ตอนที่ 613
สังหารเพื่อประโยชน์
“พวกเจ้าพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาโดยไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นหรือ”หลินเฟยถามด้วยสีเย็นยะเยียบด้วยความพยายามที่จะสะกดอารมณ์โกรธเคืองเอาไว้ แม้แต่ตนเองที่เป็นบุตรหลานตระกูลไป๋ยังไม่มีความด้านชาพอจะพูดเรื่องฆ่าล้างตระกูลผู้อื่นราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่มีใครต่อว่าแบบนี้ได้เลย
“แล้วไง ใครก็ทำอะไรพวกข้าไม่ได้”คุณชายตระกูลหยูยักไหล่ก่อนจะเอามือไปโอบร่างของเด็กสาวตระกูลติงเอาไว้ หากว่ากันตามที่คนขับรถเล่า คุณชายตระกูลหยูผู้นี้มีอำนาจในเมืองแห่งนี้อย่างมาก ไม่มีใครกล้าทำอะไรทั้งนั้น เรื่องที่คนของตนฆ่าล้างตระกูลผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไร เพียงหาเหตุผลมาข้อหนึ่งมาอ้างแม้มันจะไม่ใช่เรื่องน่าเชื่อถือก็ตาม ทุกคนก็ไม่สามารถเถียงได้แล้ว
“ข้าก็แค่รู้สึกถึงความแปลกประหลาดของตระกูลฟงเลยขอให้คุณชายหยูไปช่วยตรวจสอบเท่านั้น พอรู้ว่าพวกมันคืออสูรปลอมตัวมาพวกเราก็เลยจัดการเท่านั้นเอง โชคดีจริงๆข้าเกือบจะแต่งงานกับพวกมันแล้ว ช่างน่าขยะแขยงเหลือเกิน”ได้ยินที่เด็กหญิงตระกูลติงพูด หลินเฟยก็เผลอปล่อยอารมณ์โมโหออกมาทันที พริบตานั้นดวงตาของหลินเฟยเปลี่ยนเป็นสีแดงและม่วงเพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายรวมถึงตรวจสอบพลังของอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
ตัวคุณหนูตระกูลติงแทบไม่มีพลังวิญญาณเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดา แค่จับไปที่คอขาวๆนั่นเบาๆก็คงหักในพริบตาแล้ว ส่วนคุณชายหยูมีพลังวิญญาณระดับเหรินเซียนและผู้ติดตามระดับเสินเซียนขั้นแรกๆอีกหลายคน สมแล้วที่ไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกมัน ในอาณาจักรที่ระดับเสินเซียนเป็นระดับสูงสุด พวกผู้ติดตามของคุณชายหยูนั้นนับว่าเป็นว่าที่ยอดฝีมือในอนาคตเลย
เพียงแต่…..หากหลินเฟยคิดจะโจมตี แม้จะไม่มีอาวุธข้างกายอย่างกระบี่ที่ท่านตาราชสีห์ทำให้ แต่เพียงมือเปล่าๆก็คงสามารถสังหารผู้คุ้มกันที่อยู่ตรงนี้ได้ในพริบตา และยังสามารถจับตัวคุณชายหยูและคุณหนูติงเอาไว้ได้ก่อนที่พวกผู้คุ้มกันจะรู้ตัวเสียอีกว่าตนเองได้ตายไปแล้ว
กึก…..
