ตอนที่ 421
ไม่จำเป็น
ตุบ… ร่างของชายที่ทำร้ายหลิงจงเมื่อคราวก่อนกระโดดลงมาจากหน้าผาก่อนจะร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวล แม้จะมั่นใจว่าหลิงจงสมควรตายไปแล้ว แต่มันไม่อยากทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดด้วยความคิดง่ายๆ มันจึงลอบเข้ามาในป่าอีกครั้งหลังจากฟื้นฟูพลังวิญญาณเสร็จแล้ว
“……”สิ่งที่มันพบนั้นทำให้มันรู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่กลับมาดู เพราะตรงกองหินมีร่องรอยของหลิงจงอยู่ เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่ตาย และนอกจากร่องรอยของหลิงจงแล้วยังมีรอยเท้าของผู้อื่นและรอยเท้าม้าอีกต่างหาก เห็นได้ชัดเลยว่ามีคนมาช่วยเหลือมันเอาไว้แน่ๆ ทำให้ชายผู้ทำร้ายหลิงจงเดินตามรอยเท้าม้าไปช้าๆเพื่อตามหาร่องรอยของหลิงจง มันบาดเจ็บไม่น้อย ไม่น่าจะหนีไปได้ไกล
.
.
“ฝึกฝนพลังวิญญาณ?”เหม่ยหลินพูดออกมาพลางมองหลิงจงที่อยู่ๆก็เข้ามาหาตนในห้องครัวและกล่าวขอร้องให้มันได้สอนวิชาให้กับบุตรชายของนางเสียอย่างนั้น
“ใช่ขอรับ ตัวข้าเป็นศิษย์ของสำนักคร่าตะวัน มีความสามารถเป็นที่เลื่องลือไม่น้อย”หลิงจงว่าพลางประสานมือให้กับเหม่ยหลินอย่างเป็นทางการ
“วันนี้ได้น้องจูล่งช่วยเอาไว้ข้าจึงรู้สึกถูกชะตา ข้าเลยอยากจะถ่ายทอดวิชาให้กับน้องจูล่งขอรับ”หลิงจงพูดออกไปปด้วยท่าทีจริงจังและจริงใจอย่างที่สุด ตัวมันโดนลอบทำร้ายบาดเจ็บเจียนตาย เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากไป๋จูล่งก็รู้สึกสำนึกบุญคุณและคิดจะตอบแทนด้วยวิธีนี้ สำหรับหมู่บ้านเล็กๆที่ไม่มีผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณอยู่เลย การได้รับวิชาฝึกฝนนั้นนับว่ามีประโยชน์อย่างมาก หากจูล่งฝึกสำเร็จไม่ว่าจะมากหรือน้อยมันก็ย่อมมีความแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆในหมู่บ้านอย่างแน่นอน เมื่อถึงคราวมีภัยมาถึงหมู่บ้านจูล่งจะได้ช่วยเหลือผู้อื่นได้
“ท่านหลิงจง ท่านช่างมีความเมตตาจริงๆ แต่เกรงว่าบุตรชายของข้าจะไม่มีเวลาไปฝึกฝนพลังวิญญาณหรอก”เหม่ยหลินตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่มีเวลา?”หลิงจงกะพริบตาปริบๆ ไม่มีเวลางั้นหรือ ในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้จูล่งต้องทำงานอะไรกันถึงขนาดไม่มีเวลามาฝีกฝนพลังวิญญาณได้
“ท่านแม่ ถึงเวลาแล้วข้าขอไปหาท่านน้าก่อนนะขอรับ”ยังไม่ทันได้ถามอะไร ไป๋จูล่งก็ชะโงกหน้าเข้ามาในห้องครัวที่เหม่ยหลินกำลังตระเตรียมอาหารอยู่
“ระวังตัวด้วยนะลูก”เหม่ยหลินพูดยังไม่ทันตบจูล่งก็วิ่งออกไปจากบ้านเสียแล้ว
“ท่านหลิงจง ท่านไม่ต้องตอบแทนอะไรพวกเราหรอก พักผ่อนให้หายดีแล้วกลับไปจัดการเรื่องของท่านดีกว่า”เหม่ยหลินพูดพลางยิ้มบางๆออกมา แม้จูล่งจะบอกว่าหลิงจงโดนหินถล่มใส่ แต่เหม่ยหลินไม่ช่คนโง่ ตอนที่ไป๋จูเหวินรักษาหลิงจงนางก็เห็นชัดเจนว่ามีรอยแผลจากดาบอยู่ด้วย เกรงว่าการที่หลิงจงนอนอยู่ที่หน้าผาจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไป๋จูเหวินถึงได้ออกไปตรวจตราดูรอบๆว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนั่นเอง
