บทที่ 251 เด็กดื้อ ฮวงสือ!
ฟางฉางก้นจ้ำเบ้าบนเวทีประลองเทพสงคราม ดูมึนงงไปหมด
เขาในตอนนี้สงสัยในชีวิตจริงๆ แล้ว
สามนาที…
ไฉนถึงเร็วเช่นนี้
เขาฟางฉางไม่เคยเร็วขนาดนี้มาก่อน!
ยังไม่ทันสัมผัสถึงความสุขในการต่อสู้ก็จบแล้วรึ
นั่นคือผลึกวิญญาณหมื่นก้อนเต็มๆ สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนปกติคือจำนวนมหาศาล
แม้แต่โอรสสวรรค์อย่างฟางฉางจะเคยฝึกฝนในแดนลับและสนามรบมามากมาย ได้โชคลิขิตมาจำนวนมาก แต่ทรัพย์สินทั้งตัวเขามีไม่ถึงหนึ่งแสนผลึกวิญญาณ อีกทั้งส่วนใหญ่ยังใช้ในการฝึกบำเพ็ญของตนเอง ใช้ไปพอประมาณเลยทีเดียว
ถึงอย่างไรยิ่งเป็นอัจฉริยะที่ให้ความสำคัญกับรากฐานก็ยิ่งใช้ทรัพยากรเยอะมากเท่านั้น!
ตอนนี้ทรัพย์สินทั้งตัวฟางฉาง ตัดเกราะนักรบกับทวนมังกรสมบัติวิญญาณระดับสูงสุดออกไปแล้ว คิดรวมทั้งหมดก็มีประมาณสามหมื่นผลึกวิญญาณ
สามวินาทีสั้นๆ ก็ดูดเงินส่วนตัวสามส่วนของฟางฉางไป
นี่ทำให้เขาปวดใจจนหายใจไม่ออก
ตอนนี้เอง เสียงเด็กสาวดวงจิตหอคอยดังขึ้นอีกครั้ง “โอรสสวรรค์หนุ่มเอ๋ย ขอให้เจ้าอย่าท้อถอย แม้แต่ในโลกเซียนโอรสวรรค์เจ็ดดาวยังสูงส่งมาก โลกธรรมดาไม่มีไอเซียนบ่มเพาะ จะสู้กับเขาได้ยากมากอยู่แล้ว
เจ้ายืนหยัดในความบ้าคลั่งของโอรสสวรรค์เจ็ดดาวได้สามวินาทีก็หาได้ยากมากแล้ว ยากจะพบคู่ต่อสู้ได้ในโลกนี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้เจ้า ข้าจะฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้เจ้า ไม่มีค่าตอบแทนใดๆ
ขอถาม เจ้าจะฝึกฝนต่อหรือไม่”
ครั้นได้ฟังดวงจิตหอคอยปลอบใจตน ฟางฉางก็รู้สึกถึงกระแสอุ่นๆ ขึ้นมาในใจ ทั้งยังรักษาให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นี่เพื่อให้แซ่ฟางเก็บความกล้าหาญในการต่อสู้ขึ้นมาใหม่อย่างนั้นหรือ
ฟางฉางที่เดิมทีซึมเซาลุกขึ้นบนเวทีประลองเทพสงครามอีกครั้ง ทวนมังกรในมือเปล่งประกายระยิบระยับอีกครั้ง
เขาพูดด้วยความโอหังว่า “ช่างเถอะ โอรสสวรรค์เจ็ดดาวของโลกเซียนแข็งแกร่งมากจริงๆ ถึงเมื่อครู่แซ่ฟางจะทำได้ไม่ดี ไม่อย่างนั้นต้องยืนหยัดกับเขาได้ร้อยลมหายใจแน่นอน แต่ถ้าจะสู้กับโอรสสวรรค์เจ็ดดาว เกรงว่าแซ่ฟางคงมีกำลังไม่ถึงจริงๆ ต้องให้ศิษย์น้องเสิ่นเทียนออกมือถึงจะรับมือได้”
ฟางฉางเทสมบัติในแหวนมิติออกมาต่อด้วยความปวดใจ เขาขบคิดก่อนจะพูดไปว่า “คะ…ครั้งนี้แซ่ฟางขอท้าสู้กับโอรสสวรรค์หกดาวแล้วกัน”
เสียงดวงจิตหอคอยดังขึ้น “หนุ่มน้อยองอาจห้าวหาญจริงๆ ทำให้ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก! เพื่อเป็นการให้กำลังใจกับจิตใจกล้าหาญของเจ้า เจ้าสามารถเลือกขอบเขตของคู่ต่อสู้ได้”
