บทที่ 2 ขันทีน้อยผู้มีโชค
เสิ่นเทียนลุกขึ้นจากเตียง “ท่านลุงกุ้ย ข้าจะอาบน้ำเปลี่ยนผ้าและออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท บ่าวจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้”
กุ้ยกงกงซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเบ้า ในเวลาหนึ่งเดือนที่ฝ่าบาทนอนอยู่บนเตียง เขาเองก็ไม่สบายใจเช่นกัน
ทุกครั้งที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกในอดีต อารมณ์ขององค์ชายสิบสามแปรปรวนอย่างยิ่ง
ขอเพียงพลังปราณฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย เขาก็คิดจะลงจากเตียงไปหาวิชายุทธ์อื่นมาลองฝึกฝนต่อทันที
คราวนี้เสิ่นเทียนนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง กุ้ยกงกงรู้สึกโล่งใจมากในตอนแรก
ในที่สุดองค์ชายสิบสามก็เรียนรู้ที่จะทะนุถนอมร่างกายของตนเองแล้ว พระสนมหลานที่อยู่แดนปรโลกรู้เข้า ก็คงยิ้มร่าทั่วทั้งแดนปรโลก
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปทีละนิด กุ้ยกงกงพบว่าเรื่องไม่ได้ธรรมดาเพียงนั้น
พฤติกรรมขององค์ชายสิบสามน่าตกใจเกินไปแล้วกระมัง!
บอกให้นอนพักฟื้นอยู่บนเตียง หากไม่มีธุระอันใดอย่าเพ่นพ่านไปทั่ว
ไม่ได้บอกให้กินดื่มถ่ายอยู่แต่บนเตียง ทุบตีให้ตายก็ไม่ยอมลงมาแม้แต่ครึ่งก้าวเสียหน่อย!
นี่พระองค์คิดจะทำอะไรอีก หรือว่ากลายเป็นคนติดเตียงไปแล้ว
ในเวลาหนึ่งเดือนเต็ม จู่ๆ เสิ่นเทียนก็กลายเป็นคนสงบเสงี่ยม เรื่องนี้ผิดปกติอย่างมาก
หากไม่ใช่เพราะเสิ่นเทียนเตรียมตัวอาบน้ำอาบท่าจะออกไปข้างนอก กุ้ยกงกงกำลังจะเชิญหมอหลวงมาแล้วเชียว
มาตรวจดูสักหน่อยว่าสมองของฝ่าบาทได้รับความเสียหายจากการถูกธาตุไฟเข้าแทรกหรือไม่
……
อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าบ้วนปาก
สวมชุดคลุมลายพญางูหลามขาวอันวิจิตร เกล้าผมทรงกระเรียนเหินเมฆา จากนั้นสวมรองเท้าทรายทองเหยียบเมฆ เสิ่นเทียนตกตะลึงจนแทบล้มคว่ำเพราะชายรูปงามในกระจก
สง่างามไร้ที่ติ เหนือธรรรมดาโดยกำเนิด!!
รูปลักษณ์เช่นนี้หากอยู่ในโลกศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด จะบากบั่นต่อสู้น้อยลงยี่สิบปีแน่นอน
ไม่สิ ประหยัดเวลาสู้ชีวิตได้สองร้อยปีเลย!
มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่สมบูรณ์แบบก็คือ วงแหวนที่อยู่เหนือศีรษะของเขายังคงเป็นสีดำเหมือนเดิม สาดส่องจนใบหน้าของเขากลายเป็นสีดำ ราวกับหัวหน้าชนเผ่าสักเผ่า
‘ต้องหาวิธีจัดการปัญหาวงแหวนสีดำที่อยู่บนหัวโดยเร็วที่สุด’
เสิ่นเทียนแอบสาบานในใจ ถึงเหนือศีรษะจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว[1]ไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้!
