บทที่ 3 หรือว่าข้าอับโชคเกินไป
“เป็นอะไร คำพูดของข้าใช้ไม่ได้ผลอย่างนั้นหรือ”
เสิ่นเทียนถอนหายใจ เพิ่มน้ำเสียงให้หนักแน่นขึ้นสามส่วน
“บ่าวอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีน้อยหนาวสั่นขึ้นมาทันใด รีบเดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าเสิ่นเทียน ศีรษะที่หมอบแนบชิดติดกับพื้นสั่นไม่หยุด
จะอย่างไรก็ตาม ต่อให้เสิ่นเทียนไม่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิเหยียน แต่รากเหง้าต้นกำเนิดของเขาก็เป็นถึงองค์ชายสิบสาม
ไม่รู้จักแยกแยะลำดับสูงต่ำ ต่อต้านไม่ฟังคำสั่ง ในพระราชวังมีโทษเท่ากับประหารชีวิต
เสิ่นเทียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เจ้าชื่ออะไร”
ขันทีน้อยตอบอย่างสัตย์จริง “บ่าวชื่อฉินเกาพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายทรงเรียกบ่าวว่าเสี่ยวเกาก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเกา?
ฟังดูเหมือนชื่อของขันทีที่เจ๋งเสียจริงๆ
เสิ่นเทียนคล้ายกำลังครุ่นคิด “เจ้าเงยหน้าขึ้นมา ให้ข้าดูหน้าของเจ้าหน่อย”
ร่างของขันทีน้อยสะดุ้งเล็กน้อย ความหวาดกลัวถาโถมเข้ามาครอบงำจิตใจทันที
ได้ยินมาว่าบุคคลสำคัญบางคนในราชวงศ์เสพสุรานารีจนเบื่อหน่าย จึงหันไปสนใจพวกขันทีน้อยที่มีใบหน้างดงามเหล่านั้น และชอบทำเรื่องที่แปลกประหลาด
หรือว่าองค์ชายสิบสามที่เป็นร่างจุติเทพหายนะก็เป็นคนเช่นนั้น?
ครั้นนึกถึงตรงนี้ ฉินเการู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
เขาเงยหน้าที่ซีดเซียวขึ้นมาสบตาของเสิ่นเทียน
เสิ่นเทียนจ้องมองอย่างจริงจังมาก สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม ทว่าแฝงความตื่นเต้นไว้จางๆ เพราะเหตุนี้ในใจของฉินเกาจึงยิ่งตื่นตระหนกกว่าเดิม
“องค์ชาย ขันทีน้อยคนนี้มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ”
คำพูดของกุ้ยกงกงขัดจังหวะความคิดเสิ่นเทียน ทำให้เขาดึงสติกลับมา
เมื่อครู่เขาไม่ได้มองฉินเกาจนตกเข้าสู่ภวังค์ แต่เป็นเพราะเห็นอะไรบางอย่างจากตัวฉินเกา หรือพูดอีกอย่างก็คือเห็นอะไรบางอย่างจากวงรัศมีของอีกฝ่าย
ตอนที่เขาเพ่งความสนใจสำรวจฉินเกา เขาเห็นว่าวงรัศมีเหนือศีรษะของฉินเกาฉายภาพภาพหนึ่งออกมา
สถานที่แห่งแรกที่ปรากฏขึ้นในภาพคือประตูใหญ่หออักษรหลวงของพระราชวัง
จากนั้นภาพเลื่อนเข้าใกล้ไม่หยุด จนเข้าสู่ภายในหออักษรหลวง
ต่อมาภาพก็ขยับไปตามชั้นหนังสือที่เรียงรายเป็นแถวของหออักษรหลวง มาถึงมุมแห่งหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ และหยุดอยู่บนหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ประวัติศาสตร์ต้าเหยียน’
ภาพมาหยุดลงตรงนี้อย่างกะทันหัน ดูไปแล้วก็ไม่มีอะไรพิเศษ
แต่เสิ่นเทียนเชื่อว่าในหนังสือที่ชื่อ ‘ประวัติศาสตร์ต้าเหยียน’ เล่มนั้นต้องมีความลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่แน่นอน
ไม่แน่ว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงรัศมีสีแดงที่อยู่เหนือศีรษะของฉินเกา หรือกระทั่งอาจจะเป็นโชคลิขิตของฉินเกาก็ได้
‘ถ้าหากข้าแย่งโชคลิขิตของขันทีน้อยผู้นี้มา โชคชะตาของข้าจะดีขึ้นบ้างหรือไม่’
ความคิดที่อาจหาญเช่นนี้ผุดขึ้นในใจของเสิ่นเทียนอย่างอดไม่ได้
เขาไม่คิดว่าการแย่งชิงโชคลิขิตของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยาก
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นโลกบำเพ็ญเซียนที่ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ล่า โดยทั่วไปคนที่ใจอ่อนล้วนตายอย่างอนาถยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น โชคลิขิตเป็นเพียงเรื่องรอง สิ่งสำคัญที่สุดคือถ้าหากเสิ่นเทียนไม่รีบหาวิธีเปลี่ยนโชคชะตาโดยเร็วที่สุด…
เขาจะต้องตายอย่างอนาถแน่นอน!