“ขอรับ”หลิงจงกะพริบตาปริบๆด้วยความสงสัย ปกติคนที่จะได้รับการฝึกฝนพลังวิญญาณจะดีใจกันมากทีเดียว หรือที่หมู่บ้านนี้จะยังไม่ทราบกันว่าผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณเป็นอย่างไร
“ล่งเอ๋อ น้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าหลงเชื่อคำพูดง่ายๆแบบนี้”เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังออกมาจากบ้านที่ไป๋จูล่งเข้าไป ทำเอาหลิงจงที่เดินตามออกมาแอบเข้าไปดูใกล้ๆทันที
“เจ้านี่มันบื้อเหมือนพ่อไม่มีผิด แค่คำโกหกง่ายๆแค่นี้ก็จับไม่ได้”เสียงหญิงสาวคนนั้นทำให้จูล่งหัวเราะเจื่อนๆออกมาทันที
“เรียนหนังสืองั้นหรือ?”หลิงจงมองภาพไป๋จูล่งที่กำลังเขียนหนังสืออยู่กับหญิงสาวนางหนึ่งอย่างตั้งใจ การที่หมู่บ้านเล็กๆแบบนี้มีการสอนหนังสือด้วยทำให้หลิงจงประหลาดใจไม่น้อย แต่ท่าทางจูล่งจะเรียนไม่ได้เรื่องเสียเท่าไหร่ เพราะอาจารย์ผู้สอนท่าทางจะโมโหกับคำตอบของจูล่งอย่างมาก
“จำไว้นะล่งเอ๋อ การคิดร้ายผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ…”หลังจากเรียนหนังสือกับหญิงสาวที่เหมือนจะเป็นน้าของจูล่ง ไม่นานจูล่งก็ออกไปหาน้าผู้ชายอีกคนต่อทันที แต่คราวนี้กลับไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เปลี่ยนเป็นการนั่งสมาธิและสอนพระธรรมแทน ทำให้หลิงจงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ไม่นึกว่าจูล่งจะสนใจการทำสมาธิด้วย แต่หากสามารถเข้าใจหลักธรรมได้ การฝึกฝนพลังวิญญาณก็ยิ่งง่าย ขอเพียงมีสมาธิและความตั้งใจ จูล่งต้องฝึกพลังวิญญาณได้แน่ๆ
“ท่านคือหลิงจงสินะขอรับ”ขณะหลิงจงกำลังลอบติดตามไป๋จูล่งอยู่นั้น อยู่ๆที่ด้านหลังของหลิงจงก็ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งเดินออกมาจากทางด้านหลังของมัน
“ขอ ขอรับ เป็นข้าเอง”หลิงจงตอบพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา อีกฝ่ายไม่มีพลังวิญญาณทำให้มันจับสัมผัสไม่ได้เลย
“ยินดีที่ได้รู้จักขอรับ ข้าเป็นพ่อของจูล่งมีนามว่าไป๋จูเหวินขอรับ”ไป๋จูเหวินว่าพลางประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม ทำเอาหลิงจงรีบประสานมือรับทันที หากมันเป็นพ่อของจูล่งก็หมายความว่ามันคือผู้รักษาหลิงจงงั้นหรือ
“เป็นท่านนี่เอง ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเรื่องที่ช่วยรักษาเลย”หลิงจงว่าพลางประสานมือก้มหัวให้ไป๋จูเหวินอย่างสำนึกบุญคุณ
“ข้าเห็นผู้อื่นบาดเจ็บก็ต้องช่วยเป็นธรรมดา ท่านอย่าได้เกรงใจเลย”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มบางๆออกมา แม้จะมาใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านมานานหลายปี แต่ก็ยังสลัดท่าทีของจักรพรรดิได้ไม่หมด เมื่อครู่เผลอทำเหมือนหลิงจงเป็นผู้น้อยไปเสียแล้ว
“ได้ข่าวว่าท่านอยากจะสอนวิชาให้ล่งเอ๋อ เป็นความจริงหรือขอรับ”ไป๋จูเหวินถามพลางมองไปทางหลิงจงครู่หนึ่ง พริบตานั้นดวงตาของมันก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงครู่หนึ่ง จึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วหลิงจงมีพลังวิญญาณไม่ธรรมดาเลย อายุของมันน่าจะราวๆ 20 ปี แต่ก็ฝึกฝนมาจนถึงขั้นก่อกำเนิดพลังเซียนแล้วนับว่ามีพรสวรรค์ไม่น้อย