ฟางฉางอึ้งไป “เลือกขอบเขตของคู่ต่อสู้ หมายความว่าอย่างไรกัน”
ดวงจิตหอคอยอธิบาย “ในเวทีประลองเทพสงคราม รูปแบบการต่อสู้และศักยภาพของทุกคนจะถูกกักเก็บเอาไว้แล้วสร้างขึ้นเป็นร่างเงา ดังนั้นเวทีประลองเทพสงครามจึงไม่ได้มีเพียงร่างเงาโอรสสวรรค์จากโลกเซียน แต่ยังมีร่างเงาโอรสสวรรค์ของโลกนี้ด้วย
ข้าจะฝ่าฝืนกฎให้เจ้าเลือกว่าจะท้าประลองกับโอรสสวรรค์จากโลกเซียนต่อหรือโอรสสวรรค์ของโลกนี้”
คำอธิบายของดวงจิตหอคอยตรงไปตรงมามาก
ฟางฉางอดสนใจขึ้นมามิได้ “โอรสสวรรค์โลกเซียนแข็งแกร่งมาก แต่ก็มาจากโลกบำเพ็ญเซียนเหมือนกัน แซ่ฟางฝึกถึงแก่นพลังทองเก้ารอบแล้ว ยังต้องกลัวเขาอีกหรือ”
ฟางฉางทำเสียงขึ้นจมูกก่อนจะเอ่ยต่อ “ในเมื่อเช่นนั้น แซ่ฟางก็ขอท้าประลองกับโอรสสวรรค์หกดาวของโลกนี้! เข้ามาเลย!”
แต้มเทพสงครามกลับขึ้นไปเป็นหนึ่งพันแต้มอีกครั้ง บนเวทีประลองเทพสงครามค่อยๆ รวมออกมาเป็นร่างหนึ่ง
เมื่อเห็นหน้าตาของร่างเงานี้ชัดเจน ฟางฉางถึงกับชะงักไปเลย
ไม่ใช่เพราะร่างเงานี้น่ากลัวอะไรขนาดนั้น แต่เป็นเพราะ…เขาเป็นเด็กดื้อคนหนึ่ง
ใช่ ร่างเงาที่รวมขึ้นครั้งนี้เป็นเด็กชายคนหนึ่ง
เขาอายุราวห้าหกขวบ ทาแป้งขาว สวมชุดกระโปรงหนังสัตว์ ดูน่ารักมาก
หากสตรีเห็น เกรงว่าคงอดใจกอดเขาไว้ไม่ได้
ฟางฉางบ้าคลั่งขึ้นมาทันที
นี่มันบ้าอะไร!
ดีเลวอย่างไรแซ่ฟางก็สูงแปดฉื่อ เป็นบุรุษผู้มีเกียรติ
แต่เจ้าจับคู่เด็กน้อยที่ขนยังขึ้นไม่ครบมาให้เป็นคู่ต่อสู้ นี่เอาจริงรึ
เจ้าเด็กน้อยนี่ แซ่ฟางยืนกดศีรษะเขา มือเขายังไม่ถึงหัวเข่าแซ่ฟางเลย
ต่อให้แซ่ฟางชนะจริงๆ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปได้ขายหน้าเป็นแน่!
ฟางฉางพูดด้วยความจนปัญญา “ดวงจิตหอคอย เจ้าเด็กนี่ข้า…”
เขายังพูดไม่จบก็โดนเด็กชายตรงหน้าพูดขัดช้าๆ “เจ้าร่างคน ไม่ได้เรื่อง”
เพิ่งสิ้นเสียงเยาว์วัย ร่างเด็กชายนั้นก็หายไปทันที
รวดเร็วมาก~!
ฟางฉางหน้าเปลี่ยนสีไป
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เขารู้สึกว่าสายตาเขาตามความเร็วของเจ้าเด็กดื้อนี่ไม่ทัน!
‘ประเมินเจ้าเด็กดื้อนี่ต่ำไปแล้ว’
ฟางฉางตึงเครียดในใจ รีบกวาดทวนมังกรเพลิงแดงใส่เด็กดื้อ
เขาไม่ได้แทงไปตรงๆ หนึ่งเพราะพื้นที่การโจมตีแบบกวาดจะมากกว่าการแทงตรงๆ กดดันคู่ต่อสู้ให้ถอยไปได้ง่าย
สอง เพราะถึงเด็กดื้อนี่นะแข็งแกร่งจนน่ากลัว แต่ก็หน้าตาน่ารักมาก
ฟางฉางเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ ทำใจแทงเขาอย่างโหดเหี้ยมไม่ลงจริงๆ
ชิ้ง~!