……
“ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปเถอะ!”
เสิ่นเทียนโบกมือให้ฉินเกาไปได้ จากนั้นเดินไปทางหออักษรหลวงอย่างแทบจะรอไม่ไหว
หออักษรหลวงของอาณาจักรต้าเหยียนตั้งอยู่ในเขตส่วนกลางของพระราชวัง มีตำรามากมายถูกเก็บไว้ที่นี่
แน่นอน ตำราวิชายุทธ์ระดับสูงที่เกี่ยวการฝึกบำเพ็ญล้วนอยู่ในพื้นที่หลักของหออักษรหลวง ได้รับการปกป้องจากข้ารับใช้ที่มีพลังบำเพ็ญล้ำลึก
หากไม่มีพระราชโองการของจักรพรรดิเหยียน แม้แต่เสิ่นเทียนที่เป็นองค์ชายก็ไม่สามารถไปเปิดอ่านได้ตามใจชอบ
โชคดีที่หนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ต้าเหยียน’ ไม่ใช่วิชายุทธ์บำเพ็ญเซียน เป็นเพียงบันทึกทางประวัติศาสตร์ธรรมดาเล่มหนึ่งเท่านั้น
ตามภาพที่วงรัศมีของฉินเกาชี้ทางให้ก่อนหน้านี้ เสิ่นเทียนหาหนังสือเล่มนั้นเจออย่างรวดเร็ว
หนังสือเล่มนี้หนาประมาณสิบเซนติเมตร แลดูเก่าเก็บ บนหน้าปกมีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด
ในบรรดาตำราหนังสือมากมายราวกับมหาสมุทรหนังสือนี้ หนังสือเล่มนี้ไม่โดดเด่นแม้แต่น้อย
แต่เสิ่นเทียนรู้ว่าหนังสือเล่มนี้ต้องมีความลับซ่อนอยู่แน่นอน
“หนังสือก็อยู่ในมือแล้ว มาดูกันก่อนว่าโชคชะตาของข้ามีการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า”
เสิ่นเทียนหยิบกระจกบานหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ และส่องดูอย่างละเอียด
อืม ความหล่อก็ยังคงหล่อเหมือนเดิม
ความดำก็ยังดำเหมือนเดิมด้วย!
เสิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะผิดหวัง
‘หรือว่าเรายังไม่ได้คว้าโชคลิขิตที่แท้จริงมาไว้ในมือ ดังนั้นโชคชะตาจึงไม่เปลี่ยนแปลง จำเป็นต้องไขปริศนาที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ก่อน?’
ครั้นนึกถึงตรงนี้ เมื่อเสิ่นเทียนลงบันทึกเรียบร้อย เขาก็นำหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ต้าเหยียน’ ออกไปจากหออักษรหลวง
……
ในเวลาหลายวันหลังจากนั้น เสิ่นเทียนกลับสู่สภาวะเกินจะเยียวยาสุดขีดอีกครั้ง
หมกตัวอยู่บนเตียง ทุบตีให้ตายก็ไม่ยอมออกจากห้อง
มีเพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลง นั่นก็คือเสิ่นเทียนเริ่มศึกษาหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ต้าเหยียน’ ที่น่าเบื่อซ้ำไปซ้ำมา
ขณะศึกษาหนังสือ เสิ่นเทียนหัวเสียอย่างยิ่ง เพราะเขามองไม่ออกเลยว่าหนังสือเล่มนี้มีความพิเศษที่ใด
มันเป็นเพียงหนังสือประวัติศาสตร์ที่ไม่มีภาพประกอบ ไม่มีจุดน่าสนใจ แม้กระทั่งรูปแบบการจัดเรียงเนื้อหาก็เป็นการนำมาเรียงต่อๆ กัน
ไม่แปลกเลยสักนิดที่ถูกทิ้งไว้ตรงเหลือบมุมโดยไม่มีใครเปิดดูเป็นเวลาหลายสิบปี
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเห็นหนังสือเล่มนี้ปรากฏในวงรัศมีของฉินเกา เสิ่นเทียนไม่คิดจะแตะต้องมันด้วยซ้ำ
‘หรือเป็นเพราะข้าอับโชคเกินไป จึงไม่พบความลับในหนังสือเล่มนี้’
นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!
