีมนุษย์เข้ามาผสมโรงไม่มีผิด แต่ที่ทําให้กลุ่มยอกฝีมือลําบากคือ พวกมันไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอสูรตนไหนคือพวกพ้องของมันและตนไหนคือฝายของกลุ่มเขี้ยวโลหิต ทําให้พวกมันช่วยเหลือกันได้ยากมาก

 

“มนุษย์โจมตีด้านขวา อสูรโจมตีด้านได้”องค์จักรพรรดิสั่งพลางใช้กระบี่ทองราชวงศ์ชินโถมเข้าหาศัตรู ตัวมันเองก็เป็นชนชั้นมีฝีมือ แม้ไม่ได้โดดเด่นแต่เมื่อจักรพรรดิเข้าร่วมรบ เหล่ายอดฝีมือก็มีกําลังใจมากขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว

 

“พวกพี่ๆโจมตีทางซ้าย แต่ห้ามบุกเข้าไปในตัวเมืองนะ”ไป๋จูเหวินช่วยสั่งพลางกระโดดขึ้นไปบนหลังของหลินหลิน ไม่นึกเลยว่าเหล่าอสูรของกลุ่มเขี้ยวโลหิตจะไม่เชื่อฟังที่ไป๋จูเหวินพูด แต่ตอนนี้จํานวนของอสูรฝังกลุ่มเขี้ยวโลหิตค่อนข้างเสียเปรียบ พอมนุษย์และอสูรของฝั่งราชวงศ์เริ่มแยกกันสู้ ผมก็ออกมาค่อนข้างชัดเจนที่เดียว

 

“พี่ปักเป้า”ไป๋จูเหวินเห็นว่าอสูรของกลุ่มเขี้ยวโลหิตออกมาหมดแล้ว ไป๋จูเหวินจึงตะโกนขึ้นไปหาอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดของมัน อสูรปักเป้าแต่เดิมไม่ยอมลงมาพบหน้าไป๋จูเหวินเลยสักครั้ง แต่ช่วงที่ไป๋จูเหวินไปรวบรวมอสูร มันพยายามปลอบอยู่นาน จนในที่สุดก็สามารถทําความเข้าใจกันได้

 

วูบบบบบ..ทันทีที่ไป๋จูเหวินเรียก ก้อนเมฆบนท้องฟ้าก็พลันหายไปทันที แต่ร่มเงากลับมากขึ้นเสียอย่างนั้น

 

“นั่นมันบ้าอะไรกัน”ทั้งฝั่งของราชวงศ์ทั้งฝั่งของกลุ่มเขี้ยวโลหิตต่างเบิกตากว้างันถ้วนหน้าเพราะตอนนี้บนหัวของพวกมันปรากฏวัตถุลึกลับขนาดใหญ่จนมองเห็นได้ไม่ว่าจะจากทิศทางไหน ยามนี้มันสูบเอาลมรอบๆเข้าไปจนหมดแม้แต่ก้อนเมฆก็หายไปไม่เหลือ

 

“ไอ้เจ้าปักเป้า” พยัคฆ์อัสนีที่อยู่ในสวนของเย่หลิงตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นว่าอะไรเกิดขึ้นบนท้องฟ้า ในที่นี้นอกจากไป๋จูเหวินกับเหม่ยหลินและพวกอสูรของมันแล้วก็มีเพียงพยัคฆ์อัสนี้เท่านั้นที่รู้ว่าอสูรปักเป้ากําลังจะทําอะไร

 

“อะไรกัน เจ้าลูกบอลนั้นกําลังทําอะไร”มังกรสีขาวว่า พลางลอยตัวขึ้นสูง

 

“ป้องกันซะ” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางหันไปมองมังกรขาวและมังกรดํา

 

“เจ้าจะบอกว่า เจ้าลูกโปงนั้นจะโจมตั้งั้นหรือ เจ้าคิดว่าพวกข้าเป็นใครกัน”มังกรดําว่าพลางหัวเราะออกมา ด้วยระยะขนาดนี้พวกมันไม่สามารถสัมผัสพลังอสูรของอสูรปักเป้าได้ ทําให้สิ่งที่พวกมันเห็นคืออสูรปลาตนพนึ่งกําลังขยายร่างขู่เท่านั้น