หลินเฟยใช้มือซ้ายกำข้อมือขวาตนเองเอาไว้ก่อนที่จะเผลอโจมตีออกไป อดทนไว้… เจ้าพวกนี้ไม่ใช่เป้าหมายของหลินเฟย แม้มันจะทำกับศิษย์ของตนเองแต่คนที่จะลงโทษพวกมันไม่ใช่หลินเฟย
“พวกเจ้าไม่ใช่เหยื่อของข้า”หลินเฟยพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆเหมือนกำลังข่มอารมณ์ตนเอง แต่อีกฝ่ายไม่สามารถสัมผัสพลังของหลินเฟยได้เลยหัวเราะออกมาด้วยท่าทีขำขันราวกับหลินเฟยพึ่งเล่าเรื่องตลกออกมาไม่มีผิด
“ฮ้าๆ คนอย่างเจ้าเนี่ยนะจะทำอะไรข้าได้”คุณชายหยูชี้มาทางหลินเฟยด้วยท่าทีราวกับมองคนบ้า หารู้ไม่เลยว่าหากหลินเฟยเอื้อมมือออกมาพริบตาเดียวนิ้วที่ชี้มาจะหายไปทันที
“ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก…”หลินเฟยสงบสติอารมณ์ก่อนจะยิ้มบางๆออกมา ไม่ได้ หากฆ่าพวกมันหมดตอนนี้ฟงเป่าคงไม่มีคนให้แก้แค้นแน่ๆ แบบนั้นเป้าหมายของฟงเป่าคงสลายหายไปหมดแน่ๆ อย่างน้อยหลินเฟยก็อยากให้ฟงเป่าได้จัดการชายโฉดหญิงชั่วตรงหน้าด้วยตนเอง
“วันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป”หลินเฟยพูดจบก็หันหลังเดินออกมาจากร้านอาหารไปช้าๆ แต่ยังไม่ทันเดินพ้นจากร้าน เสียงหัวเราะของคุณชายหยูก็ดังไล่หลังมาเสียก่อน
“แต่ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆหรอก เจ้ากล้านินทาตระกูลข้ากลางวันแสกๆขนาดนี้ต้องลงโทษเสียหน่อย พวกเจ้าหักขามันซะ”คุณชายหยูสั่งพลางมองไปทางเหล่าผู้คุ้มกัน
“ขอรับ…”ทันทีที่นายสั่งเหล่าผู้คุ้มกันก็ไม่รอช้ามุ่งตรงเข้ามาหาหลินเฟยพร้อมชักอาวุธออกมาทันที
โครม…..
ยังไม่ทันวิ่งเข้าไปถึงตัวหลินเฟย เหล่าผู้คุ้มกันที่ถืออาวุธครบมือก็พากันกระเด็นออกมาคนละหลายก้าวแถมยังล้มก้นจ้ำเบ้าอีกต่างหาก แต่ยังไม่ทันรู้ว่าพวกตนโดนอะไรหลินเฟยก็หันหลังเดินออกจากร้านไปเสียแล้ว
“ทำอะไรอยู่ ตามมันไป”คุณชายหยูว่าพลางเดินเข้าไปหาผู้คุ้มกันที่ล้มอยู่ใกล้ๆ
“ขา…ขาข้า”ผู้คุ้มกันคนนั้นพูดด้วยท่าทีตกใจ วินาทีนั้นคุณชายหยูถึงได้ทราบว่าเหล่าผู้คุ้มกันของตนต่างขาหักกันจนหมดทั้งๆที่ยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายโจมตีอย่างไร
.
.
“เผลอไปจนได้….”หลังจากออกมาจากเมือง หลินเฟยก็ถอนหายใจออกมาช้าๆ เท่านี้ธุระไปเยี่ยมคู่หมั้นของฟงเป่าก็เป็นอันล่มไม่เป็นท่า หากถามว่านางสบายดีหรือไม่ก็คงตอบได้เต็มปากว่าสบายดี แต่ฟงเป่าคงไม่คิดหรอกว่าแท้จริงแล้วคู่หมั้นของตนเองนี่ล่ะที่ทำให้เกิดเรื่อง ตระกูลฟงนั้นเกรงว่าจะผิดที่มีหยกอยู่ในมือเท่านั้นกระมัง