……
ในใจเต็มไปด้วยหมื่นพันความคิด ท้ายที่สุดเสิ่นเทียนก็เดินออกมาจากตำหนักใจพิสุทธิ์
สิ่งที่ต้องกล่าวถึงก็คือ ขณะที่เสิ่นเทียนเดินอยู่ในพระราชวัง ในรัศมีสิบเมตรจะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เลย
แม้กระทั่งพวกขันทีและนางกำนัลในวังก็ล้วนเดินหลบไปไกล ประหนึ่งกลัวติดเชื้อเทพหายนะอย่างนั้น
สายตาเช่นนั้นทำให้เสิ่นเทียนไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
‘ไม่รู้ว่าเจ้าคนอับโชคคนนี้ผ่านสิบหกปีนี้มาอย่างไร’
ในใจของเสิ่นเทียนแอบรู้สึกเห็นใจองค์ชายสิบสาม แต่ก็ยังชื่นชมอย่างสุดซึ้งเช่นกัน
เขาแค่โดนผู้อื่นมองเช่นนี้ครู่เดียว ก็รู้สึกอึดอัดแทบตายแล้ว
ส่วนองค์ชายสิบสามถูกผู้คนใช้สายตาเช่นนี้มองมานานสิบหกปี ปรากฏว่าเขาไม่เพียงไม่ย่อท้อหรือล้มเลิกความตั้งใจ กลับกันแม้ตายก็ยังต่อสู้กับโชคชะตาไม่หยุด
ในขณะเดียวกันก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะถูกความมืดครอบงำจิตใจด้วย
ลักษณะนิสัยของเจ้าหมอนี่เอาไปเทียบกับนารูโตะได้เลย!
……
ระหว่างที่เดินอยู่ในพระราชวัง เสิ่นเทียนคอยสังเกตวงรัศมีที่อยู่เหนือศีรษะของคนอื่นไปด้วย
เขาพบว่าวงรัศมีเหนือศีรษะของขันทีและนางกำนัลส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นสีขาว และเป็นแสงที่ค่อนข้างสลัว มองแล้วธรรมดาไม่มีจุดเด่น ไม่เหมือนคนที่มีโชคอันประเสริฐ
ส่วนบรรดาขันทีและนางกำนัลที่มียศสูงกว่าหน่อย หากเทียบกันแล้วแสงจะสว่างกว่าเล็กน้อย
เขาพบขันทียศสูงสองสามคนเป็นครั้งคราว อย่างเช่นหัวหน้าฝ่ายห้องเครื่อง หัวหน้าฝ่ายเครื่องแต่งกาย หัวหน้าฝ่ายอาชาหลวง วงรัศมีเหนือศีรษะพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นสีเขียวอ่อน แผ่แสงสีเขียวจางๆ อุดมไปด้วยพลังชีวิตเช่นเดียวกับวงรัศมีเหนือศีรษะของกุ้ยกงกง
‘ดังนั้นสีดำแสดงถึงโชคร้าย วงรัศมีเหนือศีรษะคนทั่วไปเป็นสีขาว คนที่โชคดีจะมีวงรัศมีสีเขียวปรากฏเหนือศีรษะหรือ
หรือว่าคำกล่าวแบบนั้นในชาติที่แล้วจะถูกต้อง
ถ้าอยากให้ชีวิตดำรงต่อไป เหนือศีรษะจำเป็นต้องเขียวบ้าง!’
เมื่อนึกถึงตรงนี้ มุมปากของเสิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะกระตุกเล็กน้อย
ความคิดเช่นนี้พิเรนทร์จริงๆ!