 

โครม!! พยัคฆ์อัสนีกัดฟันกรอดก่อนจะถีบกําแพงของศาลากลางสวนทิ้งอย่างรวดเร็ว

 

“พวกเจ้าไม่กลัว แต่อย่าเอาเย่หลิงไปเสี่ยงด้วย” พยัคฆ์อัสนีว่าพลางเดินเข้าไปพาหวังเย่หลิงออกมาจากศาลา มันเคยเห็นแล้วว่าการโจมตีของอสูรปักเป้าสร้างความเสียหายขนาดไหน มันไม่คิดจะเอาชีวิตของเย่หลิงเข้าไปเสี่ยงแน่ๆ

 

ตูม! พยัคฆ์อัสนีกําลังจะพาเย่หลิงหนี แต่การโจมตีของอสูรปักเป้าก็ถูกปล่อยออกมาเสียก่อน เพียงพริบตาเดียวก็ราวกับท้องฟ้าแยกออกจากกัน เมืองเขี้ยวโลหิตโดนเป้าหายไปทั้งแถบ ทําเอามังกรขาวและมังกรดํารีบม้วนตัวเข้าหากันเป็นรูปโล่

 

ตูม!! ทันทีที่กระสุนวายุของอสูรปักเป้ากระแทกเข้ามาที่ร่างของมังกรขาวและมังกรดํา พวกมันก็ได้ทราบทันทีว่าทําไมพยัคฆ์อัสนีถึงได้หวาดกลัวนัก หากไม่ใช่เพราะพยัคฆ์อัสนีเตือนเอาไว้ก่อน พวกมันคงไม่สามารถร่วมกันป้องกันได้เร็วขนาดนี้ แต่ถึงจะป้องกันเอาไว้ พวกมันก็ยังบาดเจ็บไม่น้อย รวมทั้งสวนของเย่หลิงเองก็พังทลายไม่มีชิ้นดี

 

“ทําไมอสูรปักเป้าถึงมาอยู่ที่นี่ หรือว่าจูเอ๋อ…” พยัคฆ์อัสนีอุ้มร่างของเย่หลิงลอยอยู่กลางอากาศ แต่พริบตานั้นร่างของเหล่าอาวุโสของกลุ่มเขี้ยวโลหิตก็พลันกระโดดออกมาจากซากที่พังทลายทีละคนๆ

 

กระสุนวายุของอสูรปักเป้าลูกนี้ไม่เหมือนกระสุนวายุที่มันใช้ที่ริมทะเล ตอนนั้นมันอยู่ในสถานะคลั่ง ทําให้พลังโจมตีรุนแรงมากกว่านี้หลายสิบเท่า แม้แต่คนระดับเจ้าสวรรค์ยังไม่อาจต้านทานได้หากเป็นการโจมตีเหมือนตอนนั้นพยัคฆ์อัสนีคงหนีออกมาไม่ทัน และมังกรขาวมังกรดําคงเละไม่มีชิ้นดีแล้ว เช่นเดียวกับเหล่าอาวุโสของกลุ่มเขี้ยวโลหิต แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังไม่ตาย

 

“กรรร” มังกรขาวและมังกรดําไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น พวกมันทราบแต่ว่าเจ้าอสูรปักเป้านั้นอันตราย และมันก็โจมตีมาทางเย่หลิงด้วย มังกรทั้งสองโถมเข้าพัวพันอสูรปักเป้าเอาไว้ ทําเอาศึกบนฟ้าดูน่ากลัวอย่างมาก

 

“โจมตี” เหล่าอาวุโสแม้จะได้รับบาดเจ็บ พวกมันก็ยังสามารถสู้ต่อได้ ไม่นึกว่าการปล่อยดูท่าที่เพียงเท่านี้จะโดนเป่าเมืองหายไปทั้งเมือง ยามนี้หัวหน้ากลุ่มเขี้ยวโลหิตโกรธจนเลือดขึ้นหน้า สั่งพวกลูกน้องโจมตีใส่ราชวงศ์ทันที

Comment

Options

not work with dark mode
Reset