“ฟงเป่าเอ๋ย เจ้าจะทำใจกับเรื่องนี้ได้หรือไม่นะ”หลินเฟยพอมาคิดดูแล้วก็อดสงสารฟงเป่าไม่ได้ แม้ตอนแรกหลินเฟยจะรับฟงเป่ามาแค่เป็นตัวช่วยให้ตนเองสบายขึ้น แต่พอได้สอนศิษย์ทุกคนหลินเฟยก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตนเองเริ่มผูกพันกับเหล่าศิษย์เข้าให้แล้ว เมื่อเจอคนคิดร้ายหรือต่อว่าฟงเป่าผู้เป็นศิษย์ตนเองก็ถึงกับโมโหแทนทันทีจนเผลอหักขาพวกผู้คุ้มกันไปทั้งๆที่สมควรเดินออกมาโดยปล่อยให้พวกมันหัวเราะและประสาทต่อไปจนกว่าฟงเป่าจะพร้อมแท้ๆ แต่ที่แย่กว่านั้นคือเมื่อฟงเป่ารู้ความจริงเข้าฟงเป่าจะรับไหวหรือไม่เท่านั้นเอง
วูบ…
ร่างของหลินเฟยกระโดดไปข้างหน้าตามทางที่หมิงมิ่งได้บอกเอาไว้ จริงๆแล้วเขตอสูรโพรงมรณะนั้นอยู่ใกล้กับเมืองซาโถวมาก เรียกได้ว่าจริงๆแล้วชาวเมืองซาโถวกว่าครึ่งนั้นอาศัยอยู่ในเขตอสูรโดยไม่รู้ตัวเลยก็ว่าได้ เพียงแต่เขตอสูรที่โพรงมรณะนั้นเป็นเขตอสูรขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ดิน โดยทางเข้านั้นมีเพียงช่องเล็กๆที่เด็กจะสามารถรอดเข้าไปได้ไม่กี่ทางเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ชาวเมืองซาโถวจะไม่ทราบว่ามีเขตอสูรอยู่ใกล้ๆ
“เอาล่ะ..”หลินเฟยเดินมาจนเจอทางเข้าของเขตอสูร ก่อนจะใช้พลังธาตุดินเปิดทางให้ตนเองสามารถลงไปได้ นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่หลินเฟยเข้าไปในเขตอสูรโดยมีไม้หอมปกปิดพลังดึงดูดเหล่าอสูรของตนเอาไว้ หรือก็คือหลินเฟยเข้าไปในฐานะศัตรูนั่นเอง
ตุบ….
ร่างของหลินเฟยตกลงมาบนพื้นอย่างปลอดภัย แม้ทางเข้าออกจะเล็ก แต่เส้นทางใต้ดินนั้นกลับใหญ่โตมาก บางทีแม้แต่ท่านป้าไป๋ไป่ก็คงลงมาเดินได้สบายต่อให้อยู่ในร่างมังกรก็ตาม
ภายในเขตอสูรใต้ดินแบบนี้มีสมุนไพรขึ้นได้ไม่มาก ทำให้ตลอดทางมีแต่ดินโล่งๆเท่านั้น หลินเฟยต้องลงเข้าไปลึกกว่านี้เพื่อหาสมุนไพรที่หลินเฟยต้องการ แต่พอลองมานึกดูแล้ว เขตอสูรผาไร้ก้นนั้นช่างเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ หากอยู่ที่อื่นการหาสมุนไพรบางอย่างต้องย้ายไปหาที่เขตอสูรต่างกัน แต่ในเขตอสูรผาไร้ก้นนั้นอาจจะเพราะพวกท่านตาอสูรเป็นอสูรคนละธาตุที่มาอยู่อาศัยร่วมกันพอดี ทำให้สมุนไพรในเขตอสูรผาไร้ก้นนั้นมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์กว่าเขตอสูรอื่นมาก แถมยังมีสายพันธุ์แปลกๆที่เกิดจากการอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างเขตอสูรหลายๆเขตด้วย แม้แต่สมุนไพรที่จะขึ้นแต่สภาพพื้นที่ใต้ดินแบบนี้ในเขตอสูรผาไร้ก้นยังหามาได้เลย
กึก….
พอเข้ามาลึกภายในโพรงเหล่านี้ก็จะมีอสูรอาศัยอยู่มากขึ้น แถมเพราะเส้นทางเป็นทางตรงที่มีทางแยกมากมาย แม้หลินเฟยจะใช้ดวงตาสีม่วงเพื่อเลี้ยงทางที่มีอสูรไปได้แต่พอเข้ามาลึกมากๆทุกเส้นทางก็มีอสูรอาศัยกันหมด แบบนี้ก็เลี้ยงไม่ได้แล้วที่จะต้องปะทะกับพวกมัน
เปรี้ยง!!