“ใช่ขอรับ หากน้องจูล่งได้ฝึกฝนละก็ในภายภาคหน้าจะต้องช่วยเหลือตัวน้องจูล่งได้มากแน่ๆ”หลิงจงตอบอย่างมั่นใจ ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณได้เปรียบคนธรรมดาอยู่มาก ไม่ว่าจะฝึกฝนด้วยสาเหตุอะไรแต่มันก็ย่อมดีกว่ากับอนาคตของจูล่งอย่างแน่นอน
“เกรงว่าจะไม่จำเป็นหรอกขอรับ ตอนนี้ข้าอยากจะสอนให้จูล่งเป็นคนดีเสียก่อน”ไป๋จูเหวินส่ายหน้า สำหรับตัวไป๋จูเหวินแล้วพลังมากมายไม่ได้ช่วยอะไรเลย หากพลาดเป็นเหมือนชินอี้อีกไป๋จูเหวินคงได้แต่โทษว่าเป็นความผิดตนเองไปทั้งชีวิตแน่ๆ
“ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้วหรือ”หลังจากเรียนกับน้ามังกรเสร็จ จูล่งก็ออกมาจากบ้านของน้ามังกรอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาไป๋จูเหวินเป็นอย่างแรก
“ท่านพ่อ ท่านไปสำรวจในป่ามามีอะไรผิดปกติหรือขอรับ”จูล่งถามพลางยิ้มกว้าง ปกติแล้วมันทราบดีว่าไป๋จูเหวินจะออกไปสำรวจรอบๆหมู่บ้านก็ต่อเมื่อมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเท่านั้น
“ไม่มีอะไรน่ากังวลหรอก”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มบางๆออกมา
“ดีจัง ข้ากลัวว่าจะมีพวกโจรมาเหมือนคราวก่อนซะอีก”จูล่งถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนหน้านี้มีโจรพยายามจะบุกหมู่บ้าน แต่พวกน้าๆก็ปกป้องหมู่บ้านเอาไว้ได้ ทำให้จูล่งโล่งใจอย่างมากเลยทีเดียว
“โจรงั้นหรือ แถวนี้มีโจรป่าอยู่ด้วยงั้นหรือ”หลิงจงแสดงท่าทีตกใจออกมา หากสอนจูล่งไม่ได้ มันก็ยังอยากจะตอบแทนอยู่ดี หากมีโจรอยู่ใกล้ๆและคอยสร้างความเดือดร้อนให้หมู่บ้านละก็ มันสามารถไปจัดการโจรเหล่านั้นเพื่อช่วยเหลือหมู่บ้านได้
“พวกโจรโดนไล่ไปหมดแล้วขอรับ”ไป๋จูเหวินตอบด้วยรอยยิ้ม โจรธรรมดาๆหรือจะมากล้าหาเรื่องน้าๆของไป๋จูเหวินได้ พวกมันโดนน้าพยัคฆ์สั่งสอนจนแตกกระเจิงไปนานแล้ว
“งั้นหรือ ท่าทางจะเป็นโจรธรรมดา”หลิงจงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“มีโจรไม่ธรรมดาด้วยหรือขอรับ”จูล่งถามพลางเบิกตาด้วยความสงสัย
“มันก็มีบ้างที่พวกโจรจะมีผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณอยู่ด้วย หากเป็นพวกนั้นละก็จะอันตรายกว่าโจรธรรมดามากทีเดียว”หลิงจงตอบอย่างจริงจัง ทำให้จูล่งมีท่าทีกลัวๆนิดหน่อย เพราะก่อนหน้านี้หลิงจงได้อธิบายให้จูล่งฟังแล้วว่าผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณคืออะไร และแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามากแค่ไหน ทำให้ภาพผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณในหัวของจูล่งนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“ถ้ามีโจรแบบนั้นเข้ามา คนในหมู่บ้านคงจะแย่แน่ๆ”จูล่งมีท่าทีเป็นห่วงคนในหมู่บ้านอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ไป๋จูเหวินกับพวกน้าๆที่เดินตามออกมาส่ายหัวน้อยๆ หากมีคนที่ทำให้ไป๋จูเหวินลำบากได้ มันจะเป็นโจรไปทำไมกัน