ทวนมังกรเพลิงแดงกวาดเวทีประลองพร้อมด้วยพลังแห่งอัคคีชาด แทบจะทำให้ทั้งเวทีกลายเป็นทะเลเพลิง
ทว่าแสงสว่างที่เปล่งมาจากตัวเด็กดื้อกลับสลายอัคคีชาดและไอทวนทั้งหมดออกไป
ขณะเดียวกัน เด็กดื้อยังกระโดดขึ้นอย่างว่องไวเหมือนกับวานรคล่องแคล่ว เขาคว้าทวนมังกรเพลิงแดงไว้ก่อนจะพุ่งไปตามทวนเข้าหาฟางฉาง
ยาวหนึ่งชุ่นแข็งแกร่งหนึ่งชุ่น วิธีที่รับมือกับทวนยาวที่ดีที่สุดคือเข้าไปใกล้ให้มากที่สุด!
“ถอยไป!”
ฟางฉางทิ้งทวนลง ก่อนประสานมุทราสองมือรวมเป็นชุดเกราะอัสนีเทพส่องแสงปกคลุมรอบตัว
นี่คือชุดเกราะกิเลนที่รวมขึ้นจากอัสนีเทพกิเลนธาตุดินลำดับห้า ตั้งอยู่ตรงกลางในห้าทิศ เน้นเรื่องพลังป้องกัน
ในอัสนีเทพปัญจธาตุ อัสนีเทพกิเลนธาตุดินลำดับห้ามีรูปแบบการต่อสู้ที่สมดุลที่สุด โดยเฉพาะจะชำนาญเรื่องการขับไล่พลังงานด้านลบทุกชนิด
อีกทั้งการป้องกันของมันก็เป็นรองเพียงเกราะเต่าดำ มากพอจะรับการโจมตีส่วนใหญ่ได้
ในศึกก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะฟางฉางเรียกเกราะอัสนีกิเลนกับเกราะนักรบทองสีชาดมาเพิ่มพลังของตนไม่ทัน ต่อให้อีกฝ่ายเป็นโอรสสวรรค์เจ็ดดาวก็ไม่มีทางเอาชนะฟางฉางได้ในสามนาที
ไม่ว่าอย่างไร…ก็ต้องมีแปดถึงสิบนาที!
เกราะนักรบคลุมไว้สองชั้นแล้ว ฟางฉางก็เปลี่ยนขาเป็นแส้เตะใส่เด็กดื้อ
ตอนนี้เขารับมืออย่างจริงจังแล้ว
ถึงอย่างไรแม้เด็กดื้อนี่จะหน้าตาน่ารัก แต่กำลังรบแข็งแกร่งของจริง
เมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าแล้วฟางฉางยังกล้าเบาใจ ก็คงจะต้องเสียเปรียบอย่างหนักแน่นอน
……
เมื่อเห็นขาแส้หนาของฟางฉางจะเตะโดนเด็กดื้อแล้ว ตอนนี้เองเด็กดื้อพลันกระโดดขึ้นจากเวทีประลอง หลบเท้านั้นเฉียดบ่าไป
จากนั้นเขาก็ชกเข้าที่หัวเข่าฟางฉาง
ตัวเขาอาศัยแรงจู่โจมนี้ลอยวนมาข้างหลังฟางฉาง
ลวดลายเทพสีทองอมดำตรงกลางฝ่ามือเขาเปล่งแสงระยิบระยับก่อนกลายเป็นตราเวทสี่เหลี่ยม
ตราเวทนี้มีประกายเซียนวนเวียนทุกส่วน มองทีแรกก็ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ทว่าเมื่ออยู่ในมือเด็กดื้อนี่กลับเหมือนอิฐ
ตึง~
ตราเวทสี่เหลี่ยมหมุนควงฟาดเข้าที่หลังศีรษะของฟางฉาง
แม้จะมีเกราะสายฟ้ากิเลนกับเกราะนักรบทองสีชาดคุ้มกันสองชั้น ฟางฉางก็ยังรู้สึกมีเสียงวิ้งๆ ดังในความคิด
บนฟ้าใต้ดินมีแต่ดาว~
เวลานี้บุรุษร่างสูงใหญ่คนนี้สงสัยในชีวิตแล้ว
เด็กดื้อนี่มาจากที่ใดกันแน่ จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
………………….