ท่าทางไม่ใช่ฝ่ายหลินเฟยอย่างเดียวแล้วที่พบเจอพวกมัน ท่าทางพวกมันเองก็เริ่มสัมผัสได้แล้วว่าหลินเฟยกำลังเข้ามา ในมุมมีดของเส้นทางโพรงเกือบสิบสาย ร่างของแมงมุมตนหนึ่งก็พุ่งทะยานเข้ามาหาหลินเฟยพร้อมเขี้ยวที่เตรียมจะง้างกัดใส่หลินเฟยทันที ไม่ใช่แค่นั้นอีกด้านยังมีอสูรตะขาบกำลังรอจังหวะอยู่เช่นกัน
เปรี้ยง!!
น่าเสียดายระดับพลังของพวกมันไม่สามารถทำอะไรหลินเฟยได้เลย แม้ตลอดเส้นทางจะมีอสูรเข้ามาโจมตีหลินเฟยไม่ขาดสาย แต่พริบตาเดียวหลินเฟยก็จัดการได้อย่างง่ายดาย แม้ตระกูลไป๋จะเป็นมิตรกับอสูร แต่ไม่ใช่ว่าตระกูลไป๋จะไม่ฆ่าอสูร การกินกันเองของอสูรนั้นถือเป็นเรื่องปกติ หากมีอสูรเข้าทำร้ายอสูรอีกตนก็ต้องฆ่าทิ้ง ในเมื่ออสูรเหล่านี้เข้าทำร้ายหลินเฟยหลินเฟยเองก็ไม่คิดจะออมมือแต่อย่างไร
“เจอแล้ว….”หลินเฟยเดินเข้ามาในโพรงแห่งหนึ่งที่มีแอ่งน้ำอยู่ภายใน ที่นี่มีสมุนไพรงอกอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่แค่เห็ด หรือเชื้อรา แต่ยังมีต้นไม้กลางคืนที่โตได้ในความมืดอีกต่างหาก
ตุบ….
หลินเฟยยังไม่ทันเดินเข้าไป อยู่ๆด้านหน้าหลินเฟยก็ปรากฏร่างของอสูรมดตนหนึ่งเดินเข้ามาขวางเสียก่อน เจ้านี่เป็นอสูรระดับมายาขั้นที่ 9 หากนางพญามดที่เป็นราชาของเขตนี้เป็นอสูรมายาขั้นที่ 10 ละก็เท่ากับว่าเจ้านี่เป็นอสูรที่แข็งแกร่งรองจากนางพญามดเท่านั้นเลยกระมัง
“พอดีเลยนี่นา”หลินเฟยว่าพลางตั้งท่าฝ่ามือออกมาช้าๆ ตรงหน้าหลินเฟยนั้นเป็นมดที่ยืนสองขาเหมือนมนุษย์แถมยังมีขนาดไม่ต่างจากหลินเฟยมากนัก ส่วนขาอีก 4 ข้างบนร่างกายของมันนั้นคงใช้โจมตีได้แถมยังมีปากที่มีเขี้ยวพร้อมจะกัดอีกต่างหาก
“บางทีเจ้าอาจจะช่วยข้าระบายความโมโหเมื่อครู่ได้”หลินเฟยพูดพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนหน้านี้หลินเฟยยังโมโหเรื่องที่พวกนั้นพูดถึงตระกูลฟงของฟงเป่าไม่หาย แม้จะอดทนไม่ทำอะไรพวกมันได้แต่ความรู้สึกขุ่นเคืองเมื่อครู่ก็ไม่ได้ลบล้างไปด้วย
เปรี้ยง!!
ฝ่ามือของหลินเฟยซัดอสูรมดทหารตัวนั้นจนล้มลงไปนอนกับพื้นด้วยร่างกายที่แตกร้าวราวกับเกราะที่ถูกทุบจนพัง หากคู่ต่อสู้ไม่ใช่หลินเฟยที่มีพลังอสูรระดับบรรพกาลละก็มันต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวมากแน่ๆ
“กีสสสส”แม้จะระดับพลังมาก แต่เจ้ามดตัวนี้ท่าทางจะสื่อสารภาษามนุษย์ไม่ได้สินะ พอมันส่งเสียงออกมามันก็นอนตายลงกับพื้นแล้วเหลือทิ้งเอาไว้แค่แก่นอสูรเท่านั้น เท่านี้สิ่งที่หลินเฟยต้องการก็ได้มาจนครบเสียที ทั้งสมุนไพรรักษาองค์จักรพรรดิ และแก่นอสูรของอสูรที่แข็งแกร่ง….