“องค์ชาย ท่านไม่ได้ออกจากห้องสามวันแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ขณะมองดูสภาพเหี่ยวแห้งของเสิ่นเทียน กุ้ยกงกงรู้สึกปวดใจยิ่งนัก “ท่านอ่านหนังสือเล่มนี้พลิกไปพลิกมาหลายรอบแล้ว พวกเราออกไปเดินเล่นกันหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”
เสิ่นเทียนส่ายศีรษะ “ถ้าหาความลับในหนังสือเล่มนี้ไม่เจอ จะไม่ออกจากห้องเด็ดขาด!”
เสิ่นเทียนไม่กล้าวางหนังสือเล่มนี้แล้วออกไปเดินเล่น
ไม่เช่นนั้นด้วยความโชคร้ายของเขาในตอนนี้ ตอนเขากลับมาหนังสือเล่มนี้อาจจะหายไปแล้วก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ความเป็นไปได้นี้สูงแบบไม่ธรรมดาเสียด้วย!
…….
หลังจากนั้นสามชั่วโมง
เสิ่นเทียนอดทนอดกลั้น อ่านหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ต้าเหยียน’ เล่มนี้ตั้งแต่ต้นจนจบอีกหนึ่งรอบ
ทว่านอกจากรู้สึกว่าเนื้อหาด้านในน่าเบื่อมากขึ้น ก็ไม่พบอะไรอย่างอื่นเลย
ท้ายที่สุดเสิ่นเทียนก็จำต้องยอมรับว่าอาจเป็นเพราะตนเองอับโชคมากเกินไปจริงๆ
หรือไม่ก็เปลี่ยนให้คนอื่นมาลองอ่านดู
“ลุงกุ้ย ท่านลองมาดูหนังสือเล่มนี้หน่อย” เสิ่นเทียนยื่นหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ต้าเหยียน’ ส่งให้กุ้ยกงกง “ข้าคิดว่าในหนังสือเล่มนี้น่าจะมีโชคลิขิต”
“ในหนังสือเล่มนี้มีโชคลิขิต?”
กุ้ยกงกงรับหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ต้าเหยียน’ มา อันที่จริงภายในใจรู้สึกเคลือบแคลงอยู่
แม้ว่าเขาเคารพและเชื่อในตัวองค์ชายสิบสามอย่างสุดซึ้ง แต่กับเรื่องโชคชะตาขององค์ชาย กุ้ยกงกงรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครอื่น
ถ้าบอกว่าฝ่าบาทไปยืมหนังสือเล่มหนึ่งมาจากหออักษรหลวง ก็สามารถพบโชคลิขิตยิ่งใหญ่บางอย่างที่ถูกซ่อนอยู่
อืม…กุ้ยกงกงรู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้มีไม่มากเลย
“ในเมื่อองค์ชายรู้สึกว่าในหนังสือเล่มนี้มีโชคลิขิต บ่าวจะลองตรวจดูก็แล้วกัน!”
แม้ไม่เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะมีโชคลิขิตอะไรซ่อนอยู่ แต่ด้วยความภักดีอย่างสุดซึ้งที่มีต่อองค์ชาย กุ้ยกงกงก็ยังโคจรพลังวิญญาณในร่างกาย ก่อนเริ่มตรวจสอบหนังสืออย่างละเอียด
แต่ไม่นานนัก บนใบหน้าของกุ้ยกงกงก็เผยให้เห็นความประหลาดใจ “เอ๋ ในหนังสือมีอะไรอยู่จริงด้วย”
มุมปากของเสิ่นเทียนกระตุกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตนเองควรจะดีใจหรือเสียใจ
เขาพลิกอ่านไปมาศึกษาอยู่หลายวัน แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติแม้แต่นิดเดียว
ทว่ากุ้ยกงกงเพิ่งตรวจสอบไม่กี่นาทีก็พบโชคลิขิตแล้ว?
ต้องสมจริงขนาดนี้เลยหรือไร
…………………………………………………