“เพราะแบบนั้นไงข้าถึงอยากให้เจ้าฝึกฝนพลังวิญญาณ”หลิงจงตอบพลางมองไปทางไป๋จูเหวิน มันต้องหาทางชี้ว่าการฝึกฝนพลังวิญญาณนั้นมีข้อดีมากแค่ไหน พ่อและแม่ของจูล่งถึงจะได้ยอมให้จูล่งฝึกฝนพลังวิญญาณได้
“พี่หลิงจง”อยู่ๆจูล่งก็หันมาทางหลิงจง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วผลักร่างของหลิงจงให้ถอยไปสองก้าว
ฉึกๆๆๆ หลิงจงยังไม่ทันทราบว่าทำไมจูล่งถึงเข้ามาผลักตนเอง มีดสั้น 4 เล่มก็พุ่งเข้ามาใส่ตรงจุดที่หลิงจงเคยยืนอยู่ ก่อนจะพุ่งเข้าไปปักที่เสาไม้ด้านหลังแทน
“เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง”ชายที่ทำร้ายหลิงจงก่อนหน้านี้ว่าพลางยิ้มออกมา มันตามรอยเท้าม้ามาได้ไม่กี่ชั่วโมงก็เจอหมู่บ้านเข้าเสียแล้ว แถมหลิงจงยังไม่ได้หนีไปไหนอีกทำให้งานของมันง่ายขึ้นมาก
“ลั่วสุน เจ้า…”หลิงจงใจหายวาบเมื่อเห็นว่าลั่วสุนตามมาถึงที่นี่
“นึกว่าข้าจะไม่ตามมาสินะถึงได้เอ้อระเหยอยู่ที่นี่”ลั่วสุนว่าพลางชักดาบออกมาหมายจะจัดการหลิงจงเสีย ตอนนี้มันยังไม่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บ มันย่อมสามารถชนะได้ไม่ยากอยู่แล้ว
ตูม! ดาบของลั่วสุนทะยานวาบเข้ามาหาหลิงจงอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้สนใจเลยว่ารอบๆมีชาวบ้านอยู่หรือไม่ และคนที่ยืนอยู่ข้างๆหลิงจงก็เป็นไป๋จูล่งเสียด้วย
“……”ไป๋จูล่งไม่ทราบหลบดาบของลั่วสุนไปอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำให้หลิงจงโล่งใจเป็นอย่างมาก
วูบ!! อยู่ๆทั้งหลิงจงทั้งลั่วสุนก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณขุมหนึ่งที่พุ่งออกมาจากตัวของไป๋จูล่ง พลังกดดันระดับนี้ไม่ใช่พลังวิญญาณธรรมดาเลย บางทีอาจจะมากกว่าเจ้าสำนักของพวกมันเสียอีก
เปรี้ยง!! ฝ่ามือของไป๋จูล่งกระแทกเข้าที่อกของลั่วสุนอย่างจังผลักเอาร่างของมันปลิววูบเข้ากระแทกต้นไม้ด้านหลังจนต้นไม้ล้มระเนระนาดไปหลายต้นในทันที
“ล่งเอ๋อ”อยู่ๆเสียงของน้ามังกรก็ดังขึ้นเหมือนจะดุไป๋จูล่งเสียอย่างนั้น
“พ่อเจ้าบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าลงมือทำร้ายผู้อื่น”มังกรธรณีว่าพลางจ้องมองหลานชายด้วยท่าทีตำหนิ
“ตะ แต่เมื่อครู่ผู้ชายคนนั้นจะทำร้ายพี่หลิงจงนี่นา ข้าก็เลย…”จูล่งว่าพลางก้มหน้าสำนึกผิด
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” แม้ฝั่งคนในหมู่บ้านจะพากันตักเตือนไป๋จูล่ง แต่หลิงจงกลับกำลังอึ้งชนิดที่ว่าจะหาคำพูดมาอธิบายก็หาไม่ได้ เมื่อครู่จูล่งปล่อยพลังวิญญาณออกมา แถมยังซัดลั่วสุนที่ฝีมือเหนือกว่ามันอยู่ขั้นหนึ่งเพียงครั้งเดียวถึงกับผลักลั่วสุนปลิวไปไกลหลายสิบเมตรเลยเนี่ยนะ แถมพลังเมื่อครู่มันอะไรกัน ระดับพลังเช่นนั้นหลิงจงไม่เคยได้สัมผัสที่ไหนมาก่อน แม้แต่เจ้าสำนักของพวกมันหรือบรรพบุรุษของสำนักก็ยังไม่มีใครมีพลังระดับนี้เลยไม่ใช่หรือ
“ข้าถึงได้บอกยังไงล่ะว่าไม่จำเป็น”ไป๋จูเหวินว่าพลางเดินเข้าไปหาไป๋จูล่งช้าๆ ก่อนจะสั่งให้ไป๋จูล่งรีบปิดบังพลังของตนเองเอาไว้ตามเดิม ก่อนที่หลิงจงจะตกใจไปมากกว่านี้