ทันใดนั้น ดวงตาของเสิ่นเทียนเพ่งมองเล็กน้อย
เขาพบคนที่พิเศษคนหนึ่ง เป็นขันทีน้อยที่ดูไม่มีจุดเด่นอะไร
อีกฝ่ายสวมชุดขันทีรับใช้ทั่วไปที่มีตำแหน่งต่ำสุด แลดูผอมแห้งซีดเซียวน่าสงสาร สีหน้าก็หดหู่
แต่สิ่งที่ทำให้เสิ่นเทียนรู้สึกว่าขัดแย้งคือ วงรัศมีที่อยู่เหนือศีรษะขันทีน้อยผู้นี้ไม่ใช่สีดำ ไม่ใช่สีขาว และก็ไม่ใช่สีเขียว
วงรัศมีเหนือศีรษะของเขาเป็นสีแดง แผ่ประกายที่แสบตาราวกับดวงตะวัน ดูยิ่งใหญ่และมีอำนาจนัก
ในสายตาของเสิ่นเทียน ขันทีน้อยผู้นี้เป็นจุดศูนย์กลางของฟ้าดินนี้อย่างสมบูรณ์
หากเปรียบเทียบกันแล้ว แม้รูปลักษณ์ของเสิ่นเทียนสง่าผ่าเผยไม่เป็นรองใคร แต่ลักษณะของวงแหวนสีดำที่อยู่เหนือศีรษะกลับดูไม่ได้เลย
‘แค่ขันทีน้อยคนเดียว แต่วงรัศมีเหนือหัวกลับโดดเด่นเกินจริงเช่นนี้!
หรือว่าเขาคนนี้คือบุตรแห่งโชคชะตา!’
เสิ่นเทียนจ้องขันทีน้อยผู้นั้นตาไม่กะพริบ มองจนอีกฝ่ายรู้สึกขนลุก
แม้ขันทีน้อยเพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน แต่ก็เคยได้ยินเรื่องเล่าภายในวังมาบ้าง
องค์ชายของตำหนักใจพิสุทธิ์ผู้นั้นเป็นบุคคลที่งามสง่าที่สุดแต่ก็โชคร้ายมากที่สุดในอาณาจักรต้าเหยียน หากไม่มีธุระอันใดจงอยู่ให้ห่างเอาไว้
ไม่เช่นนั้นชีวิตอาจตกอยู่ในอันตราย!
“คารวะองค์ชาย”
นึกถึงตรงนี้ ขันทีน้อยคำนับอย่างรีบร้อน คิดว่าจะเดินหนีทันทีหลังจากคำนับเสร็จ
ทว่าสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงคือ เสิ่นเทียนไม่ยอมให้เขาไป
“เจ้า มานี่หน่อย”
ครั้นได้ยินเสียงเรียกของเสิ่นเทียน ขันทีน้อยตกใจกลัวจนขาสั่นไปหมด
‘องค์ชายสิบสามสั่งให้ข้าไปหา?
ไม่เอาน่า! ข้าเป็นเพียงขันทีน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าล่วงเกินดาวหายนะท่านนี้ได้อย่างไร!
ได้ยินมาว่าถ้าเข้าใกล้องค์ชายในรัศมีสามจั้ง[2] จะติดความโชคร้ายของพระองค์มา
จากนั้นทุกคนรอบข้างก็จะไม่กล้าเข้าใกล้เรา อาจจะถึงขั้นมีภัยคุกคามถึงชีวิต
ถ้าหากเข้าใกล้มากเกินไป ไม่เท่ากับตายแน่นอนหรือ
แต่หากไม่ฟังคำสั่งขององค์ชาย ดูเหมือนจะตายเร็วยิ่งกว่า!’
พอนึกถึงว่าเข้าใกล้อาจจะตาย ไม่เข้าใกล้ก็จะตายแน่นอน
ขันทีน้อยผู้มีโชคคนนี้ก็ตกใจกลัวจนแทบอยากร้องไห้
………………………………………..
[1] เขียว ภาษาจีนในที่นี้หมายถึงการแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ยอมเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ หรือว่าโดนสวมเขา
[2] จั้ง คือหน่วยวัดจีน 1 จั้ง เท่ากับประมาณ 3.33 เมตร